“ของประมูลรอบสุดท้ายเป็นของที่ล้ำค่ามาก ไม่เช่นนั้นข้าน้อยคงไม่กล้าแนะนำใต้เท้าหมิงให้เชิญผู้อาวุโสทั้งสี่ออกมาอย่างแน่นอน” หูอวี้ซวงพูดด้วยความเคารพ

“ไม่เป็นไร แค่เวลาสี่ห้าวันเท่านั้น ไม่รบกวนเวลาฝึกของข้าหรอก แม่นางหู ไม่ต้องมารับรองข้าหรอก ทำหน้าที่พิธีกรของเจ้าต่อไปเถอะ” ชายชราร่างผอมผู้นั้นพูดพร้อมรอยยิ้ม ส่วนอีกสามคนยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พวกเขาแทบจะไม่ปริปากพูดเลยสักคำ

“ท่านผู้อาวุโสโปรดรอสักครู่ ผู้น้อยจะประมูลของวิเศษสามชิ้นสุดท้ายให้เร็วที่สุด” สิ้นเสียงให้คำสัญญาของหูอวี้ซวง นางก็หันหลังพร้อมโบกมือให้กับหญิงสาวทั้งสามที่สวมชุดนางใน

ตอนนั้นเองหญิงทั้งสามคนก็เดินขึ้นไปด้านหน้า ยืนอยู่ห่างจากนางไม่ไกล พวกนางยืนตัวตรงไม่ขยับเขยื้อนเลย

อีกทั้งร่างของผู้อาวุโสทั้งสี่ของกลุ่มพันธมิตรการค้าก็แยกย้ายไปตามมุมเวทีในแต่ละด้าน และนั่งลงทำสมาธิ

ระหว่างนั้นผู้เข้าร่วมงานประมูลต่างเผ่าที่ได้เห็นผู้อาวุโสทั้งสี่ของกลุ่มการค้าพันธมิตรเฮ่อเหลียนปรากฏตัวออกมาก็รู้สึกตกใจอย่างมาก

เหมือนว่าของวิเศษชิ้นสุดท้ายจะมีความพิเศษมากจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีการวางเขตอาคมที่ยิ่งใหญ่แบบนี้

ในช่วงนั้นเองหลังจากหูอวี้ซวงร่ายอาคมเสร็จ ก็มีม่านแสงสีเงินอ่อนปรากฏขึ้น จากนั้นก็หายไปทันที ต่อมานางก็หยิบธงเล็กๆ สีเทาออกมา

ธงผืนนี้มีความยาวเพียงครึ่งฟุต สีธงอ่อน ไม่มีแสงจิตวิญญาณออกจากธงผืนนั้นเลยสักนิด มีเพียงอักษรวิญญาณสีเหลืองไม่ทราบชื่อ ไม่กี่ตัวเท่านั้น ดูธรรมดาอย่างมาก

แต่อย่างไรก็ตามบนพื้นผิวของธง มียันต์เจ็ดถึงแปดอันติดอยู่เป็นจำนวนมาก และมีระลอกคลื่นดูอันตรายแผ่ออกจากมัน ทำให้บริเวณรอบข้างมีหมอกแปลกๆ กระจายออกมา

“ข้าเชื่อว่าทุกคนในงานประมูลนี้คงรู้จักรายชื่อจัดลำดับของหมื่นจิตวิญญาณบริสุทธ์ รายชื่อพวกนี้มีพลังมากกว่าของวิเศษที่ประมูลไป ไม่แน่ว่าสหายที่อยู่ในที่นี่อาจจะมีของวิเศษล้ำค่ามากมาย แต่สมบัติทมิฬในลำดับต้นๆ คงยังไม่มีใครเคยเห็นด้วยตาตัวเองใช่หรือไม่” หญิงสาวคนนั้นพูดพร้อมกวาดสายตามองผู้ชมที่อยู่รอบๆ

“แม่นางหูพูดแบบนี้ ก็หมายความว่าจะเป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬสินะ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อดไม่ได้ที่จะถาม

“หึๆ สหายท่านนี้ฉลาดจริงๆ ในมือของข้าน้อยเป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬจริงๆ มันคือธงพลิกฟ้า อยู่ในรายชื่อลำดับที่เก้าของหมื่นจิตวิญญาณบริสุทธิ์” หญิงผู้นั้นหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ยกธงขึ้นมาโบกเบาๆ

“อะไรนะ ธงพลิกฟ้า”

“เป็นไปไม่ได้ สมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นนี้หายสาบสูญไปตั้งหลายปีแล้ว”

“ในปีนั้นเจ็ดถึงแปดตระกูลในแผ่นดินใหญ่เทียนหยวนเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเพราะมัน มีสองถึงสามตระกูลเล็กๆ ถูกฆ่าล้างตระกูลไป คิดไม่ถึงว่าวันนี้ของชิ้นนี้จะกลับมาอีกครั้ง”

ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง เสียงจ้อกแจ้กของผู้เข้าร่วมงานประชุมก็ดังขึ้นมาเรื่อยๆ

แม้แต่ผู้อาวุโสระดับมหาเมธีที่อยู่ในห้องส่วนตัวกลางอากาศ ก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้

“ธงพลิกฟ้า ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อมาก่อน คาดไม่ถึงเลยว่าของวิเศษชิ้นนี้จะมาอยู่ในงานประมูลแห่งนี้ คงไม่มีใครคาดคิดเลย กลุ่มการค้าพันธมิตรเฮ่อเหลียนมีอำนาจมากจริงๆ ด้วย” หานลี่มองไปยังเวทีด้านล่างที่อยู่ในระยะไกล ใบหน้าก็แสดงความประหลาดใจเล็กน้อย

แต่จูกั่วเอ๋อร์และเซวี่ยพั่ว เบิกตากว้างกว่าเดิมมาก สายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

“ข้าผู้เฒ่าขอถามสักคำ นี่คือหมื่นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ สมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นนั้นจริงๆ หรือ หึๆ หากเป็นของชิ้นนั้นจริงๆ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากลุ่มการค้าพันธมิตรเฮ่อเหลียนจะตัดใจเอาออกมาประมูลได้ แทนที่จะเก็บมันไว้เงียบๆ จะดีกว่า” ผู้อาวุโสระดับมหาเมธีที่แข่งกันประมูลไขกระดูกทองคำกับเซวี่ยพั่ว พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา

“สายตาของท่านอาวุโสช่างเฉียบแหลมนัก หากผู้น้อยมีของหนึ่งในหมื่นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยสภาพสิบเต็มสิบเช่นนี้ กลุ่มพันธมิตรการค้าของพวกเราต่อให้มีฝีมือขนาดไหนก็ไม่กล้านำออกมาประมูลหรอกเจ้าค่ะ มีของระดับบรรพกาลอยู่ในครอบครองก็เท่ากับมีปัญหามาอยู่หน้าบ้านไม่รู้จบ แต่ว่าธงพลิกฟ้าหนึ่งในหมื่นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ข้าน้อยเพิ่งพูดไปนั้น เป็นของแท้แน่นอนเจ้าค่ะ” หูอวี้ซวงโค้งคำนับ และพูดด้วยน้ำเสียงมีมารยาท

“ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว ของวิเศษชิ้นนี้น่าจะมีชื่อเสียงมากทีเดียว อย่าปิดบังกันเลย บอกมาตรงๆ เถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีแปลกหน้าอีกคนพูดขึ้นมาช้าๆ

“เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะอธิบายเดี๋ยวนี้ แม้ว่าสหายในที่นี่คงเคยได้ยินชื่อของธงพลิกฟ้ามาบ้างแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อในอดีตคาดว่าน่าจะมีคนรู้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่ธงผืนนี้ถูกแบ่งออกเป็นธงหยินและธงหยาง เกรงว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ ธงที่อยู่ในมือของข้าน้อยตอนนี้คือธงหยิน หากใช้ธงนี้เพียงอันเดียว ก็เป็นสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าธรรมดา แต่หากใช้รวมกับธงหยาง พวกมันจะกลายเป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬที่มีพลานุภาพเต็มสิบส่วน ไม่เช่นนั้นกลุ่มการค้าพันธมิตรคงไม่ประมูลธงอันนี้” หญิงสาวคนนั้นอธิบายอย่างรีบร้อนพร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ

“แบ่งออกเป็นสองส่วน”

“ธงหยินหยาง”

ผู้เข้าร่วมงานประมูลก็ตื่นตระหนกกันอีกครั้ง

มีคนจำนวนไม่น้อยที่แสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมา

“ที่แท้สมบัติชินนี้ก็เป็นครึ่งหนึ่งของธงพลิกฟ้าเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นสมบัติระดับสวรรค์ทมิฬในเมื่อธงหินปรากฏออกมาแล้ว ธงหยางก็น่าจะออกมาแล้วด้วยเช่นเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรของพวกท่านมีข่าวคราวของธงหยางบ้างหรือไม่” ผู้บำเพ็ญระดับมหาเมธีที่อยู่ในห้องของกลางอากาศ ก็พูดด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก

เมื่อได้ยินคำถามนี้ ผู้ที่เข้าร่วมงานประมูลคนอื่นต่างก็กลั้นหายใจรอคำตอบ

เห็นได้ชัดว่าคำถามนี้อยู่ในใจของทุกคน

“ผู้อาวุโสพูดล้อเล่นแล้ว หากกลุ่มการค้าพันธมิตรของพวกเราได้ข่าวคราวของธงหยาง ป่านนี้ธง

หยางคงมาอยู่ในมือของเราแล้ว พวกเราจะมาประมูลเพียงธงหยินอันเดียวได้อย่างไร เรื่องเกี่ยวกับธงหยางนั้นล้วนไม่มีเลยเจ้าค่ะ เอาล่ะ ข้าน้อยได้อธิบายจบแล้ว ข้าจะทำการแสดงพลังเกี่ยวกับธงผืนนี้ให้ดู แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะไม่มีทางแสดงพลังของสมบัติสวรรค์ทมิฬได้ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้สหายทั้งหลายเห็นว่าสมบัติชิ้นนี้เป็นของจริงหรือของปลอม” หลังจากหญิงสาวผู้นั้นตอบคำถามเสร็จ ก็ยกธงขึ้นและสะบัดมันออกไป

ธงสีเทาก็ส่งเสียงระเบิดดังขึ้น จากนั้นก็มีม่านสีเหลืองกระจายออกมา หลังจากที่รวมกันเป็นก้อนแล้ว มันก็เปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเหลืองจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน พริบตาเดียวเวทีหินก็จมหายไป

วินาทีถัดมาก็ได้ยินเสียงร่ายคาถาเบาๆ ออกมาจากหญิงสาวผู้นั้น สิ้นเสียงนั้น ดอกไม้ทั้งหมดก็ลอยหมุนไปรอบๆ

ปราณฟ้าดินทั่วทั้งถ้ำสวรรค์ก็สั่นสะเทือนขึ้น ฝูงชนที่อยู่รอบๆ ก็เข้าไปในกลุ่มดอกไม้ และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ตู้มๆ” เสียงระเบิดดังขึ้น

ลำแสงจิตวิญญาณจากดอกไม้สีเหลืองทั้งหมดก็แผ่กระจายออกมา ขนาดของดอกไม้ก็ใหญ่ขึ้นมา และเริ่มกระจายออกไปรอบๆ เวที

ใช้เวลาไม่นาน ทั่วทั้งงานประมูลแห่งนี้ไม่ว่าจะบนฟ้าหรือพื้นดินก็เต็มไปด้วยดอกไม้สีเหลืองขนาดใหญ่

คนต่างเผ่าที่อยู่ด้านล่างก็รีบใช้จิตสัมผัสกวาดมองดอกไม้ยักษ์สีเหลืองอย่างรวดเร็ว สีหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ทุกคนต่างสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าดอกไม้ยักษ์สีเหลืองเหล่านี้มีพลังอันน่ากลัวซ่อนอยู่

แต่ที่ทำให้พวกเขาตกใจไปมากกว่านั้นคือ ด้านในของดอกไม้สีเหลืองเหล่านั้นดูไม่มั่นคงมาก เหมือนจะระเบิดออกมาได้อยู่ตลอดเวลา

แต่ว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นเยียบออกมาจากห้องที่อยู่กลางอากาศ

“หึ ไม่ต้องสาธิตแล้ว เป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬหรือไม่ คิดว่าพวกเรายังดูกันไม่ออกอีกหรือ อีกอย่างของวิเศษเช่นนี้ใช่ของที่เจ้าจะเอามาใช้ซี้ซั้วหรือ รีบเปิดประมูลได้แล้ว”

สิ้นเสียงดังกล่าวก็มีลมพายุสีเขียวพัดออกมาจากห้องรับรองกลางอากาศนั้น

เมื่อลมดังกล่าวสัมผัสกับดอกไม้สีเหลือง มันก็ทยอยหายไป ชั่วพริบตาเดียวดอกไม้เหล่านั้นก็หายไปจากงานประมูลอย่างไร้ร่องรอย

“เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะรีบทำการประมูลเดี๋ยวนี้” เมื่อหูอวี้ซวงเห็นดังนั้น ก็รู้สึกตกใจอย่างมาก รีบสะบัดธงเล็กๆ ในมืออีกครั้ง ระลอกคลื่นแปลกๆ ก็ซัดออกไป

หลังจากที่ดอกไม้สีเหลืองยักษ์กระทบกับระลอกคลื่น มันก็หายไปในพริบตา

หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ปรากฏขึ้นบนเวทีอีกครั้ง

“ธงพลิกฟ้าจะเริ่มประมูลณ.บัดนี้ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สามร้อยล้านศิลาวิญญาณ หากศิลาวิญญาณไม่พอพวกท่านสามารถนำของวิเศษมาร่วมประมูลได้” ผู้หญิงคนนั้นสะบัดธงเล็กๆ ในมือ อารมณ์ของนางตอนนี้กลับมาเยือกเย็นเหมือนเดิมแล้ว พร้อมพูดอย่างเป็นทางการ

“ห้าร้อยล้าน”

ทันทีที่ผู้หญิงผู้นั้นบอกราคาเริ่มต้นเสร็จ ชายชราที่อยู่ระดับมหาเมธีก็เสนอราคาต่อทันทีอย่างไม่ลังเล

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์และระดับหลอมสูญที่อยู่ในงาน ต่างพูดกันไม่ออกเลยทีเดียว

ราคาห้าร้อยศิลาวิญญาณ ไม่ใช่ราคาที่พวกเขาจะสู้ไหว

ดูเหมือนว่าสินค้าประมูลในรอบสุดท้ายจะมีเพียงระดับมหาเมธีเท่านั้นที่สามารถเสนอราคาได้

แต่ว่าเดิมทีใครแข็งแกร่งคนนั้นอยู่รอดก็เป็นเรื่องธรรมดาของแดนวิญญาณ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพย์สินหรือว่าเรื่องฝีมือ แม้ว่าชายต่างเผ่าเหล่านี้จะไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน

“อยากซื้อสมบัติสวรรค์ทมิฬด้วยราคาห้าร้อยล้านศิลาวิญญาณหรือ สหายอย่าล้อเล่นน่า ข้าให้ราคาแปดร้อยล้าน” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของหญิงสาวผู้หนึ่งดังออกมาจากห้องกลางอากาศ นางรีบดึงราคาสูงขึ้นทันที

“หึ หากเป็นธงพลิกฟ้าที่สมบูรณ์คงจะประเมินค่าไม่ได้ ต่อให้มีศิลาวิญญาณมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางซื้อมันได้ แต่ด้วยความสามารถระดับสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้า ราคาที่ข้าเสนอไปนั้น ไม่ได้เป็นราคาที่ต่ำ ในเมื่อสหายท่านนี้รู้สึกว่ามันมีค่ามากกว่านั้น ข้าก็ขอหลีกทางให้แม่นางท่านนี้” บรรพชนมหาเมธีคนแรกที่เสนอราคา ส่งเสียงหึ พร้อมขอถอนตัวจากการประมูล

ห้องรับรองกลางอากาศอื่นๆ ก็ยังคงเงียบ ไม่รู้ว่ารู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของตาแก่มหาเมธีผู้นั้นหรือไม่ หรือว่ากำลังครุ่นคิดอย่างรอบคอบอยู่ ในตอนนั้นจึงยังไม่มีผู้ใดเสนอราคาเพิ่มขึ้น

ผู้หญิงคนที่เสนอราคาเป็นคนที่สองกลับไม่สนใจอะไร หลังจากหัวเราะเบาๆ นางก็หันไปพูดกับหูอวี้ซวงว่า

“แม่นางหูในเมื่อไม่มีใครต้องการจะเสนอราคาแล้ว ก็ประกาศเลยเถอะว่าของชิ้นนี้เป็นของข้า”

“เจ้าค่ะ ผู้น้อยจะขอนับถอยหลังสามรอบ หากไม่มีคนต้องการประมูลแล้วล่ะก็…” ผู้หญิงคนนั้นชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะอย่างฝืนๆ

แต่ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ ก็มีเสียงเสนอราคาขึ้นอย่างเรียบๆ “เก้าร้อยล้าน” ผู้คนในงานต่างรู้สึกลุ้นระทึกอย่างมาก

เซวี่ยพั่วและจูกั่วเอ๋อร์ที่อยู่ในห้องกลางอากาศ ก็หันไปมองหานลี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างตกใจ

เสียงเสนอราคาเมื่อครู่ เป็นเขาพูดออกมานั่นเอง

“เก้าร้อยห้าสิบล้าน”

“หนึ่งพันล้าน”

“หนึ่งพันสามสิบล้าน”

…เสียงประมูลของหานลี่เหมือนปลุกระดมมหาเมธีคนอื่นๆ ครู่เดียวราคาก็อยู่ที่หนึ่งพันสองร้อยล้านศิลาวิญญาณ

ทั่วทั้งงานต่างก็เงียบกริบ