ตอนที่ 693 พานางกลับบ้านไปกินเนื้อ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

วิญญาณทมิฬถึงกับตัวสั่นสะท้าน หลันหลันที่เป็นเช่นนี้….. 

 

 

แข็งแกร่งจนถึงขั้นสุดขั้วไปแล้ว 

 

 

แม้แต่ตัวมันยังต้องคุกเข่าลงไปบนพื้น ป่ายปีนขึ้นมาไม่ไหวแม้แต่น้อย 

 

 

จีเฉวียนไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไป เขาอุ้มนางเอาไว้ ร่างกลายเป็นควันสีดำสายหนึ่งหายไปต่อหน้าต่อตาพวกมันในทันที 

 

 

เหล่าสัตว์อสูรที่เหลืออยู่ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง พวกมันสมควรจะตามไปดีหรือไม่? 

 

 

แต่ละตัวต่างก็ทยอยหันไปมองดูสัตว์อสูรยักษ์จากชั้นเก้า ยังคงรอให้ลูกพี่บอกออกมาก่อนจะดีกว่า…. 

 

 

“รั้งอยู่ ในที่นี่” สัตว์อสูรยักษ์จากชั้นเก้าเอ่ยออกมา มันได้ทำการตรวจสอบดูดวงดาวสีดำดวงนี้แล้ว ที่นี่คือความว่างเปล่าที่มีความพิเศษเฉพาะแห่งหนึ่ง ภายในนี้อุดมไปด้วยไอหยินที่เข้มข้นและสมบูรณ์ 

 

 

ดวงดาวเช่นนี้ ตอนที่อยู่ในยุคบรรพกาลมันก็เคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง 

 

 

ตอนนั้นมันติดตามจู่ฮว๋ายมา 

 

 

ก่อนนี้เนิ่นนานมาแล้ว พิภพโลกันตร์แห่งนี้คือถิ่นฐานของจู่ฮว๋าย ……เป็นสถานที่ที่นางใช้ปลีกวิเวกเพื่อเข้าฌาน 

 

 

พวกมันต่างก็เป็นสัตว์อสูร หากได้ฝึกฝนอยู่ที่นี่สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็ต้องถือว่าเป็นกุศลที่บรรพชนสั่งสมมาถึงสิบแปดรุ่นแล้ว 

 

 

ดังนั้นสัตว์อสูรยักษ์จากชั้นเก้าจึงทรุดนั่งลงตรงจุดศูนย์กลาง 

 

 

ร่างกายที่ใหญ่โตโอฬารของมันตั้งตรงกับผืนฟ้าและแผ่นดิน ราวกับภูเขาที่สูงตระหง่านลูกหนึ่งที่ปรากฏขึ้น ณ ใจกลางของดวงดาวดวงนี้ 

 

 

เหล่าสัตว์อสูรตัวอื่นๆต่างก็พากันหมอบลงที่ด้านข้าง 

 

 

ตอนที่อยู่ในดินแดนสวรรค์ ถึงแม้ว่าพวกมันจะดูดซับไอทิพย์เข้าไปไม่น้อย แต่ว่านั้นก็เป็นจิตวิญญาณของแดนสวรรค์ ไม่ค่อยเหมาะกับพวกมันเท่าไรนัก 

 

 

แต่ว่าที่นี่อุดมไปด้ยพลังของไอหยิน สร้างความสุขสบายให้กับพวกมันได้มากกว่า 

 

 

วิญญาณทมิฬเองก็หมอบอยู่ด้านข้าง ด้วยท่าทางที่ทั้งอ่อนเปลี้ยและดูน่าสงสาร ครั้งนี้มันกระทำความผิดอย่างใหญ่หลวง จึงไม่กล้าไปกอดขาของจีเฉวียน ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าของหลันหลันแล้ว 

 

 

ดังนั้นมันจึงรั้งอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน 

 

 

ตัวของมันมีขนาดเล็กนิดเดียว ยังไม่เท่ากับเกล็ดชิ้นหนึ่งของของสัตว์อสูรยักษ์เสียด้วยซ้ำ 

 

 

เหล่าสัตวว์อสูรตัวอื่นๆจ้องมองอยู่ที่ด้านข้าง ด้วยท่าทางที่ดุดันราวกับว่าสามารถจับมันกลืนลงไปได้ทุกเมื่อ 

 

 

“เจ้าตัวจ้อย รู้จักการแสดงใดบ้างหรือไม่ ถูกขังอยู่ในแดนสวรรค์มาเนิ่นนานหลายปี ข้าล่ะเบื่อจนจะป่วยตายอยู่แล้ว” มังกรสายฟ้าเหลือบตามองมาที่มัน พลางคิดไปว่า เจ้าตัวเล็กนี้เล็กเสียจนไม่พอแม้แต่จะเอามาเช็ดก้นของมันเสียงด้วยซ้ำ 

 

 

พอมันนำขบวน สัตว์อสูรตัวอื่นๆต่างก็โห่รับขึ้นมา  

 

 

วิญญาณทมิฬ “ข้า…..ข้ากินเป็นอย่างเดียว ….แล้วก็แคะจมูกได้ นับเป็นความสามารถหรือไม่?” 

 

 

เหล่าสัตว์อสูร “…..” 

 

 

เจ้านกยักษ์ที่ยังลอยคว้างเป็นเส้นโค้งคิดว่าตัวมันยังพอจะมีหนทางเยียวยาให้รอดได้อยู่ หากว่าสามารถฟื้นคืนมาได้ ก็คงพอจะแสดงการแสดงบางอย่างให้พวกมันดูได้บ้าง 

 

 

อย่างเช่นกรงเล็บแทงหัวใจ เพลิงผลาญฟ้า เป็นต้น 

 

 

…………………. 

 

 

พระราชวังของแคว้นต้าโจว 

 

 

ฮ่องเต้หญิงเสด็จไปเกือบจะครบหนึ่งปีอยู่แล้ว แผ่นดินโบราณแห่งนี้เมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลตู๋กูก็เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง แต่เมื่อฮ่องเต้หญิงมิได้ประทับอยู่ด้วย ทุกผู้ต่างก็รู้สึกไม่เป็นสุขเท่าไรนัก 

 

 

ทั่วทั้งแผ่นดินแห่งนี้ เมื่อเอ่ยถึงฮ่องเต้หญิง ก็ไม่มีผู้ใดที่ไม่เคารพยกย่อง ไม่มีผู้ใดที่ไม่รักใคร่พระองค์ 

 

 

นับตั้งแต่ที่พระนางขึ้นครองราชย์ ก็ได้พระราชทานนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง 

 

 

ละเว้นและตัดทอนภาษี ทำให้การค้าขายเจริญก้าวหน้า เรื่องพวกนี้ยังถือว่าธรรมดา 

 

 

เรื่องที่ทำให้พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าไม่เคยมีใครคิดถึงมาก่อนเลยก็คือ นโยบายการปกครองบ้านเมืองที่ว่า ‘มุ่งเน้นคุณค่าของบุคคล’ 

 

 

บนดินแดนโบราณแห่งนี้ พึงให้ความเคารพในสิทธิและเสรีภาพของบุคคล 

 

 

ราชโองการของฮ่องเต้หญิง มีพระประสงค์ให้พวกเขาแต่ละคนได้รับโอกาสเข้าถึงความเจริญรุ่งเรืองด้วยความเท่าเทียม 

 

 

ผู้คนในแผนดินโบราณนี้มีชีวิตอยู่กันมานานหลายปี ยังไม่เคยได้ยินนโยบายเช่นนี้มาก่อนเลย 

 

 

ชนชั้นปกครองที่อยู่เบื้องบน มีใครบ้างที่เห็นประชาชนเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง? 

 

 

พระนางเป็นถึงฮ่องเต้หญิงพระองค์หนึ่ง กลับเป็นฝ่ายกระตือรือล้นที่จะพูดเรื่องสิทธิและความเคารพบุคคลกับพวกเขา 

 

 

ใช่แล้ว …..นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา ก็ผลักดันนโยบายนี้ด้วยตนเอง 

 

 

ยามที่ออกไปเบื้องนอก นางจะหลีกทางให้กับคนชราและคนเจ็บก่อนเสมอ 

 

 

ต่อเมื่อเผชิญกับศัตรูภายนอก นางก็จะเปลี่ยนจากความโอนอ่อนและผ่อนปรนเป็นแข็งกร้าวอย่างที่สุด 

 

 

ไม่ขยายดินแดน แต่ก็ไม่ยอมให้ผู้ใดก้าวล่วงเข้ามาแม้แต่ส่วนเดียว เหล่าพสกนิกรที่อาศัยอยู่ใกล้ชายแดนต่างได้รับการปกป้องจากนางเป็นอย่างดี 

 

 

ฮ่องเต้หญิงผู้ครองดินแดนอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง นางใช้การปฏิบัติอย่างจริงจังมาพิสูจน์ต่อประชาชนของนาง 

 

 

แม้ว่าช่วงนี้นางจะจากไปชั่วคราว แต่ว่าทุกๆวันก็ยังมีประชาชนมาออกันอยู่ที่ด้านนอกวัง ลอยโคมอธิฐานข่งหมิงเติงอยู่ทุกค่ำคืน เพื่อขอพรให้นางกลับมาโดยเร็ว 

 

 

ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า บนดินแดนจิ่วโจวเต็มไปด้วยพยัคฆ์ซ่อนและเสือสุ้ม แต่ว่าเพื่อความปลอดภัยของแผ่นดิน ฮ่องเต้หญิงกลับเดินทางไปจิ่วโจวด้วยพระองค์เอง….. 

 

 

ได้ยินมาว่า ไม่ได้ทรงส่งข่าวกลับมาพักใหญ่แล้ว 

 

 

ทุกคนต่างก็พากันเป็นห่วงนาง สวดมนต์ให้นาง หวังให้ฮ่องเต้หญิงทรงเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัยโดยเร็ว 

 

 

…………… 

 

 

หลี่กงกงเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่ด้านนอกพระตำหนักตี้หัวหลายรอบแล้ว ช่วงหลายวันมานี้ ด้านของแม่ทัพผู้พิชิตตู๋กูจุนเกิดปัญหาอยู่บ้าง เขามักจะมีอาการปวดศีรษะอยู่เสมอ เรื่องในราชสำนักทั้งหมดจึงจำเป็นต้องพึ่งหาท่านผู้เฒ่าตู๋กูรับเอาไว้แต่ผู้เดียว 

 

 

คนเรานั้น เมื่ออายุมากเข้า พละกำลังก็ย่อมถดถอย 

 

 

แต่แว่นแคว้นไม่อาจขาดผู้นำแม้เพียงวันเดียว 

 

 

เดิมทีข่าวคราวที่ฮ่องเต้หญิงเสด็จประพาสนั้น ถูกปิดเป็นความลับ แต่ไม่รู้ทำไมภายหลังถึงได้แพร่สะพัดออกไป…. 

 

 

คราวนี้ล่ะยุ่งกันใหญ่แล้ว นอกจากดินแดนจิ่วโจวแล้ว แม้แต่ดินแดนอื่นๆก็พากันเพ่งเล็งมาใหญ่แล้ว 

 

 

ยิ่งช่วงนี้ แม้แต่ในเมืองหลวงตี้ตูก็ยังมีพวกต่างชาติที่คิดไม่ซื่อเดินทางเข้ามาไม่ขาด 

 

 

หลี่กงกงย่อมต้องร้อนใจ! 

 

 

ขณะที่เขาเดินกลับไปกลับมาเป็นรอบที่ร้อย อยู่ๆก็พลันเห็นว่ามีหมอกสีดำกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามา 

 

 

“อ้ายโย่ว สวรรค์ช่วยข้าด้วย ปีศาจอาละวาดแล้ว!” 

 

 

หลี่กงกงตกใจจนก้นกระแทกลงกับพื้นบนลานพระตำหนัก ก้นกบร้าว กระดูกชราระบมไปหมด เจ็บจนต้องห่อปากกัดฟัน 

 

 

ดินแดนโบราณในยามนี้มิได้เหมือนดั่งแต่ก่อนที่ขาดแคลนเหล่านักพรตและผู้ฝึกตน ความรอบรู้ที่มีก็น้อยนิด เมื่อพวกเขามียอดมนุษย์อย่างฮ่องเต้หญิงขึ้นมาคนหนึ่ง ทุกบ้านทุกเรือนต่างก็เปลี่ยนเป็นสนับสนุนให้ลูกหลานฝึกฝนเป็นนักพรตขึ้นมา 

 

 

ทุกคนต่างปรารถนาจะเป็นกำลังให้กับฮ่องเต้หญิง และร่วมปกป้องแว่นแคว้นของพวกเขาเอาไว้! 

 

 

พอมีพวกนักพรตและผู้ฝึกตนมากเข้า เรื่องที่ไม่เคยพบเคยเห็น ทุกคนก็ได้รู้ได้เห็นกันมากกว่าเดิม 

 

 

อย่างพวกภูติผีปีศาจ ที่จริงก็ไม่มีอะไรน่ากลัว 

 

 

หลี่กงกงถูกหมอกสีดำที่เย็นเฉียบจนซึมเข้าไปถึงแก่นกระดูกทำให้ตกอกตกใจขึ้นมาแล้ว ถึงแม้ว่าบางครั้งบางคราท่านแม่ทัพตู๋กูจุนก็เคยจับพวกปีศาจกลับมาไม่น้อย แต่ว่าพวกนั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ 

 

 

เขาเบิกตาโต จนเกือบจะลืมหายใจไปแล้ว 

 

 

นั่นเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับคนที่จะขาดใจตาย 

 

 

คำพูดติดอยู่ที่ริมฝีปาก สายตาได้แต่จับจ้องอยู่ที่หมอกสีดำ จนกระทั่งหมอกสีดำเหล่านั้นจางลงไป เผยให้เห็นดวงหน้าของบุรุษที่งดงามไร้ที่เปรียบออกมา ดวงตาของหลี่กงกงก็ต้องหลั่งน้ำตาออกมาในทันที 

 

 

น้ำตาไหลพรากอย่างไม่ขาดสาย! 

 

 

“ฝ่า….ฝ่าบาท….เป็นฝ่าบาทจริงๆหรือนี่?” 

 

 

หลี่กงกงใช้แขนเสื้อปาดซับน้ำตาสุดชีวิต ทั้งตื่นเต้นยินดีและปลาบปลื้มใจจนพูดไม่เป็นภาษา 

 

 

“บ่าวเฒ่า บ่าวเฒ่าจะต้องฝันไปแล้วแน่ๆเลย …. คนเราพออายุมากก็มักจะฝันถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจบ่อยๆ…” 

 

 

“ฝ่าบาทจะทรงกลับ….มา…ได้อย่างไร” 

 

 

เขาทางหนึ่งก็ร้องไห้ ท่างหนึ่งก็ค่อยๆคืบคลานขึ้นมาจากบนพื้น จากนั้นก็คุกเข่าเสียงดังลงตรงเบื้องหน้าจีเฉวียน 

 

 

ต่อให้เป็นเพียงความฝัน ก็ยังต้องถวายความเคารพกับฝ่าบาทให้ถูกต้องตามธรรมเนียม 

 

 

หมอกสีดำมิได้จางหายไปจนหมด ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมแขนของจีเฉวียนจึงยังไม่ได้เผยโฉมออกมา 

 

 

ทั้งสองต่างก็เห็นทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า 

 

 

วังหลวงของแคว้นต้าโจวที่แสนคุ้นเคย 

 

 

หน้าประตูของตำหนักตี้หัวกงมีต้นฮว๋ายอยู่สองต้น เป็นต้นไม้ที่จีเฉวียนปลูกให้นางกับมือ 

 

 

เขาชื่นชอบกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายที่อยู่บนกายของนาง ดังนั้นจึงทำให้แม้แต่ดอกฮว๋ายก็กลายเป็นสิ่งที่ชื่นชอบไปด้วย 

 

 

ตอนนี้ต้นไม้พวกนั้นเติบโตจนแตกกิ่งก้านสาขา ในฤดูนี้ก็ผลิดอก ออกช่อสีขาวอมเหลืองเต็มไปหมด งดงามน่าดูอย่างที่สุด 

 

 

เขามองอยู่เนินนาน…. 

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ….เราเป็นสามีของฮ่องเต้หญิง มิใช่ฮ่องเต้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้กับข้า” 

 

 

ยามที่จีเฉวียนเอ่ยกับหลี่กงกง ในน้ำเสียงที่เรียบเฉยจนเย็นชา แฝงเอาไว้ด้วยความอบอุ่นจางๆที่หาได้ยากนัก 

 

 

……………………..