ตอนที่ 2164 ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ?

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 2164 ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ?

ไม่น่าเชื่อว่าในระยะเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่สิบปี ปรมาจารย์ขงจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของสรวงสวรรค์ สร้างสภาปรมาจารย์ขึ้นได้อีกครั้ง ท้าทาย 8 จอมราชันย์และบีบบังคับให้พวกเขายอมรับการมีอยู่ของสภาปรมาจารย์จนได้

สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ขง!

แม้สรวงสวรรค์จะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย แต่พละกำลังของอีกฝ่ายก็เหนือชั้นเสียจนแทบไม่มีใครเทียบได้

แต่นั่นแหละ ไม่ว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์จะใช่ปรมาจารย์ขงจริงๆหรือไม่ ความปรารถนาของจางเซวียนที่อยากพบอีกฝ่ายสักครั้งก็เหือดหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายกับตัวโคลนของปรมาจารย์ขง จางเซวียนรู้ดีว่าคงเป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดีหากพยายามตามหาตัวปรมาจารย์ขงก่อนที่จะมีพละกำลังมากพอจะปกป้องตัวเอง ถ้าปรมาจารย์ขงตัวจริงเกิดอยากได้หอสมุดเทียบฟ้าของเขาขึ้นมา เขาคงจบเห่

ไม่ใช่ว่าจางเซวียนไม่เชื่อมั่นในตัวปรมาจารย์ขง แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็ทรงพลังเกินไป…จนกว่าเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดทัดเทียมกับปรมาจารย์ขงได้ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายไว้ก่อนย่อมดีที่สุด

จริงอยู่ว่าปรมาจารย์ขงมีเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์อยู่ในครอบครองเช่นกัน แต่ถ้าเขาได้มาอีกเสี้ยวหนึ่ง ก็แน่นอนว่าจะต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก คงเข้าถึงระดับที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นไปได้

ด้วยความเย้ายวนขนาดนั้น..ต่อให้ปรมาจารย์ขงก็คงต้านทานไม่ไหว

จางเซวียนเก็บงำความอัศจรรย์ใจไว้ เขาตั้งคำถามต่อไป “อาจารย์โม่หย่วน เมื่อครู่นี้คุณบอกว่ารังสีสวรรค์ของภูเขาสวรรค์สร้างมีจำกัดมาก ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร?”

นี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่อีกฝ่ายพูดไว้และทำให้เขาออกจะงุนงง

“ดูเหมือนอาจารย์หยางชวนไม่ได้บอกอะไรพวกคุณเลยจริงๆ แต่นั่นแหละ ในเมื่อพวกคุณยังบ่มเพาะตัวเองไม่ถึงขั้น ก็พอเข้าใจได้ที่เขาเก็บมันไว้เป็นความลับ” โม่หย่วนพยักหน้า

จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะย้อนถาม “น้องจาง ในความเห็นของคุณ…คุณคิดว่าระดับความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณบนภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่แห่งนี้เป็นอย่างไร?”

“ภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่?” จางเซวียนบันทึกชื่อของภูเขาที่ทำให้เขาต้องลำบากลำบนกว่าครึ่งเดือนไว้ในหัวสมอง พร้อมกันนั้นก็ส่ายหน้าและตอบว่า “ภูเขาแห่งนี้มีพลังจิตวิญญาณอยู่น้อยมาก ไม่น่ามีใครฝึกฝนวรยุทธที่นี่ได้”

เขารู้สึกได้ทันทีที่มาถึงสรวงสวรรค์ สายลมที่โหมกระหน่ำก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความแร้นแค้นของพลังจิตวิญญาณเป็นปัญหาใหญ่ที่รับมือได้ยากที่สุด เขาไม่อาจรวบรวมพลังจิตวิญญาณจากโดยรอบเพื่อเติมพลังให้ตัวเองได้ ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ลงท้ายต้องประทังชีพด้วยหญ้าป่า

โชคดีที่อย่างน้อยหญ้าป่าก็พอมีพลังจิตวิญญาณอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องอดตายอยู่ที่ภูเขาแห่งนี้แน่!

“ใช่ แต่ไม่ใช่แค่ภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่เท่านั้น ทุกที่ในอาณาบริเวณนี้ที่ไม่มีเมืองใหญ่ตั้งอยู่ก็ล้วนแต่เดือดร้อนจากการขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ อันที่จริง มีหลายแห่งที่กลายเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าเพราะสิ่งนี้” โม่หย่วนพูดพร้อมกับส่ายหน้า

“ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ?” จางเซวียนแทบไม่เชื่อหู

สรวงสวรรค์ควรเป็นสุดยอดของจักรวาล แต่กลับมีปัญหาจากการขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ? ยากจะทำใจให้เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจริง!

จางเซวียนคิดเสมอว่าสรวงสวรรค์คงเป็นดินแดนในฝันของเหล่านักรบ เป็นที่พำนักของผู้เชี่ยวชาญมากมายที่เป็นสุดยอดของโลก บรรยากาศที่นี่น่าจะเปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณ ทำให้นักรบคนไหนก็ตามที่บรรลุเงื่อนไขแล้วสามารถฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ แม่กิ่งไม้สักกิ่งที่ถูกเก็บขึ้นมาจากข้างถนนก็คงมีพละกำลังเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูง

ซึ่งเขาก็ไม่ได้เข้าใจผิดเสียทีเดียว

หญ้าป่าที่ขึ้นอยู่ตามพื้นเป็นทรัพยากรล้ำค่าสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่เทียบได้กับยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ แต่เท่าที่เขาได้ฟังจากโม่หย่วน ดูเหมือนสรวงสวรรค์กำลังค่อยๆเสื่อมสลาย พลังจิตวิญญาณที่ลดลงทำให้ทุกชีวิตถดถอยลงมาก และสุดท้าย สถานที่ที่ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณก็จะพังทลายเป็นเถ้าธุลี

ยกตัวอย่าง แม้จะมีพืชพันธุ์มากมายขึ้นอยู่บนภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่ แต่เพราะพลังจิตวิญญาณหายไป สถานที่นั้นจึงค่อยๆเสื่อมถอยจนถึงจุดที่ทุกชีวิตแห้งเหี่ยวและล้มตาย

ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้จางเซวียนต้องเดินทางแสนไกลเพื่อรวบรวมหญ้าป่า แต่ถึงอย่างนั้น ปริมาณหญ้าป่าที่เขาพบก็มีจำกัดมาก

นี่คือสรวงสวรรค์จริงๆหรือเปล่า?

อย่างกับเขาเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!

ทุกที่ว่างเปล่าและเหี่ยวแห้งไปหมด ราวกับทั้งโลกกำลังตายไปอย่างช้าๆ

“บนภูเขานั้นยังมีหญ้าป่าและผลไม้จำนวนหนึ่งที่มีพลังจิตวิญญาณสะสมอยู่ นั่นหมายความว่าการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ถูกไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม

ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว ภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่คงกลายเป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่า การที่เขายังพบหญ้าป่า ผลไม้ และแม้แต่อสูรบางส่วนเพ่นพ่านอยู่บริเวณนั้น ก็หมายความว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ได้ฟังคำถามของจางเซวียน โม่หย่วนมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่บ่งบอกความสงสัย “คงไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งมาถึงสรวงสวรรค์หรอกนะ หรือไง?”

“แน่นอนว่าไม่ใช่ พวกเราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆที่แยกตัวออกจากโลกภายนอก จึงไม่ค่อยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในที่อื่นๆบ้าง แต่อยู่มาวันหนึ่ง ภัยพิบัติก็เข้าจู่โจม ก่อนที่เราจะรู้ตัว ก็เป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหมู่บ้าน ตอนนั้นเองที่พวกเราพบอาจารย์หยางชวน เขาเป็นคนพาพวกเราออกจากที่นั่น ด้วยเหตุนี้ จึงมีเรื่องราวมากมายที่พวกเราไม่รู้” จางเซวียนตอบอย่างกระอักกระอ่วน

เขาไม่รู้ว่าผู้คนในสรวงสวรรค์มองคนที่มาจากโลกเบื้องล่างอย่างไร จึงย่อมดีที่สุดหากจะอธิบายเรื่องราวของตัวเองอย่างระมัดระวัง

“ผมเข้าใจ” โม่หย่วนพยักหน้า “ครั้งแรกที่ปรากฏการณ์การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณเกิดขึ้นนั้นผ่านมาราว 40-50 ปีแล้ว ในครั้งนั้น ฟ้าถล่มโลกสะเทือน ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งแตกสลาย ฝนตกลงมาไม่หยุดหย่อนจนน้ำท่วมโลก เกิดภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายร้ายแรง สุดท้าย จอมราชันย์ที่อารักขาพื้นที่ด้านทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกก็สังหารเต่ายักษ์ตัวหนึ่งและใช้ขาทั้ง 4 ของมันค้ำยันท้องฟ้าเอาไว้ ทำให้โลกกลับคืนสู่ความมั่นคงอีกครั้ง”

ถึงตอนนี้ โม่หย่วนหัวเราะหึๆก่อนจะพูดต่อ “แต่นั่นแหละ มันเป็นแค่เรื่องเล่าที่ร่ำลือกันไปเรื่อยราวกับไฟป่าหลังจากที่เกิดภัยพิบัติขึ้นแล้ว ซึ่งไม่มีทางบอกได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผู้คนบางส่วนยังกล่าวอ้างด้วยว่าจอมราชันย์ของน่านฟ้าใจกลางเสรีใช้ความสามารถพิเศษของเขาซ่อมแซมสรวงสวรรค์ที่ถูกทำลาย เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่เหตุการณ์นั้นจบลงแล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการล่มสลายของท้องฟ้าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า”

“พลังจิตวิญญาณเริ่มถดถอยลงไปทุกหนแห่ง สุดท้าย พื้นที่ส่วนใหญ่รอบๆสรวงสวรรค์ก็กลายเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่า เหมือนภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่ เหลือไว้ก็แต่เมืองใหญ่ๆเท่านั้นที่ยังไม่เกิดปรากฏการณ์นี้…”

“เอ่อ…” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ

40-50 ปีก่อน*…นั่นก็ตกราว 4,000 ปีในมิติเบื้องบน และ 40,000 ปีในทวีปแห่งปรมาจารย์*

นั่นประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ปรมาจารย์ขงปรากฏตัวบนโลกเป็นครั้งแรก พร้อมกับการถือกำเนิดของ 6 สํานักใหญ่

หายนะภัยของสรวงสวรรค์และการที่ท้องฟ้ากับพื้นดินพังทลาย…ประกอบกับการครอบครองลิขิตสวรรค์ของปรมาจารย์ขง หรือว่าเรื่องพวกนี้จะเชื่อมโยงกัน?

ถ้ามีความเชื่อมโยงระหว่างทั้งคู่จริงๆ แล้วการที่เขาได้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้ามันหมายความว่าอย่างไร?

เพราะถึงอย่างไร เศษเสี้ยวของสรวงสวรรค์ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นในโลกด้วยวิธีการตามธรรมชาติ การที่เขาสามารถใช้หอสมุดเทียบฟ้าในสรวงสวรรค์ได้ก็หมายความว่าเศษเสี้ยวของสรวงสวรรค์ที่เขาได้รับไม่ได้อ่อนแอกว่าสรวงสวรรค์ของที่นี่

ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงได้แต่เก็บความสงสัยเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเศษเสี้ยวของสรวงสวรรค์เอาไว้ในใจ

โม่หย่วนเล่าต่อ “ผลของการที่พลังจิตวิญญาณถดถอยก็คือ การเข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น การฝ่าด่านวรยุทธแต่ละครั้งจะต้องใช้พลังจิตวิญญาณปริมาณมากจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งนั่นเป็นตัวเร่งให้สรวงสวรรค์เสื่อมถอยเร็วกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ เก้าจอมราชันย์เก้าเวหาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องควบคุมปริมาณเทพเจ้าที่มีอยู่ พวกเขาสร้างภูเขาสวรรค์สร้าง 9 แห่งขึ้นรอบโลก ใครก็ตามที่อยากเป็นเทพเจ้าจะต้องมุ่งหน้าไปที่ภูเขาสวรรค์สร้างเหล่านั้นเพื่อเสาะหารังสีสวรรค์”

ส่วนจางเซวียนก็ตาโตเมื่อพลันเข้าใจ

อันที่จริง เรื่องนี้ก็คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาจักรคุนฉื่อ ด้วยความขาดแคลนของแหล่งทรัพยากร ผู้ที่มีสติปัญญาอ่อนด้อยต้องสูญเสียสิทธิ์ในการยกระดับวรยุทธเพื่อให้มีปริมาณทรัพยากรเพียงพอสำหรับผู้คนในสังคม

ถือเป็นเรื่องโหดร้ายไม่เบาสำหรับนักรบที่ฝึกฝนอย่างหนักมาชั่วชีวิตเพื่อพยายามยกระดับวรยุทธ แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะชะลอการล่มสลายของสรวงสวรรค์ได้

“ผมเชื่อว่าเหตุผลที่ผู้อาวุโสหยางชวนพาพวกคุณมาเผชิญความยากลำบากก็เพื่อเสริมสร้างรากฐานวรยุทธของพวกคุณให้แข็งแกร่ง แม้พวกคุณจะเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่สิ่งนี้จะช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมบนภูเขาสวรรค์สร้างได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสของการได้รับรังสีสวรรค์และฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ!” โม่หย่วนพูด

“สมกับเป็นผู้ที่มาจากสภาปรมาจารย์ พวกเขาใส่ใจทุกรายละเอียดของสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่น่าแปลกใจหรอกที่ลูกศิษย์ของเหล่าปรมาจารย์ประสบความสำเร็จได้เหมือนเหล่าอัจฉริยะแม้จะมีสติปัญญาอ่อนด้อย…เอ่อ ขออภัยด้วยเถอะ ผมไม่ได้เจตนาจะดูถูกพวกคุณ…”

จางเซวียนกระพริบตาปริบๆ ไม่แน่ใจว่าควรตอบโต้คำพูดนั้นอย่างไร

ส่วนจ้าวหย่ากับคนอื่นๆ ก็เกือบหัวเราะลั่น

ชายที่อยู่ตรงหน้าช่างอาจหาญนักที่พูดว่าท่านอาจารย์ของพวกเขามีสติปัญญาอ่อนด้อย ท่านอาจารย์คือผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธมาได้ไม่ถึง 2 ปีด้วยซ้ำตั้งแต่เข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ และใช้เวลาอีก 2 เดือนกว่าๆในมิติเบื้องบน ก็สำเร็จวรยุทธขั้นที่เป็นอยู่แล้ว

หากจะเปรียบเทียบกับกระแสกาลเวลาของสรวงสวรรค์ จางเซวียนใช้เวลาไปเพียง 0.73 วันในทวีปแห่งปรมาจารย์ และ 0.6 วันในมิติเบื้องบน ซึ่งรวมแล้วก็เท่ากับ 1.33 วัน

ในระยะเวลาเพียง 1.33 วัน…ท่านอาจารย์ของพวกเขาก็ก้าวข้ามด่านคอขวดได้ด่านแล้วด่านเล่าจนกลายเป็นเทพเจ้าตัวจริง แต่ยังมีคนกล้าบอกว่าเขามีสติปัญญาอ่อนด้อย?

ตลกสิ้นดี!