เฉกเช่นเดียวกับจวนเป่ยอี้อ๋อง ไม่มีผู้ใดเห็นพวกเขา
จากนั้น เสียงของบุรุษก็ดังมาจากจุดที่อยู่ไกลออกไป
“คลอดแล้วหรือ? คลอดแล้วหรือ? นางเป็นอย่างไรบ้าง? ”
คนผู้นั้นคือหลานเสวียนหมิง
หลานเสวียนหมิงเดินมาถึงหน้าประตูห้อง สตรีนางหนึ่งรีบเดินออกมาจากด้านใน มือและร่างกายของนางเต็มไปด้วยเลือด
“ท่านแม่ทัพ ยังไม่คลอดเจ้าค่ะ ตำแหน่งของทารกในครรภ์ไม่ถูกต้อง ก้นเด็กออกมาก่อน คลอดยากเจ้าค่ะ”
หลานเสวียนหมิงคว้าคอเสื้อหมอตำแย “เจ้าพูดอันใด? เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ”
หมอตำแยตกใจจนหน้าถอดสี “ท่านแม่ทัพ ข้า… ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีวี่แววมาก่อนเลย”
“ไปให้พ้น! ” หลานเสวียนหมิงเหวี่ยงหมอตำแยออกไป “ข้าต้องการให้ทั้งมารดาและเด็กปลอดภัย หากฉินเกอและเด็กเป็นอันใด พวกเจ้าทุกคนอย่าคิดจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปเลย”
สีหน้าของหมอตำแยยิ่งซีดขาวมากขึ้น นางรีบลุกขึ้นจากพื้นและเข้าไปภายในห้องอย่างรวดเร็ว ทั้งยังวิ่งไปพลางพูดไปพลาง “เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ! ”
ภายในห้องมีเสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดดังมากขึ้นทุกที อีกทั้งเสียงของหมอตำแยยิ่งร้อนใจ ต่อมาก็มีเสียงสั่นเครือ
หลานเสวียนหมิงเดินวนไปวนมาในเรือนด้วยสีหน้ากังวล เหมือนมดบนหม้อไฟ
ซูจิ่นซีหันศีรษะไปทางเยี่ยโยวเหยาและพูดว่า “ข้าขอไปดูหน่อย”
เยี่ยโยวเหยาพูดว่า “เป็นเพียงจิตสำนึกที่เป่ยถังฉินเกอทิ้งไว้ มีอันใดน่าดูหรือ? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทว่าข้ามักรู้สึกว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจริงมาก ทั้งยังเกี่ยวพันถึงสองชีวิต เป่ยถังฉินเกอและเป่ยถังหลี”
เมื่อนึกถึงเป่ยถังหลี หรืออีกชื่อหนึ่งคือหลานเยวี่ยหลี เด็กสาวที่สดใสบริสุทธิ์ ซูจิ่นซีก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ปล่อยวางไม่ได้
“ตกลง เจ้าระมัดระวังด้วย! ” เยี่ยโยวเหยาพูด
“เพคะ! ”
จากนั้น ซูจิ่นซีก็เดินเข้าไปภายในห้อง
ภายในห้องร้อนอบอ้าว ไอน้ำปกคลุมทั่วห้อง
เตาอั้งโล่ขนาดใหญ่สี่ใบตั้งบนพื้น อ่างน้ำขนาดใหญ่และขนาดเล็กวางอยู่บนพื้น หมอตำแยสามคนกำลังง่วนอยู่กับการทำคลอด จนบางครั้งรู้สึกว่าพวกนางทำไม่ทัน
เป่ยถังฉินเกอที่นอนอยู่บนเตียง ร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและกำลังหายใจรวยริน
ซูจิ่นซีเดินเข้าไปหาเป่ยถังฉินเกออย่างเชื่องช้า เป่ยถังฉินเกอค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นซูจิ่นซี นางก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใสเป็นพิเศษ
รอยยิ้มนั้นคล้ายกับของเป่ยถังหลีมาก
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว! ”
ซูจิ่นซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้ว่าข้าจะต้องมาหรือ? ”
เป่ยถังฉินเกอไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดกับซูจิ่นซี เสียงของหมอตำแยดังขึ้น “ฮูหยินฉิน ท่านห้ามหลับเจ้าค่ะ ห้ามหลับ หากท่านหลับจะไม่ตื่นอีกเลยเจ้าค่ะ อย่าเพิ่งหลับ”
“ออกแรงอีกหน่อยเจ้าค่ะ ฮูหยินฉิน เพิ่มแรงอีกนิดเจ้าค่ะ เด็กจะได้ออกมา”
“ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี? หากทารกกับฮูหยินเป็นอันใดไป พวกเราต้องตายแน่ ควรทำอย่างไรดี? ”
“ฮูหยิน ชีวิตของพวกเราอยู่ในมือท่านนะเจ้าคะ ฮูหยินออกแรงอีกนิดเจ้าค่ะ! ”
ทว่าดวงตาของเป่ยถังฉินเกอปิดสนิท ไม่มีทางร่วมมือกับหมอตำแยทั้งสามคนแน่
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วพลางพลิกฝ่ามือ นางรีบหยิบยาเม็ดสีขาวขุ่นออกมาจากระบบถอนพิษ และโน้มตัวยัดยาเม็ดเข้าไปในปากของเป่ยถังฉินเกอ
เป่ยถังฉินเกอลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบากและมองไปที่ซูจิ่นซี
“กลืนเข้าไป! ” ซูจิ่นซีพูด “นี่คือยาที่สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้”
เป่ยถังฉินเกอกลืนยาตามคำสั่งของซูจิ่นซี ในไม่ช้า นางก็มีพลังเพิ่มมากขึ้น
หมอตำแยดีใจมาก “ฮูหยิน ฮูหยินฟื้นแล้ว ฮูหยินฟื้นแล้ว ในที่สุดพวกเราก็รอดแล้ว! ”
หมอตำแยอีกคนรีบจับแขนของเป่ยถังฉินเกอและพูดว่า “ฮูหยิน ฟังเสียงของข้าน้อยนะเจ้าคะ พวกเรามาลองอีกครั้ง! คุณหนูยังมีชีวิตอยู่”
เป่ยถังฉินเกอเหลือบมองซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีจับแขนอีกข้างหนึ่งของเป่ยถังฉินเกอ และพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ร่วมมือกับหมอตำแยเถิด”
จากนั้น เป่ยถังฉินเกอจึงร่วมมือกับหมอตำแยอีกครั้ง ไม่นานนัก เสียง ‘อุแว้’ ก็ดังคมชัด สะท้อนไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนและดังไปทั่วจวนหลาน ในที่สุด ทารกก็คลอดออกมาอย่างปลอดภัย
“คลอดแล้ว ในที่สุดคุณหนูก็คลอดออกมาแล้ว” หมอตำแยดีใจยิ่งนัก
นอกจากเป่ยถังฉินเกอแล้ว ไม่มีใครเห็นซูจิ่นซี
หมอตำแยห่มทารกด้วยผ้าห่มผืนเล็กแล้วอุ้มออกมา “ท่านแม่ทัพ คลอดแล้วเจ้าค่ะ ในที่สุดฮูหยินฉินก็คลอดแล้วเจ้าค่ะ เป็นบุตรสาว ท่านดูสิเจ้าคะ ใบหน้าเหมือนฮูหยินฉินมาก! ”
“ใช่… ใช่หรือ! ” หลานเสวียนหมิงดีใจมากจนเสียงเปลี่ยน
“ขอบใจมาก! ” เป่ยถังฉินเกอพูดกับซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มตอบเป่ยถังฉินเกอแล้วหันหลังกลับเดินออกมาจากห้องโดยไม่พูดอันใดสักคำ ทว่าขณะที่นางเดินออกมาจากห้อง มือของนางก็แตะหน้าท้องโดยตั้งใจ
เด็กน้อย หากเจ้าคลอดออกมา คงจะน่ารักเหมือนเด็กคนนี้ใช่หรือไม่?
เจ้ากับมารดาผ่านความยากลำบากมามากมาย ไม่ว่าอย่างไร มารดาจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะอยู่ไปจนคลอดเจ้าออกมา อยู่จนบิดาของเจ้ารวบรวมใต้หล้า อยู่กับเขาให้นานและตลอดไป นานเท่านาน
เมื่อซูจิ่นซีคิดถึงเรื่องนี้ ภายในใจพลันรู้สึกเจ็บปวด
เยี่ยโยวเหยาเดินมาหาซูจิ่นซี นิ้วเรียวลูบผมหน้าม้าของซูจิ่นซีอย่างนุ่มนวล “เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดเจ้าถึงดูเศร้าเล็กน้อย”
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้น พลางมองดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยา นางยกนิ้วมือลูบแก้มของเยี่ยโยวเหยาอย่างแผ่วเบา และเขย่งเท้าจูบริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยา จากนั้นจึงเข้าไปซุกในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยาราวกับลูกแมวออดอ้อน
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงคิดถึงลูกของเรา”
เยี่ยโยวเหยาตกตะลึงเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วและยกแขนกอดซูจิ่นซีในอ้อมแขนแน่น ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย
“อย่ากังวล แม้ต้องรวบรวมใต้หล้าจนสุดความสามารถ ข้าต้องปกป้องพวกเจ้าแม่ลูกให้ปลอดภัย”
“ชู่… ” ซูจิ่นซีวางนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากของเขา
“เยี่ยโยวเหยา ข้าไม่ต้องการให้ท่านทำสุดความสามารถเพียงลำพัง ขอเพียงท่านอ๋องอยู่ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
“ตกลง ข้าอยู่กับเจ้าเสมอ! ”
หลังสิ้นเสียงของเยี่ยโยวเหยา ภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
แม้จะเป็นเวลากลางคืน ทว่าเปลวเพลิงกลับส่องสว่างทั่วท้องฟ้ายามราตรีจนเหมือนเป็นเวลากลางวัน
รอบบริเวณมีเสียงนกเค้าแมวดังตลอดเวลา ฟังดูเย็นยะเยือกน่าหวาดกลัว
ที่นี่คือแท่นจิ่วโยว
บนแท่นจิ่วโยวมีคนมากมาย และเมื่อสำรวจอย่างละเอียด พวกเขาทั้งหมดเป็นคนของจวนเป่ยอี้อ๋อง ในกลุ่มคนเหล่านั้น ผู้ที่ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาคุ้นเคยอย่างมากก็คือเป่ยถังเฮ่อ อีกคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเป่ยถังเฮ่อ ทว่าสีหน้าของเขาอิ่มเอิบสงบนิ่งมีราศียิ่งกว่าเป่ยถังเฮ่อ คนผู้นั้นคงเป็นเป่ยถังเจี๋ย ท่านอ๋องแห่งแคว้นเป่ยอี้ บิดาของเป่ยถังเย่
ทั้งสองมีสีหน้าสงบนิ่ง นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือตำแหน่งสูงสุด มีบ่าวรับใช้ยืนอยู่ด้านหลังฝั่งละแปดคน
ในตำแหน่งที่ต่ำลงมาจากเป่ยถังเฮ่อและเป่ยถังเจี๋ย มีผู้สูงอายุแปดคนนั่งอยู่ พวกเขาสวมเสื้อผ้าสีขาวหิมะ ผมสีขาวโพลน ทว่าใบหน้าของพวกเขากลับแดงก่ำราวกับยังเยาว์วัย คงเป็นแปดผู้อาวุโสในตำนานของตระกูลเป่ยถัง
บนแท่นบูชาไกลออกไป เปลวไฟของแท่นจิ่วโยวกำลังลุกโชน เสื้อผ้าสีขาวของเป่ยถังฉินเกอเปื้อนเลือดและถูกผูกติดอยู่กับเสา
สภาพนางคงถูกทรมาน และอยู่ในสภาพหมดสติ