บทที่ 1648 ระบุสาเหตุ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

สืบ? จินม่านขมวดคิ้ว มองเขาด้วยสีหน้าที่เต็มใบไปด้วยความสงสัย เป็นเรื่องทางตลาดผี อย่าบอกนะว่าเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้?

ไม่มีคำพูดอะไรอีก หยางชิ่งพยักหน้า แล้วรอคอย เฝ้าดู ดูจากความหมายนั้นก็คือ ให้จัดการเดี๋ยวนี้ ตอนนี้!

จินม่านตระหนักอะไรบางอย่างได้ทันที น่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้แล้ว ไม่อย่างนั้นท่านนี้คงไม่พูดเสียงแข็งขนาดนี้หรอก

ผ่านการทำความรู้จักในช่วงหนึ่ง จินม่านก็รู้สึกได้เช่นกันว่าท่านนี้มีจุดที่ไม่ธรรมดา ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรซี้ซั้ว จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที

หลังจากนั้นพักหนึ่ง จินม่านก็เก็บระฆังดาราแล้วบอกว่า “ตอนนั้นราชาปราชญ์ต้องการจะหนีออกมาอย่างราบรื่น ก็เลยขอความร่วมมือจากคนของลัทธิอู๋เลี่ยงที่อยู่ใน ‘หอภูเขาเขียว’ ตลาดผี…” นางเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

“ขอถามอีกสักหน่อย ให้ทางนั้นคิดให้ละเอียด ว่าหลังจากนั้นทางหอภูเขาเขียวมีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า?” หยางชิ่งถาม

จินม่านตอบว่า “เพิ่งจะถามไป ไม่มีความผิดปกติอะไร แค่คนที่ไปไปช่วยเหลือราชาปราชญ์ ที่ชื่อว่าฉินก้วน หลังจากจบเรื่องนั้นก็ประสบเคราะห์แล้ว”

“ประสบเคราะห์แล้วเหรอ?” หยางชิ่งถามอย่างร้อนใจ “ประสบเคราะห์หลังจากจบเรื่อง หรือว่าหลังจากกลับมาที่หอภูเขาเขียวแล้วประสบเคราะห์?”

“หลังจากเกิดเรื่อง ฉินก้วนก็ไม่ได้กลับเข้ามาที่หอภูเขาเขียว” จินม่านตอบ

“แล้วฉินก้วนนั่นวรยุทธ์เท่าไร?” หยางชิ่งถามอีก

“บงกชทองขั้นเจ็ด” จินม่านตอบ

หยางชิ่งได้ยินแล้วก้มหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ตึกศาลาสัตยพรตน่าจะรู้แล้วว่าราชาปราชญ์กับหกลัทธิมีความเกี่ยวข้องกัน”

จินม่านแปลกใจ “ทำไมคิดอย่างนั้น? ตอนนั้นเตรียมการอย่างระมัดระวังมาก”

หยางชิ่งถามกลับว่า “หอภูเขาเขียวอยู่ใต้หนังตาตึกศาลาสัตยพรตมานานหลายปีขนาดนั้น เจ้ากล้าพูดมั้ยล่ะว่าตึกศาลาสัตยพรตจะไม่รู้กำพืดของหอภูเขาเขียว?”

จินม่านเงียบไปครู่หนึ่ง อ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วสุดท้ายก็กล่าวอย่างลังเล “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ปิดบังหัวหน้าผู้ช่วย ที่จริงตึกศาลาสัตยพรตกับหกลัทธิแอบติดต่อกันอย่างลับๆ มาตลอด อีกฝ่ายต้องรู้ถึงกำพืดของของหอภูเขาเขียวอย่างเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าหัวหน้าผู้ช่วยจะไม่กระจายข่าวนี้ให้คนนอกรู้ ไม่อย่างนั้นถ้าให้กำลังพลเบื้องล่างรู้ เจ้าก็คงจะเข้าใจนะ ว่าการที่หกลัทธิถูกขังอยู่ในนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว”

หยางชิ่งส่ายหน้า “เรื่องที่ตึกศาลาสัตยพรตกับหกลัทธิแอบติดต่อกัน เรื่องนี้ต่อเจ้าไม่บอกข้าก็รู้แล้วเช่นกัน”

“เจ้ารู้เหรอ? ใครบอกเจ้า?” จินม่านตกใจ

หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “ยังต้องให้ใครบอกด้วยเหรอ? หกลัทธิอยู่ที่ตลาดผี แอบหาทรัพยากรอยู่ใต้หนังตาตึกศาลาสัตยพรต ถ้าไม่ได้รับอนุญาตแล้วจะปักหลักอยู่ที่นั่นมาตลอดได้ยังไงล่ะ? ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว อยู่ใกล้กันขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็นกันเลยสักนิด! ตระกูลเซี่ยโห้วนี่ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ว่าใครก็คิดว่าตระกูลนั้นกับหกลัทธิเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ไม่มีทางที่จะปล่อยให้หกลัทธิตั้งตัวอยู่ที่ตลาดผี ใครจะคิดล่ะว่าเขาจะส่งเสริมศัตรูให้อยู่ใต้หนังตาตัวเอง เล่ห์เหลี่ยมและความใจกว้างนี้ช่าง…ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารู้ว่าหกลัทธิมีฐานลับอยู่ในตลาดผี ก็อาจจะทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ! ตอนนี้พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงดันประมุขให้ขึ้นสู่ตำแหน่งได้หลายสมัย แล้วก็ทำลายประมุขได้หลายสมัยเช่นกัน คนนอกไม่มีทางรู้ได้ว่าน้ำของตระกูลเซี่ยโห้วนั้นลึกแค่ไหน!”

จินม่านจ้องเขาอย่างพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เรื่องราวที่ซับซ้อนขนาดนี้ ทำไมพออยู่ในสายตาท่านนี้แล้วดูง่ายดายขนาดนี้ล่ะ มองปราดเดียวก็ทะลุปรุโปร่งแล้ว คนคนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ!

ตอนนี้นางเหมือนจะเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงจับหยางชิ่งมาโยนไว้ในตำแหน่งหัวหน้าผู้ช่วยหกลัทธิ!

“ต่อให้ตึกศาลาสัตยพรตจะรู้กำพืดของหอภูเขาเขียว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าตึกศาลาสัตยพรตจะรู้ว่าหกลัทธิกับราชาปราชญ์มีความเกี่ยวข้องกัน ฉินก้วนนั่นไม่ใช่คนของหกลัทธิ แม้แต่กำพืดของหอภูเขาเขียวก็ยังไม่รู้เลย ตอนที่ให้เขาไปลงมือ ก็บอกเขาแค่ว่าราชาปราชญ์ไปล่วงเกินคนอื่นไว้ตอนที่มาหาความสำราญที่หอภูเขาเขียว ให้เขาไปสั่งสอนราชาปราชญ์นิดหน่อยก็เท่านั้นเอง เขาไม่รู้เลยว่าราชาปราชญ์เป็นใคร ต่อให้พลาดถูกจับตัวไปก็ไม่น่าจะพูดอะไรนะ” จินม่านกล่าวอย่างลังเล

หยางชิ่งถอนหายใจ “ตึกศาลาสัตยพรตรู้ถึงกำพืดของหอภูเขาเขียว ตอนนั้นก็จับตาดูราชาปราชญ์ด้วย ราชาปราชญ์สามารถบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ ในบรรดานักพรตบงกชทองไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แล้วพวกเจ้ายังจะส่งนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดไปจัดการราชาปราชญ์เนี่ยนะ?”

“แบบนี้ถึงจะสมเหตุสมผลมากกว่า! เพราะหอภูเขาเขียวไม่รู้ว่าราชาปราชญ์เป็นใคร!” จินม่านยักไหล่สองข้าง

“เรื่องบางเรื่องพวกเราจะคิดไปเองฝ่ายเดียวไม่ได้ ต่อให้อยากจะทำให้สมเหตุสมผลแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ต้องทราบไว้นนั้นตอนนั้นตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูราชาปราชญ์แล้ว!” หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วก็ก้มหน้าพูดเสริมอีกว่า “อย่างน้อยในสายตาข้า ตอนนั้นข้างกายราชาปราชญ์ก็ไม่ได้มีแค่ราชาปราชญ์คนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าพวกเจ้าจะส่งนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดไปคนเดียว? แค่นี้ก็มีเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำได้พวกเขาสงสัยแล้ว…”

จินม่านแกตัวว่า “ก็เพราะไม่รู้เบื้องลึกของราชาปราชญ์ชัดเจน ก็เลยไม่รู้ว่าข้างกายเขามีคนอยู่มากเท่าไร ก็เลย…”

หยางชิ่งยกมือขึ้นขัดจังหวะ “งั้นก็ได้ ลองนำเรื่องนี้กลับมาย้อนคิดอีกที ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูราชาปราชญ์แล้ว มือสังหารที่ลอบสังหารราชาปราชญ์ทำพลาดแล้วหนีไปได้ แต่จะรอดจากสายตาของตึกศาลาสัตยพรตไปได้เหรอ? ตึกศาลาสัตยพรตย่อมต้องสืบให้ชัดเจนอยู่แล้วว่าเรื่องเป็นยังไง อาศัยอำนาจอิทธิพลของตึกศาลาสัตยพรตที่ตลาดผี ถ้าต้องการจับเป็นนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดสักคนมันยากนักเหรอ? ฉินก้วนไม่ใช่คนของหกลัทธิ เขาจะช่วยหอภูเขาเขียวฆ่าตัวตายปิดบังความลับเหรอ? คำตอบก็คือไม่! ตอนนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าฉินก้วนจะตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ก็อย่างที่เจ้าบอก ถ้าฉินก้วนอ้างเหตุผลนั้นในการลอบสังหารแล้วตบตาได้ เช่นนั้นก็ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไรแล้ว อาศัยความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างตึกศาลาสัตยพรตกับหอภูเขาเขียว ก็น่าจะปล่อยตัวฉินก้วนไปสิ แต่ทำไมฉินก้วนถึงไม่ได้รอดชีวิตกลับไปที่หอภูเขาเขียวล่ะ? แปลว่าความสัมพันธ์ระหว่างหอภูเขาเขียวกับราชาปราชญ์ทำให้ตึกศาลาสัตยพรตสงสัยแล้ว ตึกศาลาสัตยพรตไม่อยากให้หอภูเขาเขียวรู้ว่าฉินก้วนตกอยู่ในมือพวกเขา ย่อมต้องทำให้ฉินก้วนหายไปอยู่แล้ว เหตุผลก็คือต้องการทำให้ฝั่งหกลัทธิประมาท ที่จริงพวกเขาก็บรรลุเป้าหมายตั้งนานแล้ว ทำให้พวกเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นมาจนกระทั่งตอนนี้!”

การวิเคราะห์ที่ละเอียดเหมือนดึงไหมออกจากรังนี้ทำให้จินม่านขนลุกขนชัน นางถามอย่างค่อนข้างตกตะลึงว่า “ทำไมจู่ๆ หัวหน้าผู้ช่วยถึงถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ?”

“เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยอธิบายทีหลัง!” หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่าน “พวกเจ้าไม่รู้เชียวเหรอว่าตลาดผีถูกควบคุมอย่างลับๆโดยตึกศาลาสัตยพรต ทำไมกล้าให้คนของตลาดผีไปติดต่อกับราชาปราชญ์ ไม่กลัวจะโดนเปิดโปงรึไง?”

จินม่านตอบว่า “ตอนนั้นราชาปราชญ์รีบร้อนหนีเอาตัวรอด ขอความช่วยเหลือเร่งด่วน ตอนนั้นไม่มีทางส่งคนอื่นไปช่วยที่ตลาดผีได้เลย น้ำไกลสู้น้ำที่อยู่ใกล้ไม่ได้ เลยทำได้เพียงใช้งานคนของหอภูเขาเขียว”

เรื่องราวเกิดขึ้นไปแล้ว มัวมาคิดวนเวียนอีกก็ไม่มีความหมาย และทางฝั่งเหมียวอี้ก็กำลังรอข่าวจากตน หยางชิ่งจึงยังไม่สนใจนาง หยิบระฆังดาราออกมาอีกครั้ง แล้วติดต่อไปหาเหมียวอี้ สรุปเรื่องที่จินม่านบอกให้เหมียวอี้รู้

พอเหมียวอี้ได้ฟังแล้วก็ตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับหกลัทธิจะถูกตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูตั้งนานแล้ว จึงรีบถามว่า : อย่าบอกนะว่าตอนนั้นพวกเขารู้แล้วข้าคือระมุขปราชญ์ของลัทธิอู๋เลี่ยง?

หยางชิ่ง : เรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อย ทางฝั่งแดนอเวจีนอกจากบุคคลระดับสูง คนที่รู้ว่าท่านอยู่ที่โลกภายนอกก็มีไม่เยอะ คนฝั่งแดนอเวจีรู้เพียงว่าท่านชื่อเหมียวอี้ ไม่มีเชื่อมโยงท่านกับหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ข้างนอก อีกทั้งระฆังดาราของฝั่งนี้ก็ถูกควบคุม กำลังพลเบื้องล่างไม่มีทางติดต่อโลกภายนอกได้เลย บุคคลระดับสูงที่รู้สถานการณ์ก็ไม่มีทางทำเรื่องที่ทำลายผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกขังปิดตายมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเมื่อก่อนก็เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้พอมีช่องทางติดต่อกับโลกภายนอกแล้วก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

เหมียวอี้โล่งอกนิดหน่อย ถามอีกว่า : ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงสืบมาถึงเรื่องนี้ได้ล่ะ?

ทำไมถึงสืบได้น่ะเหรอ? ก็ย่อมเป็นเพราะคำเตือนที่มีนัยยะแอบแฝงของเฉาหม่านได้เตือนสติหยางชิ่งเข้าแล้ว และในตอนนี้หยางชิ่งก็กำลังตื่นตัวกับทุกการเคลื่อนไหวของตลาดผี ถ้ามีจุดไหนที่น่าสงสัยก็จะดึงดูดให้เขาสงสัย วิเคราะห์ ตัดสินและตัดทิ้งทันที ผลปรากฏว่ามาติดอยู่ที่จุดนี้ คิดไม่ตก!

หยางชิ่งคิดไม่ตกจริงๆ ว่าทำไมเฉาหม่านต้องเตือนโดยแฝงนัยยะอย่างนี้ คิดไปคิดมาก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเหมียวอี้มีมูลค่าให้ตึกศาลาสัตยพรตใช้ประโยชน์ แต่จะมีมูลค่าให้ใช้ประโยชน์อย่างไรล่ะ? ด้วยสถานการณ์ของตอนนี้เหมียวอี้ในตอนนี้ กำลังถูกตำหนักสวรรค์ควบคุม ขนาดตระกูลโค่วยังมองเห็นเป็นลูกที่ถูกทิ้ง ตระกูลเซี่ยโห้วไม่จำเป็นต้องรับจานไว้ นอกเสียจากเหมียวอี้จะมีมูลค่าต่อตระกูลเซี่ยโห้วมากจริงๆ!

พอเป็นแบบนี้ เมื่อแน่ใจทิศทางแล้ว หยางชิ่งก็เริ่มครุ่นคิดตัดสินเกี่ยวกับมูลค่าของ ‘เหมียวอี้’ ความลับของหกลัทธิที่อยู่เบื้องหลังเหมียวอี้โผล่ออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เขาต้องหาหลักฐานพิสูจน์ว่าตึกศาลาสัตยพรตรู้ความลับนี้แล้วต้องการจะใช้ประโยชน์เพิ่มหรือเปล่า? ผลปรากฏว่าเป็นอย่างที่เขาคาดไว้ ตึกศาลาสัตยพรตตระหนักได้แล้วจริงๆ ว่าเหมียวอี้กับหกลัทธิมีความเกี่ยวข้องกัน

เมื่ออธิบายสถานการณ์คร่าวๆ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ตกใจ แต่กลับพูดไม่ออก มารดาเจ้าเถอะ นี่มันคนอะไรกัน คำพูดประโยคเดียวของเฉาหม่านที่เตือนตนเหมือนมีเจตนาดี แต่เจ้าหมอนี่กลับสืบอะไรออกมาได้มากมายอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ระบุมูลเหตุได้โดยตรง นี่ยังจะให้ข้ามีชีวิตอยู่ไปทำไม?

เหมียวอี้ : จุดประสงค์ที่เฉาหม่านเตือนข้าคืออะไร?

หยางชิ่ง : ก็ย่อมต้องอยากจะช่วยนายท่านอยู่แล้ว

เหมียวอี้ : ทำไมต้องอยากช่วยข้า?

หยางชิ่ง : สาเหตุที่คิดออกในตอนนี้มีสองข้อ หนึ่งก็คือ ถ้าจับจุดอ่อนนายท่านกับหกลัทธิได้จริงๆ อีกทั้งนายท่านยังเป็นเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ภายใต้ความสัมพันธ์แบบเป็นเหตุเป็นผลนี้ ก็จะเท่ากับว่าได้บีบคอตระกูลโค่วไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ค่าตัวของนายท่านสูงมาก เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วยอมจ่ายเพื่อช่วยเหลือนายท่านได้ เพราะวิธีการที่นายผงาดขึ้นมาที่ตำหนักสวรรค์นั้นสะดุดตาเกินไป ถึงขั้นเหนือจินตนาการด้วย ก่อเรื่องใหญ่หลายครั้งขนาดนั้นแต่ก็ยังรอดมาได้ ถ้าไม่รู้ว่านายท่านมีหกลัทธิอยู่เบื้องหลังก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่อรู้แล้ว เกรงว่าถ้าจะไม่ให้สงสัยก็คงยาก! เดิมทีตระกูลเซี่ยโห้วก็ตั้งตัวขึ้นมาได้เพราะอาศัยการไขความลับกับกุมความลับอยู่แล้ว เมื่อมีสาเหตุสองข้อนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะต้องช่วยนายท่านแน่นอน!

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกบันเทิงแล้ว กล่าวกลั้วหัวเราะว่า : ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ต่อให้ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วทำข้อตกลงกันเสร็จแล้ว แต่ตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่มีทางเลิกปกป้องข้าตอนอยู่ที่ตลาดผีง่ายๆ ใช่มั้ย?

หยางชิ่ง : ถ้าหากตัดสินไม่ผิดพลาด ก็น่าจะเป็นอย่างนี้ เพียงแต่จะไม่ช่วยนายท่านอย่างโจ่งแจ้งก็เท่านั้นเอง เป็นเพราะความกระหายอยากสืบความลับของตระกูลเซี่ยโห้วได้แทรกซึมเข้าไปในกระดูกของทั้งตระกูลแล้ว นี่ก็คือรากฐานที่ทำให้พวกเขายืนหยัดได้ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้แล้ว นี่ก็คือจุดที่ตระกูลเซี่ยโห้วทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวที่สุด! เมื่ออยู่ในระดับอย่างตระกูลเซี่ยโห้ว ก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่แล้ว อาศัยกำลังกำลังทหารก็ไม่ทีทางตัดขาดได้เลย ถ้าวันไหนตระกูลเซี่ยโห้วล้มลง ก็จะต้องทำให้ทั้งตระกูลเกิดความวุ่นวายแน่นอน

เหมียวอี้ : ตามที่เจ้าบอกแบบนี้ ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่วุ่นวายเสียเอง ก็จะไม่มีวันล่มสลายเหรอ?

หยางชิ่ง : เรื่องนี้ก็ไม่แน่ ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการเลย บางครั้งจุดที่ยื่นออกมามากที่สุดก็เป็นจุดที่ทำให้สะดุดได้ง่ายที่สุดเช่นกัน ตระกูลเซี่ยโห้วชอบสืบความลับและกุมความลับคนอื่น ถ้ามีใครสักคนมีวิธีการ มีความสามารถที่จะวางกับดักเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ดีไม่ดีอาจจะทำให้ตัวละครใหญ่ยักษ์อย่างตระกูลเซี่ยโห้วสะดุดขาตัวเองจนเดินเซแล้วล้มลงเองก็ได้ เพียงแต่ถ้าอยากจะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วติดกับดัก ก็เกรงว่าคงจะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถหาเหยื่อล่อนั้นได้ เป็นเรื่องที่ยากมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

…………………………