สัตว์อสูรตัวอื่นๆในเจดีย์มีอยู่ตั้งมากมาย มันไม่คิดรังแก กลับมาเลือกตนเอง เจ้านกยักษ์คิดไม่ออกเลยว่าตนเองเคยไปทำผิดต่อมันในที่ใด
ฟันของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แหลมคมจนน่ากลัว
อีกด้านหนึ่ง บนยอดเจดีย์ จีเฉวียนยังคงหรี่ตาดู แววตาของเขามองเข้าไปในมุมมืดมุมนั้น
กลิ่นอายที่พุ่งพล่านออกมาจากด้านในอย่างไม่ขาดตอนนั่น ดูน่าคุ้นเคยอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกัน เจ้าตัวประหลาดที่อยู่ข้างในนั้นก็หันมามองเขาด้วยเช่นกัน
แววตาที่ลึกล้ำนั่น ดูราวกับว่าสามารถมองทะลุวิญญาณของมนุษย์ได้เช่นกัน
พอดวงตาคู่นั้นมองออกมา กรงเล็บที่ตอนแรกคว้าเจ้านกยักษ์เอาไว้แน่น ก็เหมือนจะคลายออกเล็กน้อย
มันกำลังสูดลมหายใจ ลมที่พ่นออกมาจากจมูก ทำให้เสื้อผ้าของจีเฉวียนปลิวขึ้นไป
ตู๋กูซิงหลันเองก็มองเข้าไปในมุมมืดเช่นกัน ในนั้นมืดจนเกินไปแล้ว ราวกับว่าแสงใดล้วนถูกดูดเข้าไปจนหมด แม้แต่นางที่มองดูเพียงแวบเดียว ก็ยังรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปด้วยเลย
นางเคยพบเห็นสัตว์อสูรมาไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยเจอความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
เพียงแค่ลมหายใจที่พ่นออกมา ก็ทำให้ในสายตาของนางเหมือนได้เห็นภาพของยุคบรรพกาลเกิดขึ้นตรงหน้า
แม้แต่ลมหายใจของมันก็ยังน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ แต่ว่ามันกลับเอาแต่สงบนิ่งอยู่ในมุมมืด ไม่ยอมเคลื่อนไปไหน
ต่อเมื่อจีเฉวียนเจอกับมันได้ครู่หนึ่ง มันถึงได้เกิดปฏิกริยาขึ้นมา
“ตึง ตึง ตึง….”
พอมันขยับตัว ก็ได้ยินเสียงเหมือนโซ่เหล็กขาดออกจากกัน จากนั้นก็เห็นกรงเล็บสีดำขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากความมืดมิด บนกรงเล็บสีดำมีห่วงเหล็กหนากว่าข้อมือ กรงเล็บทั้งหมดถูกล่ามโซ่เอาไว้อย่างแน่นหนา
เพียงแค่กรงเล็บเพียงอย่างเดียว ก็มีขนาดใหญ่กว่าปีกของเจ้านกยักษ์แล้ว
คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันถึงได้เห็นชัดเจนว่า บนกรงเล็บนั้นมีเกล็ดขึ้นโดยรอบ เป็นเกล็ดที่คล้ายกับของพวกมังกร แต่ว่าก็มิได้เหมือนเสียทีเดียว
นางขยับคอยืดยาว อยากจะมองให้ชัดเจนอีกสักหน่อย
ท่าทางที่กึ่งปิดบังกึ่งเปิดเผยเหมือนกับผีผาที่ถูกโอบเอาไว้เช่นนี้ ช่างกระตุ้นความอยากรู้ของผู้คนยิ่งนัก
คราวนี้ กรงเล็บขนาดใหญ่นั่นถึงกับเคาะลงไปบนพื้นของเจดีย์ชั้นที่เก้าอย่างไม่เกรงอกเกรงใจอีกต่อไป ปลายเล็บที่แหลมคมเจาะลงไปบนพื้นจนเกิดรู
ปลายเล็บของเจ้านกยักษ์ก็นับว่าแหลมคมมากแล้ว แต่ว่ากรงเล็บของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้นับว่าสุดยอดยิ่งกว่า
ท่าทางยามที่มันเคาะพื้นเช่นนั้น ทำให้ตู๋กูซิงหลันต้องนึกถึงจีเฉวียนขึ้นมา
นางเงยหน้ามองดูจีเฉวียนแวบหนึ่ง เขาเองก็ยังจะทำกริยาเช่นนี้เป็นประจำ ตั้งแต่ตอนที่นางได้รู้จักเขาขณะอยู่ในแคว้นต้าโจวเขาก็ทำเช่นนี้แล้ว….
ท่าทางที่เจ้าตัวประหลาดนี้เคาะพื้น ช่างเหมือนกับเขาไม่มีผิด
“ดูสิมันเก่งไม่น้อย พาไปด้วยกันเลยดีไหม?” ตู๋กูซิงหลันเอ่ยปากถาม ในเมื่อมีท่าทางที่เหมือนๆกัน แสดงว่ามีวาสนาต่อกันอยู่บ้าง
นอกเสียจากเจ้าเมียเมียแล้ว จีเฉวียนเหมือนจะไม่มีสัตว์อสูรในพันธะตัวอื่นอีกเลยกระมั้ง?
จู๋จู๋นั่นไม่นับ….
พูดไปแล้วตู๋กูซิงหลันก็ออกจะแปลกใจอยู่บ้าง ตอนที่เมียเมียปรากฏตัวออกมา ก็มักจะออกมาจากหมอกสีดำทะมึน ราวกับว่าเป็นเพียงจิตวิญญาณ แม้แต่ตัวนางก็ยังไม่เคยมองเห็นชัดเจนเสียทีว่าตกลงแล้วมันมีรูปร่างหน้าตาเช่นไรกันแน่
ตอนนี้จีเฉวียนกลับมาแล้ว….เช่นนั้นเจ้าเมียเมีย ก็สมควรจะกลับคืนมาด้วยเช่นกันล่ะมั้ง?
สำหรับท่านอาจารย์….ตั้งแต่เล็กจนโต ตู๋กูซิงหลันไม่เคยเห็นอาจารย์มีสัตว์อสูรใดอยู่ข้างกายมาก่อนเลย
มีแต่พวกสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อยที่ดาหน้ากันเข้ามา ขอเป็นสัตว์อสูรในพันธะของเขา แต่ว่าสายตาของท่านอาจารย์ช่างสูงส่งอย่างที่สุด ตลอดหลายปีมานี้ ไม่เคยเห็นจะมีตัวไหนเข้าตาของเขาสักตัว
พอได้ยินเช่นนั้น แม้แต่เจ้านกยักษ์ที่กำลังตัวสั่นเทาอยู่ก็ยังอดที่จะทำตาค้อนใส่นางไม่ได้
นึกว่าเป็นการซื้อขายไก่หรือไง เจ้าบอกจะพาไปก็พาไปได้หรือ ผู้อื่นเขาไม่ต้องรักษาหน้าไว้บ้างหรือไร?
สตรีผู้นั้น คงมิได้ขวัญกล้าจนบ้าบิ่นขนาดที่แม้แต่เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็ยังจะเอากลับไปตุ๋นกินด้วยใช่ไหม?
แต่คิดๆดูแล้วก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าสมองของนางดูเหมือนจะมิได้เป็นปกติสักเท่าไหร่
พอได้ยินเสียงของนาง เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นก็จ้องมองไปที่นางจากในความมืด แววตาของมัน มองนิ่งอยู่เนิ่นนาน
กรงเล็บของมันขยับออกมาด้านนอกมากกว่าเดิม ทีละน้อยๆ จนทำให้เห็นหนวดเคราดำครึ้มขยับออกมา
หลังหนวดเคราดำครึ้มนั่น เป็นใบหน้าคนครึ่งหน้า!
ใบหน้าคนขนาดใหญ่ นัยตาสีดำคมเข้ม ผิวพรรณดุจเนื้อหยกโบราณ หากมิใช่รู้แต่แรกแล้วว่ามันคือสัตว์อสูรบรรพกาลที่แสนโหดเหี้ยม แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็คงจะถูกใบหน้าครึ่งหน้าที่แสนจะงดงามนั้นดึงดูดจนหลงใหลไปแล้ว
นั่นเป็น ความงดงามที่มีมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ความมืดดำอันธกาลอันไร้สิ้นสุดและลึกลับชั่วร้าย
ความงดงามนั่น มิได้เป็นรองจีเฉวียนและซื่อมั่วเลย!
พอมองดูให้ละเอียด แววตาที่อยู่บนครึ่งใบหน้านั้น มีความลึกลับคล้ายคลึงกับดวงตาหงส์ของจีเฉวียนอย่างยิ่ง
สิ่งเดียวที่ไม่ดีก็คือ หนวดเคราสีดำที่ดกหนาเหล่านั้นทำให้ครึ่งใบหน้านั้นไม่น่าดูเอาเสียเลย
พอใบหน้าครึ่งหนึ่งนั้นโผล่ออกมา ใบหน้าของจีเฉวียนก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างหาได้ยาก
พริบตานั้น ในสมองของเขาเหมือนจะมีบางสิ่งสว่างวาบขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันเองก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆถึงได้เกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
ราวกับว่านางเองก็เคยได้เจอมันมาก่อนแล้ว
เจ้านกยักษ์เองก็มีสีหน้าตกตะลึงไป….ไม่ใช่สิ เมื่อครู่ตอนที่เจ้าตัวประหลาดนี้ดื่มเลือดของมันลงไป มิได้มีทีท่าเช่นนี้!
ใบหน้าสัตว์อสูรที่ถมึงทึงจนน่าหวาดกลัวเมื่อครู่ ตอนนี้อยู่ๆกลับเปลี่ยนใบหน้าของมนุษย์ขึ้นมาในพริบตา ต้องปฏิบัติอย่างแตกต่างกันถึงเพียงนี้เลยหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าที่ผุดขึ้นมานั่น มันรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองก็พอจะรู้จักอยู่เหมือนกัน
นั่นมิใช่ว่าเป็น บุรุษที่น่ากลัวที่สุด ในยุคบรรพกาลหรอกหรือ?
ตั้งแต่ครั้งบรรพกาล มันเคยได้เห็นบุรุษผู้นั้นแต่ไกลๆหนหนึ่ง แม้จะแค่แวบเดียว แต่ว่ารูปร่างหน้าตาเช่นนั้นก็ติดตรึงอยู่ในสมอง แม้ว่าจะผ่านพ้นมาแล้วหลายต่อหลายปีและมีบางสิ่งที่ถูกลืมไปแล้ว แต่พอใบหน้าของเขาปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มันก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจน
เจ้าตัวประหลาดนั่น…ทำไมมันถึงได้แปลงใบหน้าเป็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นขึ้นมา?
คงมิใช่เพราะว่าเกิดถูกใจสตรีที่คิดจะจับมันไปตุ๋นหรอกนะ?
สัตว์ที่โหดเหี้ยมเช่นนั้น โดยมากมักไม่ชื่นชอบเผ่าพันธุ์อื่น แต่ว่าหากเกิดชอบพอขึ้นมาละก็ ก็จะรักสุดชีวิตสุดจิตสุดใจตราบจนตายไปเลย
มันจำต้องยอมรับว่าสตรีชาวมนุษย์ผู้นั้นถือเป็นสัตว์สองเท้าที่งดงามอย่างยิ่ง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นที่ว่าเจ้าตัวประหลาดนั่นได้เห็นเพียงแวบเดียวก็เกิดถูกใจเข้าแล้วกระมั้ง?
เจ้าตัวประหลาดนั้นพึ่งจะแปลงใบหน้าครึ่งหน้านั้นออกมา ก็เห็นทัพจักรพรรดิสวรรค์ของตี้เสียเหาะเข้ามาใกล้ พวกเขาพากันรายล้อมอยู่รอบเจดีย์ สกัดทางจีเฉวียนเอาไว้
ตระเตรียมจะถล่มกระทั่งเจดีย์ลงไปพร้อมๆกัน
บนร่างของพวกเขา ไม่รู้ว่ามีหินวิญญาณสีทองจำนวนมากมายตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้พวกเขาใช้หินวิญญาณสร้างเป็นกำแพงสูง โดยมีเจดีย์เป็นศูนย์กลาง
“โอ้ นี่คิดจะจุดระเบิดหินวิญญาณเหล่านี้ เพื่อทำลายพวกเราให้กลายเป็นผุยผงอย่างงั้นหรือ?”
ตู๋กูซิงหลันมองดูเพียงแวบเดียวก็อ่านแผนของตี้เสียออกแล้ว
พวกทัพจักรพรรดิสวรรค์ พอได้ยินคำพูดของนาง แววตาก็เปิดเผยความเหี้ยมโหดออกมา เหล่าเทพที่สูงส่ง ย่อมไม่ชอบให้พวกมดปลวกอ่านแผนการณ์ของพวกเขาออกอยู่แล้ว
พวกเขาถูกบีบคั้นจนจำใจต้องนำหินวิญญาณออกมาเป็นชนวน เพื่อระเบิดพวกนางให้กลายเป็นจุล ก็ถือว่าเสื่อมเสียหน้ามากแล้ว
สตรีผู้นี้ยังจะมาเย้ยหยันกันถึงเพียงนี้อีก?
ในทางตรงกันข้าม บุรุษที่ดีดพิณผู้นั้น เขาเหมือนคร้านที่จะสนใจพวกตนเสียด้วยซ้ำ
ขณะที่ทุกสายตากำลังจับจ้องมา เขาก็ยื่นมือไปทางเจ้าตัวประหลาดที่อยู่ในชั้นที่เก้า เอ่ยว่า “ไปเถอะ”
น้ำเสียงที่เอ่ยอย่างนุ่มนวลเพียงคำเดียวนั้น ราวกับว่าเขากำลังเรียกสัตว์เลี้ยงตัวโปรดในบ้านกลับไป
เจ้าสัตว์ประหลาดตะลึงไปเล็กน้อย มันจ้องมองไปที่ใบหน้าอันงดงามอย่างที่สุด จากนั้นก็หัวเราะโฮกๆๆ ออกมา
และเพราะใบหน้านั้นมีขนาดใหญ่มาก ถึงแม้ว่าจะงดงามเพียงไร แต่ยามกลับเราะกลับดูน่าขนพองสยองเกล้าอยู่บ้าง
จากนั้นมันก็อ้าปาก ส่งเสียงแหลมๆออกมาคำหนึ่ง “เมีย เมีย เมีย~”
…………………