บทที่ 2013 ตระหนักว่าเป็นตัวจริง
รุ่งเช้า เยี่ยหวันหวั่นสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย
“จบกันๆ!” เยี่ยหวันหวั่น ‘กระเด้ง’ ลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ซือเยี่ยหานที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วมองหญิงสาว ดวงตาฉายแววตึงเครียดแวบหนึ่ง “เป็นอะไรไป”
เยี่ยหวันหวั่นอุทานอย่างตื่นตระหนก “ลูกของฉัน! ลูกสุดที่รักของฉันล่ะ!!!”
สีหน้าของซือเยี่ยหานอึ้งค้างไปแวบหนึ่ง “ลูกสุดที่รักงั้นเหรอ…”
เยี่ยหวันหวั่นอธิบายด้วยความกระวนกระวาย “ก็คือหินก้อนใหญ่ก้อนนั้นที่ใช้ผ้าแดงคลุมไว้ไง ศิลาจารึกของโรงเรียนชื่อเยียนที่เจียงหลีเฮิ่นยกให้ฉันน่ะ! หายไปแล้ว!”
ซือเยี่ยหานเอ่ยเพียงว่า “เธอ…”
เพิ่งทำเรื่องอย่างว่าแบบนั้นกับเขาเสร็จ พอตื่นมาสิ่งแรกที่นึกถึง กลับเป็นหินผุพังก้อนหนึ่งงั้นเหรอ
ซือเยี่ยหานสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เพื่อห้ามไม่ให้ตัวเองกดเธอลงบนเตียงอีกครั้ง “เธออยากพูดแค่นี้เหรอ”
เยี่ยหวันหวั่นกำลังร้อนใจอยู่ ทว่าจู่ๆ พอเหลือบไปเห็นใบหน้าที่มืดมนอึมครึมของซือเยี่ยหาน จึงได้ตระหนักรู้อะไรขึ้นมาแล้ว
จบเห่…
เธอรีบตีสีหน้าฉอเลาะแล้วเอ่ยว่า “นั่นน่ะ…หายไปแล้วก็หายไปเถอะ ยังไงก็แค่หินผุๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง!”
ปากบอกไปแบบนี้ แต่ความจริงในใจกำลังหลั่งเลือดอยู่ คะแนนเกียรติยศหนึ่งหมื่นห้าพันแต้มเชียวนะ!
“ให้ลูกน้องของเธอเอาไปแล้ว” ซือเยี่ยหานพูดขึ้น
ดวงตาของเยี่ยหวันหวั่นพลันส่องประกาย ถึงได้โล่งอกแล้ว ค่อยยังชั่วค่อยยังชั่ว
พอรู้ว่าสมบัติล้ำค่าปลอดภัยแล้ว เยี่ยหวันหวั่นก็นึกถึงเรื่องที่เป็นงานเป็นการขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยด้วยความกระตือรือร้นว่า “อันที่จริงฉันอยากบอกว่า ที่รักคุณดูสิ กู่พิศวาสของพวกเราถูกกำจัดแล้ว ตอนนี้คุณคงเชื่อได้แล้วใช่ไหม ว่าตัวฉันชอบคุณแค่คนเดียว”
เธอเชื่อว่าต่อให้ความทรงจำกลับคืนมา ความรู้สึกของเธอก็ไม่มีทางเปลี่ยนไป
หลังจากที่ได้ศิลาจารึกมาแล้ว ตอนนี้เธอขาดคะแนนเกียรติยศอีกแค่หนึ่งหมื่นแต้มก็สามารถไปหาผู้อำนวยการเพื่อเข้ารับการสะกดจิตครั้งที่สามได้แล้ว
ซือเยี่ยหานมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาละโมบปรารถนา และมองเชือกไหมสีแดงที่ร้อยกระดุมข้อมือซึ่งแนบอยู่ตรงไหปลาร้าของเธอ
เส้นเลือดบนร่างกายหายไปหมดแล้ว พวกเขาปลอดภัยแล้ว พูดให้ชัดก็คือ เธอชอบตัวเองจริงๆ อย่างน้อยๆ ในช่วงเวลานี้ก็เป็นแบบนี้
การรับรู้นี้ทำให้ในใจเขายินดีอย่างบ้าคลั่ง ทว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความยินดีอันบ้าคลั่งนี้ก็คือคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซือเยี่ยหานก็หยิบของบางอย่างออกมาจากในลิ้นชักหัวเตียง แล้วยื่นใส่มือของเยี่ยหวันหวั่น
“อะไรเหรอ” เยี่ยหวันหวั่นกะพริบตา รับไปด้วยความสงสัย
ผลคือหลังจากเยี่ยหวันหวั่นรับไปแล้ว ก็พบว่ากล่องเล็กๆ ใบนี้ดูคุ้นตาเหลือเกิน จึงเปิดดู…
“ตายละนี่ไม่ใช่แหวนวงนั้นที่จี้หวงส่งขึ้นประมูลในงานเลี้ยงการกุศลหรอกเหรอ” เยี่ยหวันหวั่นเผยสีหน้าตกตะลึง พยายามปกปิดความละโมบที่ทอประกายอยู่ในดวงตาของตัวเอง
ซือเยี่ยหานมองหญิงสาวแวบหนึ่ง “เธออยากได้ไม่ใช่เหรอ”
เยี่ยหวันหวั่นส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว ทำสีหน้าตื่นตัว “เปล่านะ ไม่เลย ฉันไม่อยากได้!”
เมื่อเห็นสาวน้อยปฏิเสธด้วยท่าทางลำบากยากเย็น ความเยือกเย็นในดวงตาของซือเยี่ยหานก็พลันถูกแทนที่ด้วยแววขบขัน ความกังวลเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ในใจเลือนหายไปในทันที “จริงเหรอ”
หัวใจดวงน้อยๆ ของเยี่ยหวันหวั่นหลั่งเลือดแล้วทำให้เธอไม่อาจพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกไปได้ จึงเบี่ยงประเด็นถามอย่างระมัดระวังว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงมอบสิ่งนี้ให้ฉันล่ะ”
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าครั้งก่อนมีปัญหากับเธอจนไม่อาจประนีประนอมได้เพราะแหวนวงนี้…
พอเยี่ยหวันหวั่นพูดไปแล้ว ก็พึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “หรือว่าเพราะเมื่อคืนฉันทำได้ดีมาก”
เมื่อซือเยี่ยหานได้ยินสีหน้าก็แข็งทื่อไป แล้วเอ่ยอย่างไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง “ไม่เพราะอะไรทั้งนั้น ก็แค่แหวนวงเดียว”
เยี่ยหวันหวั่นเงียบ…
อุหวา…
ท่าทีเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยเหรอ
อันที่จริงเดิมทีก็ควรเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เธอทุ่มเทจิตใจให้เขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาหึงหวงกับอีแค่แหวนวงเดียวเลย
โอ้ หรือจะเป็นเพราะว่า หลังจากอยู่ด้วยกันมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองคือตัวจริงน่ะ
เวรกรรม ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก เธอคงยอมทุ่มเทสละทุกสิ่งแล้วโผเข้าทับเขาไปนานแล้ว จะทนแบกรับความทุกข์ยากมากมายขนาดนี้เหรอ…
——————————————————————
บทที่ 2014 ต้องเสียสละตัวเองเพื่อใช้อุบายคนงามด้วยเหรอ
“ฮี่ๆ งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ!” เยี่ยหวันหวั่นหอมมุมปากของซือเยี่ยหานทีหนึ่ง จากนั้นก็รีบโอบแหวนไว้ในอ้อมแขน
ก่อนหน้านี้ยังคิดอยู่เลยว่าจะไปหาคะแนนเกียรติยศหนึ่งหมื่นแต้มมาได้ยังไง ไม่คิดเลยว่าพอนอนตื่นขึ้นมาจะมีคนมาประเคนให้ถึงหมอนเลย โชคดีเหลือเกิน
พอเป็นแบบนี้แล้ว เธอก็สามารถไปที่โรงเรียนเพื่อให้ผู้อำนวยการช่วยสะกดจิตให้ตัวเองได้แล้ว แถมยังชดใช้หนี้คะแนนเกียรติยศที่ค้างชำระไว้ครั้งก่อนได้อีกด้วย
ขณะที่กำลังดีใจอยู่นั้น เยี่ยหวันหวั่นก็เหลือบไปเห็นมือถือของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง มือถือสั่นกะพริบอยู่ตลอด เป็นเพราะโหมดห้ามรบกวนไว้จึงไม่ส่งเสียง
ไม่ต้องคิดก็รู้เลย ต้องเป็นทางพันธมิตรอู๋เว่ยโทรเข้ามาแน่
โอ้ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เธอจะตามซือเยี่ยหานมาต่อหน้าต่อตาทุกคนเลยสินะ? แถมตอนนั้นยังขอให้กอด ขอให้จูบอีก ส่วนซือเยี่ยหานก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะตามใจเธอทุกอย่าง
ไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้แล้วว่า ตอนนั้นพวกเป่ยโต่วจะมีสีหน้าแบบไหนกัน…
ซือเยี่ยหานไม่ได้ใส่ใจเยี่ยหวันหวั่นที่กำลังตรวจดูมือถืออยู่สักเท่าไร เพียงแต่ มีจุดเล็กน้อยเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะใส่ใจอยู่บ้าง
บันทึกการโทรในมือถือของเยี่ยหวันหวั่น มีชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาบ่อยครั้งเป็นพิเศษ เถ้าแก่โรงงานน้ำส้มสายชูแห่งรัฐอิสระ…
ซือเยี่ยหานกวาดสายตามองรายชื่อนั้น “เถ้าแก่โรงงานน้ำส้มสายชู…แห่งรัฐอิสระ”
ซือเยี่ยหานเพิ่งเอ่ยจบ หัวใจของเยี่ยหวันหวั่นก็ไหวสะท้านในทันที เอ่ยโพล่งออกมาด้วยความร้อนตัว “เอ่อ น้ำส้มสายชูที่โรงอาหารของพันธมิตรอู๋เว่ยใกล้จะหมดแล้วน่ะ…”
“จริงเหรอ” ซือเยี่ยหานไม่ได้พูดอะไรอีก ทว่าหยิบมือถือของตัวเองมา จากนั้นก็กดปลดล็อค
จากนั้น วินาทีต่อมา มือถือของเยี่ยหวันหวั่นก็ส่องแสง
ชื่อสายเรียกเข้าคือ…เถ้าแก่โรงงานน้ำส้มสายชูแห่งรัฐอิสระ
เยี่ยหวันหวั่นแข็งทื่อไปแล้ว
ส่วนซือเยี่ยหานก็เงียบกริบ
หลังจากเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยหวันหวั่นก็เอ่ยด้วยสีหน้าอยากร้องไห้ว่า “นั่นน่ะ…ฉันอธิบายได้นะ…อันที่จริงฉันก็พิมพ์ไปเรื่อย…ต้องเป็นความผิดของขั้นตอนการบันทึกชื่อแน่!”
มุมปากของซือเยี่ยหานกระตุกแวบหนึ่ง
เยี่ยหวันหวั่นรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “เฮ้อ ใช่แล้ว แล้วคุณบันทึกชื่อฉันไว้ว่าอะไร”
จู่ๆ เยี่ยหวันหวั่นก็นึกอยากรู้เป็นพิเศษ ดังนั้นจึงต่อสายหาซือเยี่ยหานทันที พลางชะเง้อมอง
ในไม่ช้า เยี่ยหวันหวั่นก็ได้เห็นว่าบนหน้าจอมือถือของซือเยี่ยหานที่สว่างวาบขึ้นมา มีตัวอักษรที่เรียบง่ายอย่างยิ่งเด้งขึ้นมาสองตัว MW
“M…W เหรอ นี่หมายความว่ายังไงน่ะ” เยี่ยหวันหวั่นคิดอยู่นาน ก็คิดไม่ออกเลยว่าคำนี้จะหมายถึงอะไรได้ ทำไมซือเยี่ยหานต้องใช้อักษรสองตัวนี้มาบันทึกเป็นชื่อเธอด้วยล่ะ
W เป็นตัวย่อมาจากตัวหวั่นสินะ งั้น M ย่อมาจากอะไรกัน
“คุณเก้าๆ สองตัวนี้หมายความว่ายังไง” เยี่ยหวันหวั่นถามด้วยความอยากรู้จนทนไม่ไหว
ซือเยี่ยหานเก็บมือถือไปอย่างเงียบเชียบ ยกถ้อยคำที่เยี่ยหวันหวั่นเพิ่งพูดไปออกมาตอบ “บันทึกไปเรื่อย ไม่มีความหมายอะไร”
เยี่ยหวันหวั่นสงสัย “จริงเหรอ…”
ซือเยี่ยหานตอบนิ่งๆ “ไม่งั้นเธอคิดว่ายังไงล่ะ”
เยี่ยหวันหวั่นไม่พูดต่อแล้ว อภัยให้เธอด้วยที่ไม่สามารถอ่านความคิดของวงจรสมองที่หักเลี้ยวเวียนวนกลับไปกลับมาสิบแปดขดราวกับเส้นทางบนภูเขาของซือเยี่ยหานได้เลย
….
ณ พันธมิตรอู๋เว่ย
ชาวพันธมิตรอู๋เว่ยรอคอยมาหนึ่งวันหนึ่งคืนในที่สุดก็หมดความอดทนแล้ว
เป่ยโต่วตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน พลางพูดกับหลินเชวียด้วยความโกรธ “เฮ้ย สรุปแล้วมันยังไงกันแน่ คนล่ะ คงไม่ใช่ว่าพวกคุณคิดจะใช้อุบายคนงามกับพันธมิตรอู๋เว่ยของพวกเราใช่ไหม จงใจลักพาตัวเธอไปสินะ!”
ตอนนี้หลินเชวียเองก็เหนื่อยใจมากเช่นกัน จึงตวัดสายตามองเป่ยโต่วด้วยความหงุดหงิดแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยความโมโหทว่าจนปัญญา “ถ้าหากเจ้านายของเราคิดจะพาตัวผู้นำของพวกคุณไป ยังต้องเสียสละตัวเองเพื่อใช้อุบายคนงามด้วยเหรอ”
เป่ยโต่วไม่พูดอะไร และใคร่ครวญด้วยใบหน้าจริงจังอยู่แวบหนึ่ง
จากนั้นก็พบว่า ไม่อาจเถียงกลับได้เลย จะทำยังไงดีล่ะ
นายแห่งอาชูร่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น แต่พี่เฟิงน่ะถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาขวางไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย ก็คงโผเข้าใส่ด้วยตัวเองไปนานแล้ว…
……………………………….