บทที่ 1650 ฆ่าปิดปาก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พูดจบก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากบนโต๊ะ ในขณะที่ถือพู่กันจุ่มหมึกเขาก็เอียงศีรษะ เห็นได้ชัดว่ากำลังใจจดใจจ่อ กำลังใช้ความคิดวางเค้าโครงภาพอีกแล้ว

เสวี่ยหลิงหลงจ้องมองเขาครู่หนึ่งด้วยสีหน้าสับสน จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ หันตัวไปหยิบภาพที่วาดเสร็จแล้วโยนทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาทีละภาพ จัดภาพให้ดีแล้ววางบนหัวโต๊ะ พอมองดูอีกครั้ง ก็พบว่าสวีถังหรานยังวาดไม่เสร็จ นางจึงอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถามหยั่งเชิงว่า “ได้ยินว่าราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์แล้วเหรอ”

สวีถังหรานตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ราชันสวรรค์อภัยโทษทั้งใต้หล้าแล้ว ยังจะปลอมได้อีกเหรอ?” แต่เขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นคำพูดเหลวไหล ตอนนี้ยังมีใครสงสัยเรื่องนี้อีกเหรอ เขาจึงเงยหน้าบอกว่า “ฮูหยิน เหมือนคำพูดเจ้าจะมีนัยยะแอบแฝงนะ! ทำไมล่ะ? อยู่ต่อหน้าข้าจำเป็นต้องปิดบังด้วยเหรอ?”

เสวี่ยหลิงหลงกลอกตามองเขา แล้วเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง ยกแขนเสื้อฝนหมึกพร้อมบอกว่า “ข้าได้ยินว่าสถานการณ์ของนายท่านไม่ค่อยดี ราชินีสวรรค์มีทายาทแล้ว นั่นก็หมายความว่าความร่วมมือระหว่างตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วจบลงแล้ว ตึกศาลาสัตยพรตคงไม่คุ้มครองนายท่านหนิวอีก เป็นอย่างนี้ใช่หรือเปล่า?”

สวีถังหรานมองนางเงียบๆ แล้วามว่า “ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม?”

“ถ้าอย่างนั้น นายท่านจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากหรอกเหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงถามกลับ

สวีถังหรานยิ้มเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงพู่กัน วาดดอกไม้ใบหญ้าตามอำเภอใจ “เจ้าคงไม่ได้เป็นกังวลกับนายท่านหรอก แต่กลัวว่าพวกเราจะลำบากไปด้วยใช่มั้ยล่ะ?”

“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กังวลสักนิดเลย?” เสวี่ยหลิงหลงถาม

มือของสวีถังหรานยังคงไม่หยุดวาดภาพ “เรื่องบางเรื่องกังวลไปแล้วจะมีประโยชน์เหรอ? ฮูหยิน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร เจ้าเองก็รู้ถึงท่าทีของข้าตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากหรอก เอาเป็นว่าข้าเชื่อว่านายท่านมีวิธีรับมือเพื่อให้ผ่านด่านนี้แน่นอน”

“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ คนลงมือไม่ใช่คนที่นายท่านจะต้านทานไหวเลย” เสวี่ยหลิงหลงยังกล่าวด้วยสีหน้ากังวล

“ยังมีตระกูลโค่วไม่ใช่เหรอ?” สวีถังหรานถาม

เสวี่ยหลิงหลงตอบว่า “แต่ข้าได้ยินว่านายท่านเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ตระกูลโค่วก็มีท่าทีว่าจะทอดทิ้งแล้วเช่นกัน อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ไตร่ตรองเรื่องทางหนีทีไล่เอาไว้เลย?”

“ทางหนีทีไล่เหรอ?” ปลายพู่กันของสวีถังหรานหยุดชะงัก แล้วเอียงหน้าช้าๆ มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “ตระกูลโค่วส่งคนไปคุ้มกันนายท่านมากมายขนาดนั้น แต่ก็ยังปิดบังผู้หญิงที่มีความคิดอ่านอย่างเจ้าไม่ได้ เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่าตระกูลโค่วกำลังจะทิ้งนายท่าน?”

เสวี่ยหลิงหลงกัดริมฝีปาก แล้วบอกว่า “แต่พวกที่ส่งไปไม่ใช่ยอดฝีมือจริงๆ หรอก อาศัยแค่คนพวกนั้นก็ต้านท่านพวกลูกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ไม่ได้เลย”

สวีถังหรานยังมองด้วยสายตาเย็นเยียบเหมือนกัน “ตอบข้ามา เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่าตระกูลโค่วกำลังจะทอดทิ้งนายท่าน? อย่าบอกเชียวนะว่าเจ้าตัดสินเอาเอง!”

เสวี่ยหลิงหลงก้มหน้าลังเลอยู่นานมาก สวีถังหรานมองนางเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร บรรยากาศในห้องเปลี่ยนเป็นอึดอัดผิดปกติทันที

“ข้างนอกมีคนมาติดต่อข้า บอกว่ายินดีจะให้โอกาสเจ้าเลือกใหม่ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เจ้าต้องสร้างผลงาน” เสวี่ยหลิงหลงตอบกลับเสียงต่ำ

“ต้องการให้ร่วมมือกับพวกเขาทำลายนายท่านสินะ?” สวีถังหรานหรี่ตาถาม

“เจ้ารู้ได้ยังไง?” เสวี่ยหลิงหลงเงยหน้าอย่างงุนงง

สวีถังหรานปล่อยมือพู่กัน พู่กันที่แหย่อยู่บนกระดาษล้มคว่ำลงมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ สำหรับคนพวกนั้นแล้ว นอกจากคุณค่าเล็กน้อยแค่นี้ ข้ายังมีคุณค่าอะไรอย่างอื่นให้ใช้ประโยชน์อีกเหรอ?”

เสวี่ยหลิงหลงถอนหายใจเบาๆ “ทำไมเจ้าต้องดูถูกตัวเองด้วย ที่จริงเจ้าก็ยังมีความสามารถอยู่นะ”

“บอกมาเถอะ คนจากไหนมาติดต่อเจ้า?” สวีถังหรานยืนตรงและเอามือไขว้หลัง

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อีกฝ่ายบอกว่าระดับสูงมาก” เสวี่ยหลิงหลงส่ายหน้า

สวีถังหรานจึงเหล่ตาถาม “เจ้าไม่รู้ชัดแม้กระทั่งว่าเขาเป็นใคร แต่ยังกล้าถ่อมาวิ่งเต้นคุยให้อีกเหรอ?”

เสวี่ยหลิงหลงตอบว่า “อีกฝ่ายบอกว่า ขอเพียงเจ้าตอบตกลง ก็จะสามารถเจรจากับเจ้าได้ ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมรู้ถึงฐานะของเขาเอง ขณะเดียวกันก็สามารถรับประกันความกังวลของเจ้าได้ ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง”

“เขามาเจอเจ้าเมื่อไร?”

“เมื่อวาน…”

“อะไรนะ? เรื่องเมื่อวาน แต่เจ้าเพิ่งมาบอกวันนี้เนี่ยนะ?”

“ข้าอยู่เป็นเพื่อนเฟยหงฮูหยิน แล้วเจ้าก็ไปวัดพระกษิติครรภ์เป็นเพื่อนนายท่าน…”

“โง่เง่า!” สวีถังหรานเอ่ยปากด่าอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำ เดินอ้อมโต๊ะยาวออกมาด้วยใบหน้าที่ดำมืด หลังจากเดินไปเดินมาเงียบๆ อยู่นาน สุดท้ายก็หยุดเดินแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึมเยียบเย็น “ข้าจะเลือกสถานที่นัดพบเอง ช่วยนัดเขาให้หน่อย”

แสงจากโคมไฟด้านนอกตลาดผีราวกับเป็นดาวเดียรดาษในม่านราตรี ที่นี่จมอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไมได้เห็นแสงอาทิตย์เลย แสงโคมไฟที่ระยิบระยับแวววาวก็เหมือนจะมีอยู่ตลอดเช่นกัน

ดอกไม้สดที่มีแสงสว่างในตัวเองหลายกระถางตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ส่งกลิ่นหอมเล็กน้อย หลินผิงผิงกับเฟยหงที่กำลังต้มน้ำชาอยู่ข้างเตากำลังหัวเราะกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังแอบคุยอะไรกัน

พอชำเลืองมองเหมียวอี้ที่กำลังยืนเอามือไขว้หลังจ้องมอง ‘ภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ’ อย่างเงียบงันเป็น เฟก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ เหมียวอี้เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอีกแล้ว นางจึงยกนิ้วชี้มาจ่อตรงหน้าริมฝีปากแดงน่าเอ็นดูทันที เตือนหลินผิงผิงว่าไม่ให้ส่งเสียง

หลินผิงผิงหันกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมือนจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองหัวเราะเสียงดังไปหน่อย จึงยกมือปิดปาก

เฟยหงยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยนให้กับปฏิกิริยาของนาง จากนั้นรินน้ำชาที่ต้มจนเดือดด้วยตัวเอง ตอนนี้นางมีสีหน้าสงบสุขพึงพอใจ ตั้งแต่อวิ๋นจือชิวพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปด้วยกัน นางก็ไม่ได้เรียกหาสาวใช้อีก นางชอบปรนนิบัติรับใช้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง ไม่อยากยืมมือของใคร เพราะนางรู้สึกมีความสุขกับสภาพชีวิตในตอนนี้มาก ถนอมรักษาเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเหมียวอี้ในแต่ละวัน บางทีอาจจะเป็นเพราะกลัวว่าจะสูญเสีย ถึงได้ถนอมและเห็นคุณค่ากว่าเดิม

พอเป็นแบบนี้ หลินผิงผิงก็เลยกลายเป็นเพื่อนของนางแล้ว

ตอนนี้หลินผิงผิงมองไปทางคนที่เดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างแปลกใจนิดหน่อย ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหยางเจาชิงสามีของนางเอง สาเหตุที่นางแปลกใจ ก็เพราะหยางเจาชิงเดินบุกเข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรก่อนเลย ตรงนี้ยังมีผู้หญิงอยู่ด้วย นางได้แต่มองดูหยางเจาชิงเดินสาวเท้าไปที่ห้องด้านใน ไม่รู้ว่ากำลังแอบกระซิบอะไรอยู่ข้างกายเหมียวอี้

ผู้หญิงทั้งสองคนสบตากัน ตระหนักได้ว่าระหว่างผู้ชายพวกนี้จะต้องวางแผนลับอะไรกันแน่นอน ทั้งสองหันกลับมาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างรู้กาลเทศะ ไม่หันไปมองเรื่องที่ไม่ควรสอดแนม

หยางเจาชิงไม่ได้พูดอะไร เพียงถ่ายทอดเสียงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ “นายท่าน เขาออกไปพบกันแล้ว”

เหมียวอี้ที่กำลังจ้องภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะใบหน้าตึงเครียดลงเล็กน้อย เหมือนกำลังออกแรงกัดฟัน จากนั้นก็หลับตาลงอย่างช้าๆ กล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ฝนจะตก ผู้หญิงตะแต่งงาน แตงที่ฝืนเด็ดออกมาย่อมไม่หวาน เจ้าไปเถอะ!”

หยางเจาชิงก้มหน้าเล็กน้อย แล้วรีบหันตัวเดินออกไป เฟยหงกับหลินผิงผิงชำเลืองมองเงาที่เดินออกจากประตูไป แล้วก็แอบมองเหมียวอี้ที่ยืนหลับตาเงียบๆ อยู่หน้าภาพวาดเป็นเวลานาน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์กำลังดิ่งลง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว นางจึงไม่สะดวกจะนำน้ำชาที่ต้มเสร็จแล้วไปส่งให้…

ตลาดผีคึกคักรุ่งเรือง ผู้คนขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง ผู้คนที่สัญจรไปมาไม่มีใครเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากแต่ละใบนั้น ไม่รู้ว่าเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงหรือว่าใจคน

หยางเจาชิงที่มีผู้ติดตามข้างหลังสองคนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน เขากำลังสาวเท้าเดินขึ้นไปบนภัตตาคารแห่งหนึ่ง ตอนที่เดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ในห้องก็มีคนรออยู่แล้วสอง พอเห็นหยางเจาชิงเดินเข้ามา พวกเขาก็กุมหมัดคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน

หยางเจาชิงเดินตรงไปถึงริมหน้าต่างที่ปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง พยายามเบี่ยงตัวหลบการสอดแนมจากข้างนอก หนึ่งคนที่อยู่ข้างเขาชี้ไปยังเรือดอกไม้ลำหนึ่งที่ค่อยๆ ลอยแล่นออกไปไกลบนแม่น้ำใต้ดิน “เป้าหมายอยู่บนเรือลำนั้นขอรับ ไม่ทราบว่าต้องการจะไปทางไหน ทางนี้เตรียมคนไว้เรียบร้อยแล้ว นายท่าน คนที่เราต้องรับมือด้วยเป็นใครกันแน่?”

“ไม่ต้องถามมาก บอกให้คนที่ข้าเตรียมไว้ไปพบกันได้” หยางเจาชิงกล่าวเสียงเย็น

“ขอรับ!” ข้างกายมีคนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่งทันที

ผ่านไม่นาน เรือเล็กลำหนึ่งก็ออกเดินทางจากฝั่งที่อยู่ไม่ไกล รีบตามเรือดอกไม้ลำนั้นไป เห็นรางๆ ว่ามีคนคนหนึ่งกระโดดจากเรือเล็กขึ้นไปบนเรือดอกไม้แล้ว

ในห้องส่วนตัว ลูกน้องสี่คนยืนปล่อยมือแนบลำตัวอยู่ตรงสี่มุม หยางเจาชิงที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะยกจอกสุราขึ้นจิบอย่างเนิบนาบ มองไม่ออกว่าใบหน้าใต้หน้ากากอยู่ในอารมณ์ไหน เห็นเพียงสายตาที่เย็นเยียบ

พอดื่มสุราลงท้องไปในหนึ่งกา หยางเจาชิงก็เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ เอียงหน้าถามว่า “ยังไม่ตอบกลับมาอีกเหรอ?”

คนก่อนหน้านี้หยิบระฆังดาราขึ้นมาอีกครั้งในทันที หลังจากผ่านไปสักพักก็ตอบอย่างงุนงงว่า “ติดต่อไม่ได้แล้ว”

ปั้ง! หยางเจาชิงตบจอกสุราลงบนโต๊ะ “สั่งให้คนไปดูเดี๋ยวนี้”

เรือดอกไม้ลำนั้นยังคงลอยช้าๆ อยู่กลางทะเลสาบ คนขับเรือที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตกใจ เพราะจู่ๆ ก็เห็นเงาคนคนหนึ่งเหาะเข้ามา แล้วทะลุหน้าต่างเข้าไปบนห้องโดยสารเรือโดยตรง

มีคนที่ดูแลเรือดอกไม้หลายคนถลันตัวขึ้นมาบนห้องโดยสารเรือทันที พวกเขาผลักประตูเข้าไปดูความเคลื่อนไหว ผลปรากฏว่าเห็นคนคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ส่วนอีกคนยืนอยู่ข้างโต๊ะ

คนที่กำลังยืนโบกมือเผยป้ายคำสั่งของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแสดงให้คนที่บุกเข้ามาดู แต่สายตากลับจ้องคนบนพื้นที่มีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด พลางใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดารา

ผ่านไปไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็เหาะมาถึง พวกเขาเดินก้าวยาวบุกเข้าไป พอหยางเจาชิงที่เดินนำหน้ามาเห็นคนที่นอนเลือดไหลอยู่บนพื้นมีใบหน้าเขียวคล้ำ ก็รู้ทันทีว่าโดนยาพิษ จึงรู้สึกงงทันที รีบหันกลับมาถามว่า “แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?”

“ไปทำธุระข้างล่าง ไปได้สักพักหนึ่งแล้ว…” เถ้าแก่เนี้ยของเรือดอกไม้ตอบเสียงอ่อน

หยางเจาชิงรีบลงไปชั้นล่าง พอใช้เท้าเตะประตูห้อง ก็พบว่าข้างในว่างเปล่า ยังจะมีเงาคนอยู่เสียที่ไหนกัน แต่ไม้กระดานตรงช่องขับถ่ายสองแผ่นกลับถูกคนเปิดออกแล้ว หยางเจาชิงก้าวเข้าไปดูตรงโพรงใต้ท้องเรือที่มีน้ำไหลผ่าน มันกว้างพอที่คนคนหนึ่งจะลอดลงไปได้พอดี ดูจากผนังทั้งสี่ด้านที่เลอะไปด้วยสิ่งปฏิกูล ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยคนเหยียบไถลลงไป เห็นได้ชัดว่าคนหนี้ออกไปจากตรงนี้แล้ว

ไม่แปลกใจที่หาคนบนเรือไม่เจอแล้ว อีกทั้งคนบนเรือที่สัญจรไปมารอบๆ ที่จับตาดูอยู่ก็ไม่เห็นว่ามีใครกระโดดออกมา และไม่ได้เจาะเรือจนส่งผลกระทบต่อตัวเรือด้วย สงสัยจะดำน้ำหนีไปแล้ว

ฉากที่อยู่ตรงหน้าทำให้หยางเจาชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เจ้าหมอนั่นมันใช้ได้จริงๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะลอดผ่านจุดที่สกปรกขนาดนี้ไปได้…

ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี หลังจากกลับมาแล้ว เรื่องแรกที่สวีถังหรานทำก็คือแช่อาบอยู่ในน้ำที่มีกลิ่นหอม พับผ้าขนหนูร้อนที่ชุบน้ำเป็นรูสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วมาแปะไว้บนหน้าผาก พิงขอบอ่างพลางเงยหน้าหลับตาพักผ่อน

เสวี่ยหลิงหลงที่ถอดชุดกระโปรงออกแล้วเหลือเพียงชุดชั้นใน ร่างงามแช่อยู่ในน้ำร้อนแล้วเช่นกัน หยิบผ้าขนหนูอีกผืนมาขัดถูร่างกายให้เขา นางมองดูปฏิกิริยาของครู่หนึ่ง แต่มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ จึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “คุยเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็ไม่ยังไงหรอก ข้าฆ่าทิ้งไปแล้ว” สวีถังหรานตอบด้วยเสียงที่ไม่สบายใจ

“อ๋า!” เสวี่ยหลิงหลงมือหยุดชะงัก แล้วถามอย่างตกใจว่า “เจ้าฆ่าเขาแล้วเหรอ? ต่อให้อยากจะแสดงความจงรักภักดีต่อนายท่าน แต่ก็สามารถนำเรื่องนี้ไปบอกนายท่านได้เลย ทำไมต้องไปทำเรื่องที่ล่วงเกินคนที่อยู่เบื้องหลังด้วยล่ะ?”

เพี้ยะ! สวีถังหรานนำผ้าขนหนูที่แปะบนหน้าผากตบลงในน้ำ แล้วพลันถลึงตาจ้องนาง “ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เจ้าหาทำรึไงล่ะ เจ้าเจอเรื่องแบบนี้แต่ดันไม่รีบติดต่อข้าทันที กลับรอให้ผ่านข้ามวันแล้วค่อยบอก  แล้วข้าจะให้เจ้าไปสารภาพกับนายท่านยังไงล่ะ? กำลังลังเลอยู่ใช่มั้ยว่าจะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงดี? ถ้าให้นายท่านได้ยินแบบนี้ นายท่านจะคิดยังไง? ในมือเจ้าก็มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเขานี่นา เจ้าจะให้ข้าว่าเจ้ายังไงดี? ข้าเลยทำได้แค่กำจัดเขาแล้วเก็บของกลับมา ทำให้เขาตายไปพร้อมกับหลักฐาน หลังจากจบเรื่องจะได้ไม่ถูกข่มขู่!” พูดจบก็มีเสียงดังแกร๊ง พลิกมือโยนระฆังดาราอันหนึ่งไว้ข้างอ่างน้ำ

…………………………