เมื่อได้ยินหลิงยี่เทียนพูดว่าเป้าหมายของเขาคือการปกป้องมวลมนุษย์ทั้งหมด ฟู่เซียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เขาครุ่นคิดอยู่สักพักและถามกลับ “ฝ่าบาท ตามที่ข้าเข้าใจเผ่ามนุษย์ของพวกเราตอนนี้พัฒนาไปจนถึงระดับที่สามารถครอบครองอาณาเขตส่วนใหญ่ของทุกภูมิภาคได้แล้ว แม้แต่เขตแดนอุดรทมิฬก็ยังมีพวกเราอาศัยอยู่ไม่น้อย ดังนั้นการปกป้องมนุษย์ที่ท่านพูดถึงนี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าท่านหมายถึงมนุษย์ที่ไหน? เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ข้ายังไม่รู้ว่ามีดินแดนไหนที่ยังคงเป็นอันตรายต่อมนุษย์อยู่?”
หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ผู้อาวุโสฟู่ ข้าคิดว่าสิ่งที่ข้าเข้าใจมันคงต่างจากของท่านพอสมควร หากจะถามว่าเผ่ามนุษย์มีอันตรายอะไร ทำไมข้าถึงจำเป็นต้องปกป้อง? แน่นอนว่าคำตอบนั้นมันเห็นกันชัด ๆ อยู่แล้วว่าเผ่าอสูรในตอนนี้ก็ยังคงอยู่ แถมพวกมันก็คอยจ้องเล่นงานพวกเราอยู่ตลอดเวลานั่นไม่เรียกว่าอันตรายงั้นเหรอ? ส่วนเขตแดนอุดรทมิฬนั้นมีเผ่าปีศาจอยู่มากมาย ซึ่งบางเผ่าก็เป็นมิตรต่อเราแต่บางเผ่าก็จ้องจะจับกินเราเช่นกัน ดังนั้นท่านจะพูดว่ามันปลอดภัยหรือยังไง?”
ฟู่เซียนส่ายหัวและพูดว่า “ถึงแม้ว่าเขตแดนอุดรทมิฬจะอันตรายกว่าภูมิภาคอื่น ๆ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นั่นก็ยังสามารถอยู่กันอย่างสงบสุขได้และสำหรับเผ่าอสูร พวกเราก็ขับไล่พวกมันจนหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ดังนั้นพวกมันจะเป็นภัยคุกคามต่อพวกเราจนถึงขั้นเป็นหายนะได้ยังไง?”
ความหมายที่ฟู่เซียนพยายามจะสื่อก็คือ หลิงยี่เทียนนั้นตื่นตูมเกินไปสำหรับเรื่องเขตแดนอุดรทมิฬและเผ่าอสูร
จู่ ๆ สีหน้าของหลิงยี่เทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันทีและพูดต่อว่า “พูดถึงหายนะ ผู้อาวุโสฟู่ ข้าอยากขอแรงให้ท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้พ่อของข้าบังเอิญได้มีโอกาสค้นวิญญาณของอสูรระดับสูงตนหนึ่ง ซึ่งทำให้พ่อของข้าได้ล่วงรู้ความลับสำคัญของเผ่าอสูร แต่ก่อนที่จะได้รู้ข้อมูลทั้งหมด อสูรตนนั้นกลับฆ่าตัวตายทันที ดังนั้นทั้งข้าและพ่อของข้าจึงมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นความลับที่สำคัญมาก ๆ ของเผ่าอสูรไม่เช่นนั้นมันคงไม่ฆ่าตัวตายไปแบบนั้น”
“ความลับที่ว่านั้นเกี่ยวข้องกับชื่อสถานที่สองชื่อ หนึ่งคืออาณาจักรผู้กล้า สองคือสภาอสูรสวรรค์ ตามข้อมูลที่พ่อของข้าล้วงมาได้ก็คือทั้งสองสถานที่นี้อยู่ภายใต้การปกครองของเหล่าอสูร ซึ่งพวกมันจัดฉากให้อาณาจักรผู้กล้านั้นเป็นอาณาจักรของเหล่ามนุษย์โดยการจับมนุษย์เข้าไปอยู่และทำการล้างสมองให้คนภายในอาณาจักรจำเป็นต้องสู้เพื่อความอยู่รอดกับเผ่าอสูรของสภาอสูรสวรรค์ โดยที่ท้ายที่สุดพวกมนุษย์เหล่านั้นจะค่อย ๆ ถูกจับกินไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันที่สิ้นสุด”
“อันที่จริงเรื่องนี้ข้าได้ให้ยอดเขาหยกจักรพรรดิทำการสืบมานานแล้ว แต่ทั้งข้าและพวกเขาก็ยังไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเลยราวกับว่าทั้งสองสถานที่นี้ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นข้าจึงอยากขอให้ท่านใช้เส้นสายของท่านช่วยข้าสืบอีกแรงว่าแท้จริงแล้วทั้งสองสถานที่นี้มันคือที่ไหนกันแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของฟู่เซียนกลายเป็นตึงเครียดทันทีและพูดว่า “ทั้ง ๆ ที่ถูกขับไล่ออกไปขนาดนั้นพวกเผ่าอสูรมันยังกล้าบังอาจจับมนุษย์ไปเลี้ยงดูเพื่อกินเป็นอาหารอีกงั้นเหรอ!?”
“ไม่ผิดแน่นอน!” หลิงยี่เทียนพยักหน้า “แต่ว่าผู้อาวุโสฟู่ การสืบเรื่องนี้ท่านจำเป็นต้องสืบอย่างลับ ๆ และให้คนที่ท่านไว้ใจได้เท่านั้นทำงานให้เพราะเท่าที่ข้ารู้มา มีมนุษย์หลายพวกที่คอยเป็นหูเป็นตาให้กับพวกเผ่าอสูรเช่นกัน ซึ่งถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูพวกคนเหล่านั้น การสืบหาความจริงเรื่องนี้จะยากขึ้นอีกหลายเท่าตัว”
ฟู่เซียนพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว!”
เขาไม่สงสัยเรื่องความถูกต้องของข้อมูลที่หลิงตู้ฉิงได้รับมาแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าหลิงตู้ฉิงนั้นอยู่ในระดับสูงกว่าเขามาก และเขาก็ไม่คิดว่าหลิงยี่เทียนจะกุเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจของเขาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสรุปได้ว่าเรื่องนี้น่าเชื่อถือได้
“ฝ่าบาท หลังจากกลับไปข้าจะมอบหมายให้เหล่าคนที่ข้าไว้ใจได้แน่นอนตามสืบเรื่องนี้ในทันที” ฟู่เซียนพูดขึ้น “และอีกอย่างนับจากวันนี้ไปข้าจะให้คนของข้าทั้งหมดย้ายไปอยู่ที่อาณาจักรจันทราเพื่อรับใช้ท่าน ซึ่งข้ารับประกันได้ว่าพวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่ภักดีต่อเผ่ามนุษย์แน่นอน ดังนั้นท่านสามารถวางใจใช้งานพวกเขาได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม และแน่นอนว่ารวมข้าผู้นี้ไปด้วยที่จะขอติดตามรับใช้ฝ่าบาทเช่นกัน”
หลังจากกล่าวอำลา ฟู่เซียนก็รีบเดินไปที่ท้องพระโรงหลักทันทีเพื่อคุยกับหลิงตู้ฉิง ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ “ข้าได้คุยกับลูกชายท่านเรียบร้อยแล้ว และจากนี้เป็นต้นไปทั้งข้าและคนของข้าจะขอทำงานใต้คำสั่งของเขา!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่ผิดหวังแน่นอนในการติดตามเขา!”
“ข้าเองก็หวังเช่นนั้น!” ฟู่เซียนยิ้ม
อันที่เขาเองก็มีคำตอบในใจแล้วเช่นกัน
หลังจากรอได้ 1 เดือนกว่าในที่สุดผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์อีก 2 คนก็มาถึงพร้อมกับเหล่าผู้ติดตามของพวกเขา
ในเวลาเดียวกันเพื่อความเหมาะสมในการจุเหล่าผู้คนที่สนับสนุนผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ทั้งสี่ได้ครบเต็มท้องพระโรง ทำเนียบราชันมนุษย์จึงขยายขนาดท้องพระโรงให้กว้างขึ้นมากกว่า 100 ตารางกิโลเมตร
แน่นอนว่าเหตุผลที่ทำเช่นนี้ได้ก็เพราะพระราชวังทั้งหลังนั้นคือสมบัติวิเศษ ซึ่งพื้นที่ด้านในของมันก็คือโลกจำลองอีกใบหนึ่งที่สามารถถูกควบคุมได้
แน่นอนว่าหลังจากที่เดินเข้ามาในท้องพระโรง ทุกคนก็ได้เห็นว่าหลิงตู้ฉิงนั้นนั่งอยู่บนบัลลังก์
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครที่แสดงสีหน้าแปลกใจอะไรเพราะพวกเขาทุกคนต่างรู้ข่าวนี้อยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมมีบางคนที่รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน แต่ว่าพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะขนาดเจตจำนงของราชันแห่งมวลมนุษย์รุ่นก่อนยังไม่บ่น ดังนั้นพวกเขาจะพูดอะไรเยอะได้ยังไง?
เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าในท้องพระโรงกันครบหมดแล้ว ฟู่เซียนจึงประกาศขึ้นทันที “วันนี้คือวันสำคัญของพวกเราเผ่ามนุษย์ทุกคน และข้ายังคงต้องขอขอบคุณที่แขกต่างเผ่าทั้งหลายให้เกียรติมาเป็นประจักษ์พยานการขึ้นครองราชของราชันแห่งมวลมนุษย์คนใหม่ของยุคนี้!”
“แต่ก่อนที่พวกเราทุกคนจะได้เฉลิมฉลองไปกับความยินดีนั้น พวกเรายังมีปัญหาอย่างหนึ่งที่จำเป็นแก้ไข ซึ่งก็คือในตอนนี้มีผู้ที่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นราชันแห่งมวลมนุษย์ถึง 4 คน!”
“เป็นอย่างที่รู้ ๆ กันว่าราชันแห่งมวลมนุษย์นั้นมีได้เพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น ดังนั้นพวกเราทั้งหมดจึงจำเป็นต้องทำการคัดเลือกเพื่อหาคนที่มีคุณสมบัติคู่ควรที่สุด ซึ่งนี่คือเหตุผลที่พวกเรามารวมกันที่นี่ในวันนี้ เอาล่ะนับจากนี้ไปข้าขอเชิญผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ทั้งสี่คนก้าวออกมาแนะนำอาณาจักรของพวกท่านเองได้เลยว่ามีความสมบูรณ์พร้อมแค่ไหน!”
ฉินหวงก้าวออกมาคนแรกทันทีและตะโกนว่า “ในตอนนี้อาณาจักรของข้ามีอาณาเขตอยู่ในครอบครอง 193 อาณาเขต ซึ่งในอนาคตข้ามั่นใจว่าอาณาจักรของข้าจะยิ่งขยายจำนวนอาณาเขตที่ครอบครองได้เร็วยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ”
เจียงหวงก้าวออกมาเช่นกัน “อาณาเขตที่ข้าครอบครองในตอนนี้มี 180 อาณาเขต ซึ่งน้อยกว่าพี่ฉินเล็กน้อย!”
ซ่งว่านหลุนถอนหายใจและพูดว่า “เนื่องจากอาณาจักรของข้านั้นตั้งอยู่ในเขตแดนอุดรทมิฬ ดังนั้นการขยายดินแดนของข้าจึงยากเป็นอย่างมากหากเทียบกับการอยู่ในภูมิภาคซ่งหยวนและตงซวน ในตอนนี้ข้าจึงมีอาณาเขตที่อยู่ในครอบครองเพียง 45 อาณาเขตเท่านั้น!”
เมื่อทั้ง 3 คนพูดจบ พวกเขาต่างก็มองไปที่หลิงยี่เทียนเป็นสายตาเดียวกันพร้อมกับเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
หลิงยี่เทียนไม่ได้สนใจสายตามากมายที่กำลังมองเขาในตอนนี้แม้แต่น้อย เขาหัวเราะและพูดว่า “ตอนนี้ข้ามีอาณาเขตอยู่ในครอบครอง 12 อาณาเขต ข้าคิดว่าพวกท่านน่าจะรู้กันหมดแล้วจริงไหม?”
เมื่อได้ยินคำตอบของหลิงยี่เทียน เหล่าผู้คนทั้งที่อยู่ในท้องพระโรงต่างก็หัวเราะครืน
ซ่งว่านหลุนหัวเราะและพูดกับหลิงยี่เทียนว่า “น้องยี่เทียน หากเจ้ามีคนไม่พอจะยึดอาณาเขตเพิ่ม ข้าให้เจ้ายืมคนของข้าก็ได้นะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เนื่องจากพวกเขามีสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงนับได้ว่าเป็นพี่น้องกัน ฉะนั้นการที่พวกเขาใช้คำเรียกแทนตัวว่าพี่น้องอย่างสนิทสนมมันจึงไม่นับว่าผิดอะไร
ฉินหวงยิ้มและพูดว่า “ข้าเห็นด้วยเรื่องที่พวกเราควรช่วยน้องชายของพวกเรา ไม่เช่นนั้นภูมิภาคหนานลี่ของน้องยี่เทียนคงพัฒนาไปไม่ถึงไหนแน่นอน”
หลิงยี่เทียนยิ้มและตอบกลับ “ข้ารู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากที่พวกท่านห่วงข้า และข้าก็ยินดีต้อนรับพวกท่านทุกคนหากพวกท่านจะมาที่ภูมิภาคหนานลี่ เพราะในอนาคตข้าเองก็มีแผนที่จะไปเยือนทั้งภูมิภาคตงซวน ซ่งหยวน เขตแดนอุดรทมิฬ และอี้ซางเช่นกัน!”