เสียงของเขาไม่ได้ดัง

แต่เพราะเขานั่งในที่หลักเห็นเหตุ คนที่นั่งอยู่ข้างเขาและยืนอยู่ข้างเขา มีผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่ยอดฝีมือ

ดังนั้นทุกคนล้วนได้ยินแล้ว

เพียงแต่ไม่มีคนเชื่อว่าค่ายกลสิบแปดบุปผาเหินจะกักขังกู้ชูหน่วนไว้ไม่ได้

แม้แต่ผู้อาวุโสหลิวก็ไม่เชื่อ เตือนเบาๆ “เจ้าบ้าน ค่ายกลแปดทิศของมู่หน่วนเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆแล้ว”

“เจ้าลองดูอีกทีว่าตำแหน่งที่นางยืนคือตำแหน่งอะไร?”

ได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสหลิวก็มองไปที่สนามการต่อสู้ด้วยความตั้งใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่ออก

ไม่เพียงแค่เขา ผู้อาวุโสที่คอยพิทักษ์อยู่ในสนาม รวมทั้งประมุขพรรคทั้งหมดก็มองไม่ออกเช่นกัน

มีเพียงเจ้าบ้านไป๋หลี่ เจ้าบ้านซ่างกวนและคนอื่นๆอีกสองสามคนเท่านั้นที่ร่างกายสั่นสะเทือนอย่างอดไม่ได้เล็กน้อย

หนิงเทียนโย่วกล่าว “ท่านปู่ เจ้าบ้านเวินกำลังพูดอะไรขอรับ?”

“ตำแหน่งที่นังหนูหน่วนยืนอยู่คือตำแหน่งเฉียน”

“ยืนตรงตำแหน่งเฉียนแล้วเป็นอย่างไรขอรับ?”

“ตำแหน่งเฉียนแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็ไม่ถึงกับตาย”

“ความหมายของท่านปู่คือ สนามแรกถึงนางจะแพ้ แต่ก็จะไม่ตายใช่หรือไม่ขอรับ? แต่หากว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกสองสนามต่อจากนี้นางก็จะยิ่งชนะไม่ได้แล้ว”

ผู้เฒ่าหนิงมองดูเวินเส้าหยีที่อายุยังน้อย แล้วมองดูหลานชายของตัวเอง ในจิตใจก็อดปวดร้าวไม่ได้

“อายุเหมือนๆกัน แต่ทำไมเจ้าถึงได้โง่ขนาดนี้นะ?”

“ข้าโง่ยังไงอีกขอรับ?”

“เจ้าไม่เห็นหรือว่านังหนูหน่วนยืนอยู่ที่ตำแหน่งเฉียนโดยไม่ขยับเขยื้อน ก็เพราะคิดจะรักษาชีวิตจากการโจมตีอย่างต่อเนื่อง และต้องการจะเพ่งเล็งการโจมตีของคนผู้หนึ่งไว้ด้วยความแม่นยำ อีกทั้งยังสามารถตอบโต้กลับได้สำเร็จอีกด้วยน่ะ?”

หนิงเทียนโย่วอยากถามอีกว่า ความเร็วของผู้หญิงทั้งสิบแปดคนนี่เร็วขนาดนี้ หน้าตาก็เหมือนกันอีก แล้วจะเล็งการโจมตีให้แม่นยำได้อย่างไร?

แม้นางคิดอยากจะโจมตี ก็โจมตีไม่โดนนี่

ไม่เพียงแค่หนิงเทียนโย่วเท่านั้น แทบทุกคนที่อยู่ในสนามล้วนมีคำถามเดียวกัน

ฝนกลีบดอกไม้เปลี่ยนไปทันที บางคราวก่อตัวเป็นดาบ บางคราวก่อตัวเป็นง้าว บางคราวก่อตัวเป็นคน และบางคราวก็ก่อตัวเป็นค่ายกลรูปแบบแล้วรูปแบบเล่า รวมทั้งค่ายกลจักรวาลค่ายกลสองลักษณ์ค่ายกลซันไฉค่ายกลจตุลักษณ์และอื่นๆทำเอาผู้คนดูจนสับสนตาลายไปหมด

รูปลักษณ์ของฝนดอกไม้เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนเต็มไปด้วยการสังหาร และบวกกับการร่วมมือที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทุกคนที่ดูอยู่ก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างอดไม่ได้

หากว่าเป็นพวกเขาเข้าไปอยู่ค่ายกลสิบแปดบุปผาเหิน จะต้องไร้หนทางรอดเป็นแน่ แม้กระทั่งศพก็ไม่ต้องคิดที่จะเหลือไว้สักชิ้นแล้ว

ค่ายกลสิบแปดบุปผาเหินของตระกูลไป๋หลี่ขึ้นชื่อสมคำร่ำลือจริงๆ

เพียงแต่……

ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงยังได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้?

เมื่อมู่ซินเห็นว่ากู้ชูหน่วนอยู่ในอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ บนตัวก็ถูกฝนดอกไม้เจาะทะลุไปหลายที่ จึงอดกล่าวขึ้นด้วยความกังวลใจไม่ได้ว่า “ข้าจะไปช่วยนาง”

เจ้าบ้านมู่กล่าวด้วยความเคร่งขรึม “เจ้าเข้าไปกลัวว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้ค่ายกล ก็คงถูกฝนดอกไม้ทำลายจนสลายเป็นศพนับหมื่นๆชิ้นแล้ว”

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้ขอรับ?”

“เป็นตายแล้วแต่สวรรค์”

“ท่านพ่อ……”

ทางด้านของตระกูลเวิน

เวินเส้าหยีวางแก้วชาลงเบาๆ มองไปทาสนามการต่อสู้ที่กำลังฆ่าฟันกันอยู่ด้วยความสบายใจ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ กล่าวเบาๆว่า “จบแล้ว”

ทุกคนยังดึงสติกลับมาไม่ได้ ผู้หญิงทั้งสิบแปดคนต่างถูกสะเทือนออกไปตามๆกันแล้ว แต่ละคนกระอักดอกไม้สดออกมาจากปาก หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บจนลุกไม่ไหว

แล้วมองไปที่กู้ชูหน่วน แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่นางคนหนึ่งกับหอกยาวหนึ่งอันยืนตัวตรงดิ่ง ลมอ่อนพัดผ่าน พัดโบกชายเสื้อของนาง ดูเหมือนกับเทพสงครามจุติยังโลกเช่นนั้น น่าเกรงขามจนไม่อาจดูหมิ่นได้

ทุกคนตกตะลึงจนลุกขึ้นมา

โดยเฉพาะคนของตระกูลไป๋หลี่

เกิดอะไรขึ้น?

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?

ทำไมค่ายกลสิบแปดบุปผาเหินถึงถูกทำลายได้?

บางทีคนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เขากระจ่างยิ่งนัก

นอกจากค่ายกลสิบแปดบุปผาเหินจะเป็นค่ายกลที่ยอดเยี่ยมมีการร่วมมือกันได้อย่างลงตัวแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือเกสรดอกไม้เหล่านั้น เกสรดอกไม้ทุกชนิดล้วนมีพิษ และอาจทำให้คนตายได้ หรืออาจจะทำให้สติสัมปชัญญะของผู้คนเลอะเลือนได้

แต่นาง…..

กลับไม่เป็นอะไรเลย

นี่……นี่ชั่งเหลือเชื่อเกินไปแล้วน่ะสิ?

“ค่ายกลสิบแปดบุปผาเหินถูกทำลายแล้ว สนามแรกข้าชนะแล้วสินะ” กู้ชูหน่วนยิ้มแล้วกล่าว

ทุกคนในตระกูลมู่งงเป็นไก่ตาแตก

ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่านางจะชนะจริงๆ

แต่คนอื่นกลับกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ผู้หญิงคนนี้โชคดีอะไร ตระกูลไป๋หลี่คงไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้หรอกนะ?”

“เจ้าขี้โกง” ไป๋หลี่เฉิงกล่าวด้วยความร้อนใจ