ราชันเร้นลับ 1025 : แปรผันแบบสุ่ม

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

บนกระจกบานใหญ่ ข้อความสีเงินที่ดูราวกับมีชีวิต เลือนหายไปพร้อมกับจัดเรียงเป็นคำใหม่

“แสงเงาประชันดนตรีเป็นนาฬิกาพก สามารถ ‘ห้าม’ พฤติกรรมบางชนิดภายในขอบเขตที่กำหนดได้ และยังสามารถ ‘ช่วงชิง’ พลังพิเศษมาจากเป้าหมายได้เช่นกัน ทว่า ไม่สามารถตั้งข้อห้ามกับศัตรูได้เกินสองชนิด… นอกจากนั้น แสงเงาประชันดนตรียังสามารถ ‘มอบ’ อาการผิดปรกติด้านลบแก่เป้าหมายได้ทันที ส่งผลให้เป้าหมายเฉื่อยชา โลภ กระหาย หรือสูญเสียกะจิตกะใจจะต่อสู้ สนใจเพียงแค่เงิน…”

“นอกจากพลังเหล่านี้ ผู้ถือสมบัติปิดผนึกยังสามารถ ‘บิดเบือน’ วาจา การกระทำ เจตนา และผลการโจมตีของเป้าหมายได้ด้วย เปลี่ยนให้ความตายกลายเป็นเพียงแผลฉกรรจ์ เปลี่ยนให้ระเบิดกลายเป็นแรงดูด เปลี่ยนให้ข้างหน้ากลายเป็นข้างหลัง และเปลี่ยนให้การหลบหนีเป็นพุ่งเข้าใส่…”

“ผลข้างเคียงด้านลบของแสงเงาประชันดนตรีค่อนข้างร้ายแรง ประเด็นหลักๆ ก็คือ เมื่อย่างเข้าสู่การต่อสู้ ในบางเวลา พลังพิเศษทั้งหมดที่ถูกใช้งานจะเกิดการแปรผันแบบสุ่ม ไม่คำนึงถึงมิตรและศัตรู ยากที่ควบคุมผลลัพธ์ ยากที่จะคาดการณ์ ตัวอย่างก็คือ ‘อสนีบาต’ สามารถเป็นได้ทั้งสามฟ้า หรือกลายเป็นน้ำเย็นที่ราดใส่ใบหน้าเป้าหมาย หรือกลายเป็นการอัญเชิญสัตว์วิญญาณนิรนาม…”

“ด้วยสาเหตุดังกล่าว โจนาส·โคลเกอร์จึงพกพาสมบัติวิเศษที่ช่วยให้ตนโชคดีในยามวิกฤติ ภาวนาให้เกิดผลด้านบวกในการแปรผันแบบสุ่ม นั่นอาจช่วยให้มันได้เปรียบเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากมายอะไร…”

“โจนาส·โคลเกอร์ยังเป็นเจ้าของปืนลูกโม่ประหลาดที่เกิดขึ้นระหว่างพิธีกรรมสังเวยให้เทพมาร ชื่อของมันคือ ‘เสียงแผดอันสิ้นหวังของรีเวียร์’ สามารถยิงได้โดยไม่ต้องใช้กระสุน ทุกนัดเต็มไปด้วยพลังทำลายมหาศาล… สามารถยิงรัวได้เหมือนปืนกลขนาดย่อม… หากโดยเป้าหมาย เหยื่อจะได้ยินเสียงร้องอันสิ้นหวังก่อนตายของรีเวียร์ ร่างกายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด วิงเวียนศีรษะ สับสน และอาการอื่นๆ”

“ผลข้างเคียงก็คือ ผู้ถือจะได้ยินเสียงร้องที่สิ้นหวังของรีเวียร์เช่นกัน แต่ไม่บ่อยนัก…”

“ในฐานะเคาต์แห่งการเสื่อมถอย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโจนาส·โคลเกอร์มีพลังการ ‘บิดเบือน’ ในขอบเขตของครึ่งเทพ รวมถึงการ ‘มอบ’ สิ่งต่างๆ ให้เป้าหมายได้อย่างไร้เหตุผล… นอกจากนั้น เขายังสามารถ ‘อาศัยช่องโหว่’ ของกฎ หรือ ‘ขยาย’ มันขึ้นจากปรกติ รวมไปถึงพลัง ‘ยุ่งเหยิง’ ที่สร้างความวุ่นวาย…”

“การฉกฉวยช่องโหว่ของกฎยังสามารถใช้ในการเร่งให้สถานะบางอย่างให้นานขึ้น และสิ้นสุดสถานะบางชนิดให้เร็วขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่กระโดดขึ้นไปในอากาศ เขาสามารถเพิ่มสถานะ ‘ยกตัวขึ้นจากพื้น’ ให้นานขึ้นจนได้รับผลของการ ‘ลอยตัว’ ”

“พลังในการ ‘ขยาย’ หมายถึงการเพิ่มอิทธิพลของพฤติกรรมบางชนิด เช่นการเปลี่ยนการโจมตีธรรมดาให้กลายเป็นการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิต สามารถทำให้การกอดลมระยะไกลสร้างผล ‘พันธนาการ’ แก่เป้าหมาย”

“พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ จะส่งผลต่อโครงสร้างวัตถุ การคาดคะเน และความแม่นยำของเป้าหมาย สามารถทำให้ตึกขนาดใหญ่พังถล่ม ทำให้ระยะทางสั้นลงเหลือเพียงไม่กี่ก้าว ทำให้ศัตรูโจมตีพลาดเป้า”

“เมื่อผนวก ‘ขยาย’ ‘ฉวยโอกาส’ และ ‘บิดเบือน’ เข้าด้วยกัน ผู้วิเศษเส้นทางนักกฎหมายสามารถเลียนแบบผลลัพธ์เฉพาะตัวของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ ได้ในระดับหนึ่ง”

“และแน่นอน พลังในลำดับกลางและต่ำอย่าง ‘ติดสินบน’ ก็ยังถูกยกระดับเชิงคุณภาพขึ้นอย่างมากในขอบเขตของครึ่งเทพอย่างเคาต์แห่งการเสื่อมถอย…”

“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าตอบเสร็จแล้ว ข้าทำได้ดีไหม?”

คำตอบของนายทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังอ่านคู่มือ… เจ้านี่คงรับข้อมูลจากโลกวิญญาณไปพลางตอบคำถามเรา… นอกจากนั้นยังจะร้องขอคำชมกับเรื่องแบบนี้… ไคลน์รำพันสองสามคำ พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบ

“ทำได้ดีมาก”

หลังจากตอบคำถามของ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส ไคลน์รีบเข้าไปในเขต พลางวิเคราะห์พลังและลักษณะของสมบัติปิดผนึกที่ครึ่งเทพอย่างโจนาส·โคลเกอร์พกพา

เคาต์แห่งการเสื่อมถอยน่ากลัวสมกับเป็นครึ่งเทพลำดับ 4… มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพทุกด้าน ไม่ว่าจะ ‘มอบ’ ‘บิดเบือน’ ‘ฉกฉวย’ หรือ ‘ขยาย’ ทั้งหมดถูกยกระดับขึ้นมากจนยากจะรับมือ เราได้ตกที่นั่งลำบากแน่หากไม่ระวังให้ดี…

แต่ในทางกลับกัน ‘ยุ่งเหยิง’ ไม่น่ากลัวเท่าไร คล้ายกับเป็นการพัฒนาพลังของลำดับ 5 ‘ผู้ชี้นำความสับสน’ ขึ้นมาเล็กน้อย…

‘แสงเงาประชันดนตรี’ มีความเฉพาะตัวของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ อยู่จริงๆ และสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือผลข้างเคียงด้านลบ… สำหรับเส้นทางนักทำนายอย่างเรา รูปแบบการต่อสู้จะเป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า และควบคุมการแสดงด้วยความพิถีพิถัน หลังจากการแสดงเริ่มขึ้น แต่ละโชว์จะถูกเล่นตามลำดับอย่างมีแบบแผน แต่ถ้าระหว่างนั้นเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น… เกรงว่าผลลัพธ์สุดท้ายอาจมีการเปลี่ยนแปลง… นั่นอันตรายกับเรามาก…

ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์พบว่าอุปสรรคสำคัญคือสมบัติปิดผนึกที่ชื่อ ‘แสงเงาประชันดนตรี’

ในฐานะผู้วิเศษที่ชอบวางกับดักศัตรู ไคลน์ไม่อยากเผชิญสถานการณ์ที่ว่า หลังจากต่อสู้อย่างยากลำบากและเผชิญสถานการณ์วิกฤติ ในวินาทีที่ใช้ยันต์โจรปล้นดวงเพื่อพลิกกระแสศึก กลับพบว่ากลที่ควรจะเสกกระต่ายออกมาจากหมวก กลายเป็นการสร้างพลุดอกไม้ไฟที่เฉลิมฉลองการตายของผู้ใช้ยันต์

โจนาส·โคลเกอร์จะอาศัยดวงเพื่อช่วยให้ตนได้เปรียบ แต่เรากลับไม่มีของแบบนั้น เพราะพลังเกี่ยวกับดวงชะตาในระดับต่ำกว่าเทวทูต ไม่ว่าจะโชคดีหรือโชคร้าย ล้วนไม่มีผลกับเรา… แต่เรามีหุ่นเชิดเอ็นยูน… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก หันไปถามอาโรเดส

“มีวิธีหลีกเลี่ยงการแปรผันแบบสุ่มของสมบัติปิดผนึกชิ้นนั้นไหม?”

บนกระจกบานใหญ่ ตัวอักษรสีเงินกระเพื่อมและก่อตัวเป็นประโยคใหม่

“ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง! แค่ทำให้โจนาส·โคลเกอร์โชคร้ายก็พอ สำหรับเรื่องนี้ ครึ่งเทพเส้นทางรัตติกาลเชี่ยวชาญมาก”

สมเหตุสมผล… ตามหลักทฤษฎีสัมพัทธภาพ ตราบใดที่โจนาส·โคลเกอร์โชคร้ายกว่าเรา เราจะถือว่าเป็นคนโชคดี… มาดามอาเรียนน่าบอกเองว่าจะให้ความช่วยเหลือตามสมควร… สำหรับท่าน ก่อนที่จะสร้างโลกแห่งความลับ มีเวลาเหลือเฟือในการสาปให้โจนาส·โคลเกอร์เผชิญเคราะห์กรรม… ไคลน์พยักหน้าด้วยความโล่งใจก่อนจะกล่าวต่อ

“ทำดีมาก วันนี้พอแค่นี้ก่อน หากมีสิ่งใดต้องการรบกวน ข้าจะเรียกมาใหม่”

“ขอรับนายท่าน! ไม่มีปัญหา! ลาก่อน นายท่าน~” บนผิวกระจกสีเงินบานใหญ่ สัญลักษณ์ถูกวาดขึ้นด้วยเส้นแสงสีเงิน

เมื่อเห็นกระจกกลับเป็นปรกติ ไคลน์ถอนสายตากลับ จำลองการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในใจ

หลังจากบรรจงไตร่ตรอง ชายหนุ่มผุดไอเดียที่น่าสนใจขึ้น จากนั้นก็นำไปพัฒนาต่อยอดเป็นแผนการที่ประณีตและรัดกุม

หลังจากวางแผนล่วงหน้าอย่างคร่าว ไคลน์เดินไปทางระเบียง หันหน้าไปทางสวนที่มืดมิด ส่งเสียงกระซิบพึมพำ

“คุณสามารถทำให้โจนาส·โคลเกอร์ประสบ ‘เคราะห์กรรม’ ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้นได้ไหม?”

หลังจากความเงียบปกคลุมสักพัก เสียงอันเรียบง่ายของสตรีดังขึ้นในหัว

“ทำได้”

“ถ้าอย่างนั้น ฝั่งผมพร้อมแล้ว” ไคลน์ตอบรับ

เพียงพริบตา บรรยากาศรอบตัวกลับไปสงบสุขอีกครั้ง

ท่ามกลางสายลมหนาวพัดผ่าน ไคลน์จ้องเข้าไปในคฤหาสน์สองสามวินาทีโดยไม่แสดงสีหน้า ตามด้วยการใช้มือกดหมวกผ้าไหม จัดระเบียบถุงมือหนังมนุษย์ที่มือข้างซ้าย ชักปืนลูกโม่ลางมรณะออกจากใต้รักแร้

ทันทีหลังจากนั้น มันใช้หัวแม่โป้งดันโม่เหล็กสีดำจนหมุนหลายตลบ

ค่ำคืนย่างกรายผ่านไปทีละนิด แสงจันทร์สีแดงส่องลอดผ่านเมฆเป็นบางคราว คฤหาสน์กุหลาบถูกปกคลุมด้วยความเงียบเชียบ

ทันใดนั้น ร่างหนึ่งลอบเข้ามาในคฤหาสน์จากทางฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำทัสซอค จากนั้นก็เดินอีกสองสามก้าวและส่งตัวเองเข้ามาอยู่ในเขตห้องพัก

ไม่ใช่ใครนอกจากรองผอ. MI9 ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ โจสนาส·โคลเกอร์

ครึ่งเทพรูปร่างกำยำมองไปรอบตัว เมื่อไม่พบสิ่งผิดปรกติ มันเผยรอยยิ้มเล็กๆ และเดินไปที่บาร์ประจำห้องพักแขก เปิดตู้หยิบแก้ว ตามด้วยหยิบไวน์แดงที่ผลิตโดยคฤหาสน์เพลงกุหลาบ เตรียมเทลงไปในแก้วเพื่อเฉลิมฉลองให้กับค่ำคืนที่งดงาม

ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้นให้เงยหน้าขึ้น

มันเหลือบไปเห็นอาคารฝั่งตรงข้ามที่มีปล่องไฟสีเทาขาว ถูกย้อมไปด้วยเงาดำคล้ายกับโลกทั้งใบถูกสาดด้วยหมึกสีดำ

ด้านข้างของปล่องไฟ ยอดแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ของอาคารหลักประจำคฤหาสน์เพลงกุหลาบก็มืดลงเช่นกัน แต่เหนือท้องฟ้ายังคงเป็นพระจันทร์สีแดงสดลอยสูง

ทว่า ทั้งเมฆและดวงดาวยามราตรีล้วนอันตรธานหาย นอกจากพระจันทร์สีแดงก็มีเพียงท้องฟ้าอันมืดมิดสีดำสนิท

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ พืชพรรณและดอกไม้ในสวนยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่มีสีทึบและพร่ามัวอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับอยู่ห่างไกลออกไป

ไม่ว่าจะสีดำและแดง อาคารที่ถูกฉาบด้วยเงาดำ ค่ำคืนอันเงียบสงัดและพืชที่พร่ามัว ภาพทั้งหมดกำลังสะท้อนอยู่ภายในดวงตาของโจนาส·โคลเกอร์

นี่มัน… ดวงตาของครึ่งเทพรายนี้ขยายออกเล็กน้อย รีบตอบสนองโดยไม่ลังเล

มันสอดมือซ้ายเข้าไปในกระเป๋าลับของเสื้อ และสอดมือขวาเข้าไปในรักแร้อีกฝั่ง หยิบวัตถุสองชิ้นออกมาถือ

ในบรรดาพวกมัน สิ่งที่ถือในมือขวาคือปืนพกประหลาด สีเทาเกือบทุกส่วน ใหญ่กว่าปืนพกตัวไปพอสมควร ขนาดราวครึ่งหนึ่งของค้อนศึกที่ใช้ในสงครามอดีตกาล

ส่วนอื่นที่ผิดปรกติของลูกโม่กระบอกนี้ก็คือ มันมีหกลำกล้อง ปากลำกล้องลึก บนโม่ฝังหมุดเหล็กไว้หลายสิบ มอบความงดงามที่แข็งกระด้าง

ในมือซ้ายโจนาส·โคลเกอร์ถือนาฬิกาพก ‘หุ้มเหล็ก’ ครึ่งหนึ่งของหน้าปัดมีสัญลักษณ์บอกเวลาเรียงรายเป็นระเบียบ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยุ่งเหยิงพัวพัน บ้างล้ำเส้นมาอีกฝั่ง โดยทั้งสองฝั่งคล้ายกับทำหน้าที่เป็นกลไกที่มองไม่เห็นของนาฬิกาพกเรือนนี้ ผสมผสานกันเป็นหนึ่ง ก่อให้เกิดโครงสร้างที่ซับซ้อนและเวียนหัว

แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างหนึ่งพุ่งออกจากดวงจันทร์สีแดงขนาดมหึมาด้านนอกหน้าต่าง ร่อนลงมายังเบื้องล่างด้วยความเร็วสูง

ร่างกายอีกฝ่ายขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเผยให้เห็นเส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล โครงหน้าผอมเพรียวชัดลึก บรรยากาศเต็มไปด้วยความเย็นชา

ชายหนุ่มคนดังกล่าวสวมหมวกผ้าไหมทรงสูง สวมเสื้อนอกสีดำ มือขวาถือปืนลูกโม่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น มือซ้ายปกคลุมด้วยถุงมือหนังมนุษย์สีใส ท่ามกลางแสงสว่างสีแดง ราวกับมันกำลังแดงจันทร์ไว้บนแผ่นหลัง

เกอร์มัน·สแปร์โรว์

……………………………………………….