ตอนที่ 690-2 แม้แต่ชื่อของบุตรของพวกนางที่จะเกิดมาในอนาคต นางก็คิดเอาไว้หมดแล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

จีเฉวียนสีหน้าเรียบเฉย เขายืนอยู่บนบ่าของสัตว์อสูรยักษ์ ด้วยแววตาเยือกเย็นและเฉยชา 

 

 

ทั้งๆที่ดูงดงามอย่างยิ่ง แต่ว่าเห็นแล้วกลับให้ความรู้สึกว่าอันตรายเสียยิ่งกว่าสัตว์อสูรยักษ์ตัวนั้นเสียอีก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเงยหน้ามองดูเขา ในดวงตามีแต่รอยยิ้ม 

 

 

“เสี่ยวเฉวียนเฉวียน…” 

 

 

นางเอ่ยปากขึ้น ด้วยน้ำเสียงแฝงความเย้ายวน 

 

 

จีเฉวียน “หืม?” 

 

 

เขาก้มศีรษะลงมองดูนาง ในแววตามีแต่ความอบอุ่นท่วมท้น 

 

 

“ไม่มีอะไร ข้าแค่กำลังคิดว่า อีกหน่อยหากมีเจ้าตัวน้อยจะให้ชื่อว่าอะไรดี” 

 

 

ใช่แล้ว แค่เพียงเวลาสั้นๆ แต่นางก็คิดชื่อของทารกของพวกนางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว 

 

 

ดวงตาของจีเฉวียนยิ่งทอประกายลึกซึ้งกว่าเดิม 

 

 

ทำไมนางถึงได้น่ารักถึงเพียงนี้? 

 

 

“เช่นนั้นต้องคิดเผื่อเอาไว้ให้มากหน่อย” เขาพยักหน้า ในใจก็คิดต่อไปว่า ในภายหน้าย่อมไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียวแน่นอน 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ได้เลย!” 

 

 

พอพึ่งเอ่ยรับขึ้นมา สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไป 

 

 

ดวงวิญญาณที่กึ่งโปร่งแสง อยู่ๆก็เกิดเปลวไฟสีน้ำเงินลุกขึ้นมา 

 

 

เปลวไฟนั้นร้อนลวกแม้แต่ผิวพรรณของจีเฉวียนจนแดงก่ำ 

 

 

หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น รีบถ่ายทอดพลังวิญญาณของตนเองสะกดเปลวไฟในร่างของตู๋กูซิงหลันเอาไว้โดยไม่แม้แต่จะรีรอ 

 

 

แต่ว่าทันทีที่พลังวิญญาณของเขาแผ่พุ่งออกมา สาวน้อยที่เดิมทีอยู่ในอ้อมแขนก็หายสาปสูญไปอย่างหมดจดไม่เหลือร่องรอยใดๆ 

 

 

นางหายสาปสูญไปในเปลวไฟสีน้ำเงินเข้มดวงนั้น ความเร็วนั่น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังลงมือไม่ทัน 

 

 

ทันใดนั้นเอง เหล่าสัตว์อสูรทั้งหลายต่างก็รู้สึกได้ถึงไอสังหารอันรุนแรงและน่ากลัว ที่แผ่ออกมาจากบุรุษที่แสนจะหล่อเหล่าและงดงาม 

 

 

…………………… 

 

 

ในใจกลางของดวงดาวสีดำ ทันทีที่วิญญาณทมิฬจุดดวงตะเกียงดวงสุดท้ายขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันที่นอนหลับอยู่ในใจกลางของดวงดาวสีดำ ก็เริ่มเกิดความเคลื่อนไหว ในที่สุดขนตาของนางก็กระพริบขึ้นมา 

 

 

เพียงแต่ว่าผิวพรรณของนางดูแดงก่ำอย่างประหลาด ที่จริงมันแดงจนเกิดควันร้อนขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ ราวกับกุ้งที่กำลังจะถูกต้มจนสุก 

 

 

วิญญาณทมิฬจุดตะเกียงทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็มาหมอบรออยู่ข้างๆอย่างเรียบร้อย 

 

 

แต่ยิ่งดูมันก็รู้สึกว่าตู๋กูซิงหลันมีอะไรไม่ใคร่ถูกต้อง นางดูเหมือนคนที่ถูกโยนลงไปต้มในน้ำเดือดอย่างไรอย่างนั้น ขนาดมันที่อยู่ห่างจากตู๋กูซิงหลันช่วงหนึ่ง วิญญาณทมิฬก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างของนาง ความร้อนลวกที่ทำให้คนเดือดได้ 

 

 

เส้นขนของมันพองฟูขึ้นมาทั้งตัว จนอยากจะกระโดดเข้าไปหาร่างของตู๋กูซิงหลัน  

 

 

แต่ว่าขาสั้นๆนั้นพึ่งจะขยับ ก็ต้องรีบถอยกลับมา 

 

 

แม่จ๋า นี่เกือบจะต้มมันจนสุกไปแล้ว! 

 

 

“หลันหลัน!” วิญญาณทมิฬร้องเรียกนางด้วยเสียงอ่อนๆครั้งหนึ่ง 

 

 

พอเรียกออกไป ตู๋กูซิงหลันนอกจากขยับขนตาอีกเล็กน้อย อื่นๆล้วนไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ 

 

 

วิญญาณทมิฬรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิบนร่างของนางยิ่งทีก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้มันชักจะหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว 

 

 

มันหันกลับไปมองดูตะเกียงเรียกวิญญาณเหล่านั้นแวบหนึ่ง ตะเกียงเรียกวิญญาณทุกดวงล้วนส่องสว่าง ดูไปไม่มีความผิดปกติอันใด 

 

 

สายฟ้าจากเบื้องบนยังคงฟาดลงมาใส่ร่างของนางจากทุกทิศทุกทางอย่างต่อเนื่อง บางทีอาจเพราะว่านางใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว สายฟ้าเหล่านั้นจึงยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

“หลันหลัน เจ้าตื่นสิ! ข้าก็จุดตะเกียงตามที่เจ้าบอกเอาไว้แล้วไง…..ทำไมเจ้าถึงยังไม่ตื่นขึ้นมาอีกละ…..” 

 

 

วิญญาณทมิฬคร่ำครวญ ทั้งเสียใจและหวาดกลัว 

 

 

ถึงแม้ว่ายามปกติมันกับตู๋กูซิงหลันจะคอยขัดคอกันอยู่ตลอด แต่ว่าในก้นบึ้งของหัวใจของมันก็รักตู๋กูซิงหลันอย่างยิ่ง  

 

 

รักประหนึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆเลยทีเดียว 

 

 

มันลืมตาโต น้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว 

 

 

พอเห็นว่าอุณหภูมิในร่างของนางยิ่งทีก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณทมิฬก็เกรงว่าหากพลาดพลั้งขึ้นมาร่างของนางอาจจะลุกเป็นกองเพลิง 

 

 

ทันใดนั้นเอง แรงกดดันอันมหาศาลก็ถาโถมลงมาจากบนท้องฟ้าเบื้องบน 

 

 

และความเย็นยะเยือกอย่างสุดขั้วก็พุ่งลงมาพร้อมกัน 

 

 

พริบตานั้น วิญญาณทมิฬค่อยผ่อนลมหายใจลงได้ มันเงยหน้าขึ้นไป มองเห็นสัตว์อสูรที่แปลกประหลาดขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า 

 

 

และบนบ่าของเจ้าสัตว์อสูรยักษ์ตัวนั้น ก็คือฝ่าบาทท่านอาจารย์ 

 

 

ที่ด้านหลังของสัตว์อสูรยักษ์ตัวนั้นยังมีเหล่าสัตว์อสูรอีกฝูงหนึ่งติดตามมาด้วย 

 

 

“แง….” วิญญาณทมิฬร้องไห้ออกมาในทันที “ฝ่าบาทท่านอาจารย์ หลันหลันจะสุกแล้วใช่ไหม เป็นเพราะว่าไอ้พวกลูกเต่าในแดนสวรรค์พวกนั้นทำอะไรกับนางหรือ? ฮือ ฮือ ฮือ….” 

 

 

จีเฉวียนไม่แม้แต่จะมองดูมัน เขาขยับปลายเท้า เหาะลงมาจากบ่าของสัตว์อสูรยักษ์ในทันที 

 

 

เพียงพริบตาเดียว ก็ไปถึงข้างกายของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

นางยังไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ว่าอุณหภูมิในร่างกับร้อนจนน่าตื่นตระหนก 

 

 

จีเฉวียนยืนอยู่ข้างกายนาง ยื่นมือออกไปนทันที ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนศีรษะของนาง ได้ยินเสียงซี่ซี่ดังขึ้นจากใจกลางฝ่ามือของเขา จากนั้นก็มีควันลอยขึ้นมากลุ่มหนึ่ง 

 

 

อุณหภูมิที่สูงมาก จนทำให้ฝ่ามือของเขาถึงกับถูกแผดเผาไปด้วย 

 

 

จีเฉวียนไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น รวบรวมพลังวิญญาณในร่างถ่ายทอดลงไปบนหน้าผากของนาง อาศัยจุดชีพจรบนหน้าผากหมุนวนเข้าสู่ภานในร่างกาย 

 

 

พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจำนวนมหาศาล แม้แต่พวกที่ดูอยู่ด้านข้างยังต้องตื่นตระหนกจนปากค้าง 

 

 

หากว่าวิญญาณทมิฬมิได้จำผิดละก็ แม้แต่พลังวิญญาณของอาจารย์ซื่อมั่วในก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลย 

 

 

มันไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ ในเมื่อช่วยอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ทำตัวเล็กๆหมอบอยู่ด้านข้างอย่างน่าสงสาร รอให้จีเฉวียนช่วยเหลือตู๋กูซิงหลัน 

 

 

พลังวิญญาณถูกถ่ายทอดออกไปไม่รู้ว่านานถึงเพียงไหน แต่ในที่สุดก็สามารถควบคุมความร้อนในร่างกายของนางให้ค่อยๆลดลงทีละน้อย 

 

 

ส่วนมือขวาของจีเฉวียน ย่อมถูกแผดเผาจนเป็นแผลฉกรรจ์ 

 

 

“ซิงซิง” เขาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด ในดวงตามีแต่ตู๋กูซิงหลัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเบาๆ ทั้งยังสะท้านเล็กน้อยราวกับว่าเขาเองก็ไม่ค่อยจะมีความมั่นใจสักเท่าไร 

 

 

ตอนที่อยู่ในแดนสวรรค์นั่น จิตวิญญาณของนาง…..ถูกแผดเผาจนมอดไหม้ 

 

 

เปลวไฟสีน้ำเงินนั่น ทำลายดวงวิญญาณของนางจนบาดเจ็บ บางเจ็บอย่างสาหัส 

 

 

ส่วนเขา ก็ได้แต่มองเห็นนางรับบาดเจ็บเช่นนั้น 

 

 

 

 

 

หากว่าร่างเนื้อได้รับบาดเจ็บ ยังมีวิธีมากมายที่สามารถรักษาได้ แต่ว่าดวงวิญญาณได้รับบาดเจ็บ หากคิดจะฟื้นฟูให้กลับไปดีดังเดิมละก็ นั่นเป็นเรื่องที่….แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย 

 

 

ถึงแม้ว่าเขาในตอนนี้จะแข็งแกร่งเพียงไร แต่ว่าในใจของเขา ก็ยังเกิดความรู้สึกที่ไม่มั่นใจแม้แต่น้อยขึ้นมา 

 

 

หลังเรียกนางอยู่หลายครั้ง ท่ามกลางแสงสว่างที่ครอบคลุมอยู่ ในที่สุดดวงตาดอกท้อคู่นั้นก็ลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ 

 

 

……………………..