แม้โอสถนี้จะส่งผลกับร่างกายในยามนี้ของเขาน้อยยิ่งนัก แต่พลังของเขามาถึงคอขวดแล้ว อีกทั้งเขากำลังจะเข้าไปในทางปีศาจร้าย ดังนั้นเวลานี้เพิ่มพลังขึ้นได้แม้เพียงน้อยนิดก็เป็นเรื่องดี

จากที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ หากกินโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์อีกสักยี่สิบสามสิบเม็ด น่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายขึ้นได้อีกราวหนึ่งส่วน

และด้วยความแข็งแกร่งของกายเนื้อยามนี้ของเขา ไม่ต้องพูดถึงเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน ต่อให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเพียงครึ่งส่วนก็เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญแล้ว

ส่วนโอสถที่เหลือมอบให้เซียเอ๋อร์กินสักหลายเม็ดได้ เซียเอ๋อร์เป็นอสูรเลี้ยงจำพวกกระดูก โอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์มีผลกับนางเป็นพิเศษ

หลิ่วหมิงคิดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้อารมณ์ดีมาก เขาเดินเล่นในตลอดต่อ ซื้อวัตถุดิบอื่นสำหรับการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ แต่ขนาดของตลาดถงหยางค่อนข้างเล็กจึงมีวัตถุดิบหลายอย่างที่รวบรวมได้ไม่ครบ

จากนั้นเขาก็ซื้อแผนที่อย่างละเอียดของพื้นที่ใกล้ๆ ตลาดถงอยางมาฉบับหนึ่ง หลังมองดูก็พบว่าเมืองหนานหลูอยู่ห่างจากตลาดถงหยางไปทางตะวันตกเฉียงใต้สี่ห้าพันกว่าลี้ ระหว่างทางต้องข้ามเทือกเขาขนาดเล็กลูกหนึ่งที่ชื่อว่าเขาอีกา

ดูจากภูมิประเทศ เขาอีกาเป็นเทือกเขาที่ทอดต่อออกมาจากส่วนท้ายของเทือกเขาถงหยาง

ส่วนเมืองหนานหลูเป็นเมืองที่มนุษย์ธรรมดากับผู้ฝึกฝนอยู่ปะปนกันแห่งหนึ่ง และเป็นเมืองหลวงของแคว้นเจียงซึ่งเป็นแคว้นขนาดกลางของมนุษย์ธรรมดา

ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปครึ่งวัน

ครึ่งวันให้หลังท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ร้านรวงสารพัดในตลาดเริ่มทยอยใช้หินจันทรา กระแสธารผู้คนในตลาดไม่เพียงไม่ลดน้อยลงตรงกันข้ามกลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย

หลิ่วหมิงเดินออกมาจากร้านวัตถุดิบร้านหนึ่ง หลังครุ่นคิดเล็กน้อยก็เดินไปทางหอรวมสมบัติ

“ในที่สุดสหายเยี่ยก็มาแล้ว! แม้ถงหยางของพวกเราจะเล็ก แต่คนที่ตามีแววก็ยังเลือกของดีๆ จากที่นี่ได้” นอกประตูหอรวมสมบัติ จั่วกงเฉวียนยืนมือไพล่หลังอยู่ เมื่อเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามาก็หัวเราะฮ่ะๆ ประสานมือเอ่ยขึ้น

“ข้าพบของหายากจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ได้นับว่าเป็นของล้ำค่าอันใด” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยคล้อยตามด้วยท่าทางสบายๆ

“ถ้าเช่นนั้นก็ยินดีกับสหายด้วย พวกเราอย่าได้ชักช้า ตอนนี้ออกเดินทางกันเถอะ” จั่งกงเฉวียนเอ่ยขึ้น

หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย ทั้งสองคนตั้งท่าเคล็ดวิชาทันทีแล้วกลายเป็นลำแสงสองสายมุ่งไปไกลอย่างรวดเร็วพร้อมกัน

แม้ตลาดถงหยางจะวางชั้นจำกัดห้ามบินเอาไว้ แต่ไม่มีผลสักนิดกับหลิ่วหมิงและจั่วกงเฉวียน

กระแสธารผู้คนในตลาดฉับพลันอุทานตกตะลึง พวกเขามองลำแสงที่อยู่ไกลๆ ของพวกหลิ่วหมิงแล้วเริ่มถกเถียงกัน

ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็หายลับไปในม่านราตรี

“จากที่นี่มุ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้คือเมืองหนานหลู แต่ระหว่างทางต้องผ่านเขาอีกา แม้เขาอีกาไม่ใหญ่แต่เป็นถิ่นที่อยู่ของปีศาจอสูรระดับผลึกไปจนถึงระดับแก่นแท้ สหายเยี่ยอย่าได้ประมาท” ระหว่างที่บินอยู่บนท้องฟ้า จั่วกงเฉวียนก็เตือนหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ขอบคุณสหายจั่วยิ่งที่เตือน” ประกายแสงเล็กๆ สว่างขึ้นลึกลงไปในดวงตาหลิ่วหมิง เขาเอ่ยตอบเรียบๆ

ลำแสงของทั้งสองคนรวดเร็วอย่างที่สุด ผ่านไปไม่นานนักก็ออกจากตลาดไปไกล เบื้องล่างค่อยๆ กลายเป็นยอดเขามืดครึ้ม

กลางดึกที่ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า แต่สำหรับผู้ฝึกฝนที่บรรลุระดับผลึกขึ้นไป มีผลน้อยจนเมินเฉยได้

หลิ่วหมิงเพ่งสายตามองทะลุผ่านความมืดได้อย่างง่ายดาย สภาพของเทือกเขาเบื้องล่างเข้าสู่สายตาจนหมดสิ้น จากนั้นคิ้วจึงขมวดเล็กน้อยอย่างยากจะสังเกตเห็น

หากพูดถึงเพียงขนาด เขาอีกาไม่นับเป็นเทือกเขาใหญ่โตอันใดนัก แต่หินบนภูเขาลูกนี้ทั้งหมดเป็นสีดำเหมือนขนกา และมีกระแสลมเย็นเยียบที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวนักเล็ดลอดออกมาเลือนราง ไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากสิ่งใด

ก็เหมือนเช่นที่จั่วกงเฉวียนว่า สถานที่นี้เหมือนจะเต็มไปด้วยพลังปราณชนิดพิเศษบางอย่างซึ่งแตกต่างจากพลังปราณแห่งฟ้าดินทั่วไป ระหว่างหุบเขากับยอดเขาสัมผัสคลื่นปราณปีศาจรุนแรงระลอกแล้วระลอกเล่าได้เป็นระยะ

หลิ่วหมิงกำลังคิดจะเพิ่มความเร็วของลำแสงขึ้นอีกนิด ทันใดนั้นพายุปีศาจระลอกหนึ่งก็แหวกอากาศขึ้นมาจากเบื้องล่าง ทำให้กระแสปราณรอบด้านปั่นป่วนรุนแรงขึ้นมา

ในเวลาเดียวกันนี้ด้านล่างก็มีเสียงคำรามดุร้ายแหลมแสบหูดังขึ้น เสียงประหนึ่งเข็มเหล็กทิ่มหู

หลิ่วหมิงตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาเห็นเพียงกลางหมู่ยอดเขาเบื้องล่างมีเงาเลือนรางสีดำขนาดมหึมาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าตรงมาหาเขาราวกับลูกศรคมกริบ

เขาหรี่ตาสองข้างลง พริบตาก็เห็นร่างจริงของเงาสีดำชัด มันคือปีศาจอินทรีใหญ่ยักษ์ยาวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง บนร่างปราณปีศาจหนาทึบล้อมวนเป็นหมอกสีดำ ดูจากแสงจิตวิญญาณที่ไหลเคลื่อนอยู่บนขนนกสีดำสนิทของมัน มันคือปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ตัวจริงเสียงจริงแน่นอน!

“สหายเยี่ยระวัง นี่คืออินทรีมารมืด เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้!” จั่วกงเฉวียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนขึ้นมา พร้อมกันนั้นร่างกายของเขาก็ขยับหลบออกไปด้านข้างอย่างฉุกละหุก ทันใดนั้นแสงแวววาวสีแดงฉานสายหนึ่งก็บินออกมาจากบนร่าง หลังจากกะพริบวูบหนึ่งก็กลายเป็นดาบยักษ์สีแดงเพลิงยาวหลายจั้งฟันเข้าใส่เงาสีดำ

แม้ปีศาจอินทรีสีดำร่างกายใหญ่โตแต่กลับว่องไวไม่ธรรมดา ปีกสีดำที่แทบจะกลืนไปกับร่างกระพือแผ่วเบา ทันใดนั้นเงาก็เร็วขึ้นเท่าตัว ร่างกายหลบพ้นดาบอัคคียักษ์อย่างเฉียดฉิว

จากนั้นปีศาจอินทรีสีดำตัวนี้พลันอ้าปากกว้าง เข้าไปขย้ำหลิ่วหมิงต่อ

ไม่รู้เหตุใดตั้งแต่ต้นจนจบเป้าหมายของมันเหมือนจะมีเพียงหลิ่วหมิงคนเดียว!

หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจประหนึ่งสายฟ้าแลบ เขามองจั่วกงเฉวียนเหมือนคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นโบกมือข้างหนึ่ง ปราณดำก้อนหนึ่งพวยพุ่งออกมากลายเป็นไม้เท้าหัวผีที่มีไอปีศาจน่าขนลุกอันหนึ่ง

เสียง “เคร้ง” ดังสนั่น!

ไม้เท้าหัวผีฉับพลันกลายเป็นผีร้ายโหดเหี้ยมสูงหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งขวางอยู่หน้าร่างเขา ในเวลาเดียวกันก็ยื่นกรงเล็บยักษ์สีดำข้างหนึ่งออกมาขวางการโจมตีครั้งนี้ของปีศาจอินทรี

ไม้เท้าหัวผีอันนี้ได้มาจากผู้ฝึกฝนสายปีศาจคนหนึ่งที่เขาสังหารก่อนหน้านี้ ในเมื่อเขาเสแสร้งเป็นผู้ฝึกฝนสายปีศาจ หากใช้วิชาสายวิญญาณอย่างเช่นวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เกรงว่าคงถูกคนมองออกง่ายดายยิ่ง

ปีศาจอินทรีสีดำคำรามเกรี้ยวกราด กรงเล็บเหล็กมหึมาสองข้างพลันยื่นออกมา ขยุ้มกรงเล็บผีร้ายสีดำไว้ด้านในแล้วสะบัดออกไปด้านนอก

“ฟู่” ผีร้ายสีดำสูญเสียพลังเวทที่เสริมส่งจึงเปลี่ยนกลับเป็นไม้เท้าหัวผีอันหนึ่งกระเด็นออกไป

พร้อมกันนั้นปีศาจอินทรีก็อ้าปากกว้าง แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งหายวับตรงเข้ามาที่ใบหน้าของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้น เงาร่างเอนวูบหนึ่งก็พลันกลืนหายไปกับอากาศเลือนหายไปจากที่เดิม แสงสีดำที่ปีศาจอินทรีพ่นออกมาจึงยิงใส่ความว่างเปล่า

ครู่ต่อมาเงาร่างของเขาก็ปรากฏอยู่หลังร่างปีศาจอินทรีสีดำราวกับเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา สองแขนพร่าเลือนเพียงชั่วครู่ สิบนิ้วพลันมีแสงสีดำแหลมคมยาวหนึ่งฉื่อกว่าโผล่ออกมาแล้วตะปบลงไปอย่างรุนแรง

เสียง “ฉึก” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!

บนหลังปีศาจอินทรีสีดำถูกตะปบเป็นรอยแผลลึกจนเห็นกระดูกสิบเส้น ขนนกกระจุกใหญ่หลุดร่วงออกมาพร้อมกับเลือดที่สาดกระจาย

ปีศาจอินทรีกรีดร้องเจ็บปวด ปีกทั้งสองข้างกระพืออย่างรุนแรง พายุปีศาจสีดำประหนึ่งดาบวายุนับไม่ถ้วนพุ่งรวดเร็วออกมาจากบนร่างกายของมัน ซัดออกไปมืดฟ้ามัวดิน เปลี่ยนอาณาเขตรอบด้านร้อยจั้งให้กลายเป็นโลกสีดำสนิท

หลิ่วหมิงกำลังจะลงมือหนักหน่วง ทำร้ายปีศาจอินทรีตัวนี้ให้เจ็บสาหัสอีกครั้ง ฉับพลันร่างกายกลับถูกพายุปีศาจซัดจนโงนเงนเล็กน้อย แม้ไม่ถูกทำร้ายบาดเจ็บแต่ก็ยืนไม่อยู่

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วตวาดออกมา ร่างกายอาศัยแรงลมสายนี้พุ่งถอยออกไป ขยับวูบเดียวก็บินออกจากขอบเขตของพายุปีศาจ พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็กวักจากไกลๆ ไม้เท้าหัวผีที่ถูกปีศาจอินทรีโจมตีปลิวไปกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งบินกลับมาอยู่ในมือของเขา  ยกขวางเอาไว้หน้าร่าง

ในเวลานี้เองจั่วกงเฉวียนก็ตวาดคำหนึ่ง แสงเปลวเพลิงบนดาบยักษ์สีแดงฉานสว่างจ้า มันขยับวูบเดียวก็กลายเป็นคมดาบอัคคีรูปร่างเหมือนกันทุกประการห้าสายพุ่งเข้าใส่ปีศาจอินทรีสีดำ

ปีศาจอินทรีสีดำเผชิญหน้ากับดาบอัคคีที่เข้ามาหาอย่างดุดัน ดวงตาของอินทรีพลันทอประกายสีโลหิต มันกรีดร้องเสียงแหลม พายุปีศาจที่วนเวียนรอบร่างมันฉับพลันกลายเป็นเมฆปีศาจสีน้ำเงินเข้มขนาดหลายจั้งก้อนหนึ่ง

เมฆปีศาจถาโถมออกมาท่ามกลางปราณปีศาจสีน้ำเงินเข้มซึ่งแผ่ไปทั่วทุกสารทิศ ชั่วพริบตามันก็ใหญ่ขึ้นถึงหลายเท่า

หลิ่วหมิงตกตะลึง กลางเมฆปีศาจสีน้ำเงินเข้มนี้คล้ายจะมีปราณหยินลึกล้ำสายหนึ่งแผ่ออกมาด้วย มันแตกต่างจากพายุปีศาจดุดันที่วนล้อมอยู่บนร่างปีศาจอินทรีก่อนหน้านี้มาก ถึงกับต้านดาบอัคคีไว้กลางอากาศได้ในครั้งเดียว

ครู่ต่อมาปีศาจอินทรีสีดำก็มองมาหาหลิ่วหมิง ในดวงตาสีดำเข้มคล้ายฉายแววหวั่นเกรงล้ำลึกแวบหนึ่ง ทันใดนั้นร่างกายมหึมาก็บิดตัวเลี้ยว สองปีกหุบลงพุ่งทะลวงเมฆปีศาจดิ่งหนีลงไปเบื้องล่าง

“สหายเยี่ย อินทรีมารมืดตัวนี้เป็นสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นในสภาพแวดล้อมพิเศษของเขาอีกาเท่านั้น แก่นปีศาจของมันมีพลังเวทที่แฝงทั้งปราณหยินและไอปีศาจซึ่งเป็นสิ่งที่คุณสมบัติแตกต่างกันสองชนิดในเวลาเดียวกัน หายากอย่างยิ่ง มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกฝนวิชาสายปีศาจที่สุด ปล่อยให้หลุดมือไม่ได้เด็ดขาด” จั่วกงเฉวียนตะโกนบอกเสียงดัง พร้อมกันนั้นก็จี้ดัชนีออกมา ดาบอัคคีห้าเล่มสลายตัวกลายเป็นเมฆอัคคีสีแดงฉานผืนหนึ่งเข้าโรมรันกับเมฆปีศาจสีน้ำเงินเข้มในพริบตา

เมฆปีศาจสีน้ำเงินเข้มเมื่อไม่มีปีศาจอินทรีควบคุมก็พุ่งซ้ายทะลวงขวาประหนึ่งสิ่งมีชีวิต

สิบนิ้วบนสองมือของจั่วกงเฉวียนแปรเปลี่ยนประหนึ่งวงล้อ ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าออกมาจมลงไปในเมฆอัคคี เมฆอัคคีฉับพลันส่องแสงสีแดงสว่างจ้า ในที่สุดก็ทะลวงให้เกิดช่องว่างขนาดหลายจั้งช่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างหวุดหวิด

หลิ่วหมิงมองผ่านช่องว่างนี้ลงไปเบื้องล่าง ในดวงตามีวงกระเพื่อมสีดำอ่อนก่อตัวขึ้น จากนั้นบนใบหน้าพลันปรากฏสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าๆ ถ้าเช่นนั้นก็ดี พลังของข้ามาถึงคอขวดพอดี อาศัยพลังจากแก่นปีศาจของอินทรีตัวนี้ ไม่แน่ข้าอาจทะลวงผ่านคอขวดได้” เขาหัวเราะจากนั้นกลายร่างเป็นแสงสีดำสายหนึ่งทะลุผ่านช่องว่างของเมฆปีศาจไล่ตามลงไป

จั่วกงเฉวียนมองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงรีบร้อนไล่ตามไป

แม้ปีศาจอินทรีสีดำมีบาดแผลที่หลัง แต่ความเร็วที่มันบินหนีไม่ลดน้อยลงเลยสักนิด ร่างกายหักเลี้ยวครั้งหนึ่งก็อ้อมยอดเขาชันลูกหนึ่งอย่างง่ายดายดุจยกฝ่ามือ จากนั้นหนีไปยังหุบเขาด้านล่างต่อ

ทั้งร่างของหลิ่วหมิงหุ้มอยู่ในปราณสีดำก้อนหนึ่งไล่ตามหลังไปติดๆ

แม้ความเร็วของปีศาจอินทรีจะเร็วอย่างที่สุด แต่เหตุเพราะแผลบนหลัง ดังนั้นอย่างไรก็ยังช้ากว่าหลิ่วหมิงอยู่บ้าง ไม่กี่ลมหายใจให้หลัง ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็เหลือไม่ถึงสิบจั้ง

หลิ่วหมิงตวาดออกมาคำหนึ่ง ทันใดนั้นปราณดำรอบร่างพลันกลายเป็นห้าสาย ล้อมเข้าหาปีศาจอินทรีจากซ้ายขวาหลายทิศทาง

ปีศาจอินทรีสีดำคล้ายจะสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ย่ำแย่ บนร่างจึงเปล่งแสงสีเข้มประหนึ่งปรอท ความเร็วเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าในพริบตา

เงาดำกะพริบวูบหนึ่ง ปีศาจอินทรีก็บินเข้าไปในหุบเขาแล้ว

หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้พลันกระตุ้นพลังเวทในร่างเพิ่มความเร็วกะทันหัน กะพริบวูบเดียวก็มาถึงปากทางเข้าหุบเขา

ตอนนี้เอง เรื่องราวก็พลิกผัน!

ปากทางเข้าหุบเขาฉับพลันมีแสงสีดำส่องสว่าง กำแพงแสงสูงสิบกว่าจั้ง กว้างหลายจั้งผืนหนึ่งลอยขึ้นมากะทันหัน

ลำแสงสีดำยั้งไม่ทันจึงชนบนกำแพงแสงอย่างหนักหน่วง

เสียง “ปึก” หนักๆ ดังขึ้น

ร่างของหลิ่วหมิงที่ถูกปราณดำหุ้มอยู่กระเด็นออกไปทั้งตัว กำแพงแสงสีดำกลับมีเพียงรอยกระเพื่อมจางๆ

วิ้ง…

ทันใดนั้นผืนดินเบื้องหน้าหุบเขาก็มีเสาแสงสีทองสี่ต้นส่องสว่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

อากาศปั่นป่วน ค่ายกลมหึมาลักษณะเหมือนเสากลมซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าจั้งค่ายกลหนึ่งก่อตัวขึ้นในพริบตาโดยมีเสาแสงสี่ต้นเป็นโครง ขังร่างหลิ่วหมิงไว้ด้านในอย่างสมบูรณ์