บทที่ 522.3 สุราในยุทธภพ กระดกดื่มหมดรวดเดียว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หวังตุ้นหยุดชะงักไปชั่วครู่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “ถ่วงเวลาการฝึกกระบี่ของเจ้า ในใจอาจารย์ก็รู้สึกผิด แต่พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ได้เห็นเจ้าคอยยุ่งวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ในใจของอาจารย์ก็ให้รู้สึกปลาบปลื้ม รู้สึกว่าปีนั้นรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ สืบทอดวิชากระบี่ให้เจ้าเป็นเรื่องที่ทำให้สบายใจอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อาจารย์ก็ยังต้องเอ่ยประโยคจากใจจริงกับเจ้าสักคำ”

หวังจิ้งซานขยับนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “อาจารย์เชิญกล่าว ศิษย์รับฟังอยู่”

หวังตุ้นคลี่ยิ้ม เอ่ยเสียงเบาว่า “จิ้งซาน หากวันได้รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยแล้ว เบื่อหน่ายกิจธุระในหมู่บ้านพวกนี้จริงๆ อยากจะพกกระบี่ออกท่องยุทธภพเพียงลำพัง ก็ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องรู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย เจ้ามาหาอาจารย์ได้อย่างเปิดเผย ถือสุราดีๆ มาสักกาหนึ่ง เมื่ออาจารย์ดื่มเหล้าของเจ้าแล้วก็จะไปส่งเจ้าเอง ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่อยากกลับบ้านก็กลับมา พักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้วก็ค่อยออกไปท่องยุทธภพใหม่ ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ แล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”

หวังจิ้งซานอืมรับหนึ่งที

เด็กสาวพกดาบที่นั่งอยู่โต๊ะติดกันน้ำตาเอ่อคลอ

พอคิดถึงว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่อยู่ในหมู่บ้านแล้ว หากศิษย์พี่ใหญ่หวังจิ้งซานก็จากไปอีกคน นั่นก็จะต้องเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมากแน่นอน

แต่ที่ทำให้เด็กสาวยิ่งรู้สึกเสียใจ เป็นเพราะดูเหมือนว่าอาจารย์จะแก่แล้ว

หวังจิ้งซานพลันเอ่ยว่า “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นข้าจะออกไปท่องยุทธภพเดี๋ยวนี้เลยนะ?”

หวังตุ้นอึ้งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะร่า “อย่าเพิ่งๆ วันนี้อาจารย์ดื่มเหล้าไปเยอะแล้ว ที่พูดกับเจ้าก็เป็นแค่ถ้อยคำของคนเมาที่ไม่ต้องจ่ายเงินเท่านั้น อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจังสิ ต่อให้คิดเป็นจริงเป็นจังก็รออีกสักหน่อย ตอนนี้หมู่บ้านยังต้องพึ่งพาเจ้าให้เป็นเสาคานสำคัญ…”

เด็กสาวกลอกตามองบน หันหน้าไปทางอื่นแล้วฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะ

อาจารย์ที่ยามอยู่ต่อหน้าคนกันเองจะไม่เคยมีมาดของปรมาจารย์เลยแม้แต่น้อยผู้นี้ ช่างน่าเบื่อจริงๆ

แต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ฟู่ก็ดี หรือศิษย์พี่หวังจิ้งซานก็ช่าง ล้วนรู้ดีว่ายามที่เป็นหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งของยุทธภพแคว้นอู่หลิง และยามที่เป็นอาจารย์ที่ขี้เกียจไปเสียทุกเรื่องเมื่ออยู่ในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว คือคนสองคน

นางและศิษย์น้องเล็กคนนั้นก็เชื่อในเรื่องนี้เหมือนกัน

เพราะฟู่โหลวไถและหวังจิ้งซานต่างก็เคยท่องยุทธภพกับอาจารย์มาก่อน

ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้อาจารย์เคยมีความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนบนภูเขาอยู่หลายครั้ง และยังเคยมีการเข่นฆ่าหลายครั้งที่เกือบจะต้องเอาชีวิตไปแลก

และเหตุผลที่อาจารย์ลงมือ คำบอกเล่าของศิษย์พี่หญิงใหญ่ฟู่โหลวไถและศิษย์พี่หวังจิ้งซานล้วนเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน นั่นก็คืออาจารย์ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ ฟู่โหลวไถและหวังจิ้งซานกลับไม่เพียงแต่ไม่นึกตำหนิอาจารย์แม้แต่น้อย กลับกันในดวงตาของพวกเขายังคล้ายจะเต็มไปด้วยประกายเจิดจ้า

เด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนั้นวิ่งมาถึงร้านเหล้าอย่างรวดเร็วราวกับสายลม แล้วนั่งแปะลงบนม้านั่งตัวยาวที่อาจารย์หวังตุ้นเป็นผู้นั่ง เบียดแนบชิดกับเขา

ในเรื่องของเคารพครูบาอาจารย์นี้ ในบรรดาลูกศิษย์ของหวังตุ้นก็มีเพียงเด็กหนุ่มนี่แหละที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ อีกทั้งยังไม่มีความหวาดเกรงเลยแม้แต่น้อย

หวังตุ้นยิ้มถาม “เป็นอย่างไร ได้รับผลเก็บเกี่ยวบ้างหรือไม่?”

เด็กหนุ่มทอดถอนใจเอ่ยว่า “หลูต้าหย่งเจียวพลิกแม่น้ำผู้นั้นคุยโวเกินจริง ฝอยจนน้ำลายกระเด็นเต็มหน้าข้า ทำให้ข้าต้องคอยป้องกันอาวุธลับอย่างน้ำลายของเขาอย่างระมัดระวัง อีกอย่างจอมยุทธใหญ่หลูผู้นี้พูดไปพูดมาก็มีอยู่แค่ไม่กี่คำเท่านั้น ข้าไม่ใช่เทพเซียนจริงๆ เสียหน่อย ไม่อาจใคร่ครวญถึงปณิธานของกระบี่บินออกมาได้มากนัก ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่หวังโชคดีกว่าศิษย์พี่หญิงเล็กอยู่มาก ไม่อย่างนั้นตอนนี้ข้าคงได้กลายเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว”

หวังจิ้งซานยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยววันหน้าข้าก็ควรไปขอบคุณจอมยุทธใหญ่หลูที่ออมปากออมคำสินะ?”

เด็กหนุ่มโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ถึงอย่างไรวิชากระบี่ของข้าจะเหนือกว่าศิษย์พี่อย่างท่าน หากไม่ใช่วันนี้ก็เป็นพรุ่งนี้”

หวังจิ้งซานยิ้มกล่าว “อ้อ?”

เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ไม่ใช่ปีนี้ก็เป็นปีหน้า!”

หวังจิ้งซานไม่เอ่ยอะไรอีก

แม้จะบอกว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้พูดจาส่งเดชไร้กฎเกณฑ์

แต่ในเรื่องของการฝึกกระบี่นั้น

เด็กหนุ่มกลับเป็นคนที่มีกฎเกณฑ์ที่สุดในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว

แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

หวังตุ้นกวาดสายตามองลูกศิษย์สามคนที่นิสัยแตกต่าง แต่กลับดีมากทุกคน แล้วก็พลันรู้สึกว่าวันนี้สามารถดื่มเหล้าได้มากอีกหน่อย จึงลุกขึ้นเดินไปทางโต๊ะคิดเงิน ผลกลับกลายเป็นว่าต้องอึ้งตะลึงไป

เหตุใดถึงมีเหล้าใหม่ไม่คุ้นหน้าเพิ่มมาสามกาเล่า?

พอเปิดกาหนึ่งในนั้นออก กลิ่นหอมของสุราสดชื่นก็ลอยกรุ่นโชยไกล จนลูกศิษย์ทั้งสามคนของเขาต่างก็ได้กลิ่น

หวังตุ้นหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ก่อนจะนั่งลงได้บอกให้เด็กสาวหยิบถ้วยมาหนึ่งใบแล้วมานั่งด้วยกัน แม้แต่หวังจิ้งซานก็ถูกเขาบังคับให้หยิบถ้วยมาเติมเหล้าด้วย บอกว่าให้เขาลองจิบคำเล็กๆ  ลิ้มรสชาติสุราของเทพเซียนบนภูเขาว่าเป็นอย่างไร จากนั้นผู้เฒ่าก็รินเหล้าหมักตระกูลเซียนให้กับพวกเขาด้วยระดับมากน้อยไม่เท่ากัน

เด็กหนุ่มดื่มไปหนึ่งคำก็พูดอย่างตกตะลึงว่า “มารดาข้า สุรานี้รสชาติดีนัก อร่อยกว่าเหล้าโซ่วเหมยของหมู่บ้านเราเยอะเลย! ไม่เสียแรงที่เซียนกระบี่มอบให้ ร้ายกาจๆ!”

หวังจิ้งซานเองก็ดื่มไปหนึ่งคำ รู้สึกว่าไม่เหมือนกับสุราของที่อื่นจริงๆ แต่ก็ยังไม่ยินดีจะดื่มมาก

เด็กสาวชิมไปหนึ่งคำแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ยังคงยากจะกลืนลงคออยู่เหมือนเดิม สุราใต้หล้านี้จะอร่อยได้อย่างไรกันเล่า?

ผู้เฒ่ายิ้มถามเด็กหนุ่มว่า “เจ้าเป็นคนเรียนกระบี่ อาจารย์ไม่ใช่เซียนกระบี่ เจ้าคงรู้สึกเสียดายมากเลยใช่ไหม?”

เด็กหนุ่มดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนไปอีกหนึ่งอึกแล้วพูดอย่างผึ่งผายว่า “ศิษย์ก็ไม่ใช่เซียนกระบี่เหมือนกันนี่นา”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม มือข้างที่เดิมทีเตรียมจะเขกมะเหงกใส่ท้ายทอยของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นฝ่ามืออย่างเงียบเชียบ แล้วยกมือข้างนั้นลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม พูดด้วยใบหน้าเมตตาปราณี “นับว่ายังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแรง จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์ก้มหน้าดื่มสุราหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้เด็กสาว คงจะอยากถามว่าข้าฉลาดหรือไม่ ร้ายกาจหรือไม่ เห็นไหมว่าข้ารอดหายนะมาได้ ไม่ต้องกินมะเหงก

เด็กสาวจึงหันมาฟ้องอาจารย์

หวังจิ้งซานก็เริ่มซ้ำเติม

ส่วนเด็กหนุ่มก็ทำเป็นแสร้งโง่ไม่รับรู้

หวังตุ้นไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่เอาเหล้าในชามของพวกเขาทั้งสามคนเทลงในชามของตัวเอง แล้วแหงนหน้ากระดกดื่มรวดเดียวหมด

……

มุ่งหน้าไปยังแคว้นลวี่อิงที่ตั้งอยู่บนชายหาดตะวันออกของอุตรกุรุทวีป เดินขึ้นเหนือไปตลอดทางจากแคว้นอู่หลิง ยังจำเป็นต้องผ่านสองแคว้นอย่างแคว้นจิ่งหนันและแคว้นเป่ยเยี่ยน

ทั้งสองแคว้นต่างก็ไม่ใช่แคว้นใหญ่ แต่กลับไม่ใช่แคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์ใหญ่ใดๆ

ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นจิ่งหนันกับแคว้นอู่หลิงนั้นไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ชายแดนมักจะมีปัญหาขัดแย้งเกิดขึ้นเป็นประจำ เพียงแต่ว่าร้อยปีที่ผ่านมากลับมีศึกสงครามใหญ่ที่ต้องระดมผู้คนนับหมื่นลงสู่สนามรบเกิดขึ้นน้อยมาก

กองทัพชายแดนของแคว้นอู่หลิงส่วนใหญ่จะอาศัยหน้าด่านทางทิศเหนือที่อันตราย ส่วนแคว้นจิ่งหนันก็มีกองทัพทางน้ำที่แข็งแกร่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยากที่จะรุกรานเข้าไปถึงใจกลางของแคว้นศัตรูได้ ดังนั้นหากไปเจอกับแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนที่ชอบเฝ้าพิทักษ์เมือง ชายแดนของสองแคว้นก็จะสงบสุข การค้าชายแดนก็จะรุ่งเรืองตามไปด้วย แต่หากเปลี่ยนไปเป็นแม่ทัพบู๊ที่ชอบสะสมคุณความชอบทางการทหารเล็กๆ น้อยๆ เพื่อหวังชื่อเสียงในราชสำนักที่มาประจำอยู่ชายแดน ก็จะมีศึกเล็กๆ ดุจขนวัวเกิดขึ้น ถึงอย่างไรก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเกิดศึกใหญ่ที่ต้องทุ่มเทกองกำลังของทั้งแคว้น ไม่ว่ากองทัพชายแดนจะก่อเรื่องแค่ไหนก็ไม่มีเรื่องให้ต้องคอยกังวล ฮ่องเต้ของสองแคว้นในแต่ละสมัยเองก็มีความเห็นพ้องต้องกันไปโดยปริยาย พวกเขาจะพยายามไม่ส่งนักสู้ที่ชื่นชอบการเข่นฆ่าให้มาประจำอยู่ที่ชายแดนในเวลาเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้พระญาติฝั่งภรรยาของฮ่องเต้แคว้นจิ่งหนันมีอำนาจยิ่งใหญ่ เมื่อหลายสิบปีก่อนก็มีพระญาติที่เป็นขุนนางผู้มีคุณูปการซึ่งกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์เป็นฝ่ายเรียกร้องขอให้ส่งตัวมาอยู่ชายแดนใต้ เขาเตรียมพร้อมในการทำสงครามอยู่ทุกเมื่อ ทั้งยังสร้างกองทัพทหารม้าขึ้นมา คอยมาท้าทายอยู่หลายครั้ง ส่วนแคว้นอู่หลิงก็มีแม่ทัพปัญญาชนที่เกิดและเติบโตในท้องถิ่นซึ่งเชี่ยวชาญกลศึกลุกผงาดขึ้นมาทางชายแดนอย่างที่หาได้ยาก เมื่อหลายปีก่อนก็มีเขาที่รับผิดชอบดูแลเส้นแนวป้องกันทางแถบทิศเหนือ ดังนั้นช่วงหลายปีมานี้จึงมีการเข่นฆ่าขนาดเล็กเกิดขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง เมื่อสิบปีก่อนหากไม่เป็นเพราะหวังตุ้นเดินทางไปเยือนชายแดนและได้สกัดกั้นกองทัพม้าทหารกล้าของแคว้นจิ่งหนันที่บุกเข้ามายังหน้าด่านอย่างไม่มีลางบอกเหตุเอาไว้พอดี ไม่แน่ว่าเมืองหน้าด่านแคว้นอู่หลิงหนึ่งถึงสองเมืองก็คงต้องถูกยึดไปแล้ว แน่นอนว่าสามารถช่วงชิงกลับมาได้ เพียงแต่ว่าพลทหารที่จะรบตายบนสนามรบของทั้งสองฝ่ายจะต้องมีจำนวนมากที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

ม้าสองตัวของเฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงมอบเอกสารผ่านทางเข้ามาในหน้าด่านขนาดเล็กของแคว้นอู่หลิงที่ไม่มีกองทัพใหญ่เฝ้าพิทักษ์ เดินผ่านชายแดนมาแล้ว จากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ไปเดินอยู่บนถนนทางหลวงของแคว้นจิ่งหนัน แต่ยังคงเดินไปตามเส้นทางที่เฉินผิงอันกำหนดไว้ซึ่งจะเลือกเป็นเส้นทางเล็กๆ ข้ามภูเขาผ่านแม่น้ำ แสวงหาการผจญภัยและความสงบเงียบของธรรมชาติ

ผลคือพอผ่านด่านมาได้ไม่นานเท่าไรก็เห็นการเข่นฆ่าบนเส้นทางสายเล็กมาแต่ไกล

เป็นกองทหารลาดตระเวนสองกอง จำนวนม้าหลายสิบตัว

กองทัพม้าของทางฝั่งทิศใต้เป็นของแคว้นอู่หลิง ส่วนทหารลาดตระเวนที่จะกลับไปยังทางทิศเหนือก็คือทหารม้าฝีมือดีของแคว้นจิ่งหนัน

สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างประหลาดใจ “แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นคนเถื่อนแคว้นจิ่งหนันที่ลงใต้มาก่อกวนหน้าด่าน เหตุใดทหารลาดตระเวนของพวกเราถึงเป็นฝ่ายเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นศัตรูเสียได้?”

เฉินผิงอันเอ่ย “นี่หมายความว่าแม่ทัพปัญญาชนอายุน้อยที่มีชื่อเสียงไปทั่วราชสำนักแคว้นอู่หลิงของพวกเจ้าคนนั้นมีปณิธานไม่เล็ก อายุน้อยๆ ก็เข้าร่วมกองทัพ ไม่ถึงสิบปีก็สามารถกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ระดับสามชั้นเอกของชายแดนแคว้นหนึ่งได้ บุคคลที่เป็นเช่นนี้ย่อมไม่ธรรมดา”

ม้าทั้งสองออกจากเส้นทางสายเล็กไปนานแล้ว พวกเขาไปหยุดม้าอยู่ในป่าริมทาง หลังจากผูกม้าเรียบร้อย เฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงก็ขึ้นไปยืนอยู่บนกิ่งไม้ หลุบตาลงมองมายังสนามรบ

—–