อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 1069 จากไป
จบไปเพลงหนึ่ง ในป่าเขาว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย

เย่จิ่งหานไม่ยอมแพ้ เป่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ตั้งแต่พลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า

หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ในป่าเขาก็ยังคงว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย

จากเย่จิ่งหานที่เปี่ยมไปด้วยความหวังอย่างเต็มหัวใจก็ค่อยๆสิ้นหวังขึ้นเรื่อยๆ

กู้ชูหน่วนฟังเพลงของเขาจากความสุขเปลี่ยนเป็นเศร้าและเปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง ฟังจนนางรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ จึงตะโกนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “พอแล้ว ไม่ต้องเป่าแล้ว หากว่านางจะปรากฏตัวก็คงปรากฏตัวขึ้นมานานแล้ว บางทีดวงวิญญาณดวงนั้นอาจจะอยู่ใกล้ๆพอดี จึงได้ถูกเสียงขลุ่ยของท่านดึงดูดเข้ามาได้”

สีหน้าของเย่จิ่งหานดูไม่ได้ หยุดเป่าเพลง เงาร่างที่โดดเดี่ยวนั้นทำให้กู้ชูหน่วนทนไม่ได้เล็กน้อย

“ดวงวิญญาณดวงอื่นอาจจะอยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่ ท่านหาได้สามดวงแล้วไม่ใช่หรือ เชื่อว่าไม่นานก็จะหาดวงวิญญาณอีกไม่กี่ดวงได้”

“ทำไมถึงเป็นเจ้า?”

“อะไร?”

“ทำไมวิญญาณของนางไม่ไปหาคนอื่น แต่ต้องเป็นเจ้า?”

“คำถามของท่านลึกซึ้งเกินไป ข้าตอบไม่ได้ รอหลังจากที่นางฟื้นคืนชีพแล้ว ท่านค่อยถามนางละกัน จำไว้ว่าให้นางชดเชยค่าประสาทเสียให้ข้าด้วยล่ะ ชอบปรากฏตัวกะทันหันบ่อย ข้าตกใจหัวใจจะวายตายอยู่แล้ว”

น้ำเสียงนี้ ความสดใสเช่นนี้ แทบจะเหมือนกับอาหน่วนทุกประการ

หากไม่ใช่เพราะยังรักษาสติสัมปชัญญะไว้ได้ เย่จิ่งหานคงจำนางผิดเป็นอาหน่วนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

“อาการบาดเจ็บของข้าใกล้จะหายดีแล้ว ได้เวลาไปแล้วล่ะ”

กู้ชูหน่วนอยากจะจากไปนานแล้ว

เป็นเวลานานแล้วที่นางอยู่ที่นี่ ระหว่างนี้นางเรียกเจ้าเสือน้อยและเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อยู่หลายครั้ง แต่ก็เรียกไม่สำเร็จ นางกลัวว่าพวกมันจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการก้าวออกไปจากที่นี่หมายความว่าอย่างไร?”

“รู้ แต่ข้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้”

กู้ชูหน่วนคิดว่าเย่จิ่งหานจะห้ามไว้

คิดไม่ถึงว่าเขาไม่ห้ามโดยสิ้นเชิง เพียงแค่เป่าขลุ่ยต่อไป

นางขยับปาก อยากจะเกลี้ยกล่อมเขาว่าอย่าดึงดัน แต่คำพูดมาถึงปาก นางกลับพูดไม่ออก

การสูญเสียผู้เป็นที่รัก นางรู้สึกสัมผัสเองไม่ได้ จะมีสิทธิ์อะไรไปเกลี้ยกล่อมคนอื่น

ช่วงสิบวันที่อยู่ด้วยกัน นางเข้าใจเย่จิ่งหานมากขึ้นเล็กน้อยแล้ว

ผู้ชายคนนี้สีหน้าเย็นชาแต่ไม่ได้เย็นชา กระทั่งยังน่าสงสารอยู่เล็กน้อยอีกด้วย

กู้ชูหน่วนสำรวจอยู่หลายครั้ง ด้านนอกมีการซุ่มโจมตีอย่างหนาแน่น ไม่ว่าจะออกไปทางไหนก็ล้วนเป็นการซุ่มโจมตีได้ที่หลบเลี่ยงไม่ได้

นางจึงย้อนกลับมาอีก กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านส่งข้าลงเขาหน่อย คิดซะว่าเป็นค่าอาศัยที่นางสิงอยู่ในร่างกายของข้าโดยไม่จ่ายเงิน”

“หากว่านางไม่ยืมร่างของเจ้าอาศัย เจ้าก็ตายไปนานแล้ว”

“งั้นท่านอยากให้ข้าถูกพวกเขาฆ่าไปจริงๆ ทำให้คนในใจของท่านเป็นวิญญาณไร้ที่พึ่งงั้นหรือ?”

เย่จิ่งหานกำขลุ่ยหยกขาวในมือไว้เล็กน้อย ในตามีความโกรธแวบผ่าน

“เจี่ยงเสวีย”

“ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ”

“ส่งนางออกไป”

“ขอรับ……”

กู้ชูหน่วนยกริมฝีปากขึ้นและยิ้ม “ว่านอนสอนง่ายจริงๆ ท่านเชื่อฟังให้มากหน่อย ไม่แน่อาจจะรวบรวมวิญญาณของนางได้ครบง่ายขึ้นก็ได้”

ฉึบ……

สีหน้าของเย่จิ่งหานเคร่งขรึมลงในพริบตา

กู้ชูหน่วนรู้ว่าเขากำลังจะโกรธอีกแล้ว และก่อนที่เขาจะโกรธ จึงได้ลากเจี่ยงเสวียออกไปแล้ว

ชิงเฟิงพูดอย่างโกรธเคืองว่า “นายท่าน เราจะถูกนางบีบบังคับอยู่เช่นนี้ต่อไปหรือขอรับ? คับข้องใจเกินไปแล้ว”

“มีวิญญาณหลายดวงของอาหน่วนอยู่ในร่างของนาง นางตายไม่ได้”

“แต่…….”

“ส่งคนไปคุ้มกันนางอย่างลับๆ อย่าให้นางตาย”

“ขอรับ…..” ชิงเฟิงรับคำสั่งอย่างไม่เต็มใจ

เย่จิ่งหานขมวดคิ้วแน่น

ตอนตกอยู่ในอันตรายที่งานประชุมมอบรางวัลใหญ่ นางไม่ได้ใช้เคล็ดวิชากลืนพลัง และไม่ได้ใช้กระบวนท่าที่เป็นเอกลักษณ์ใดๆของอาหน่วน

นางตั้งใจไม่ใช้งั้นหรือ?

หรือว่าไม่รู้จริงๆว่ากระบวนท่าเหล่านั้นใช้ยังไง?

ดูไม่เหมือนว่านางจะตั้งใจไม่ใช้นี่

ที่เป็นไปได้ยิ่งกว่าคือ นางทำไม่เป็นโดยสิ้นเชิง

แต่หากว่าทำไม่เป็น วันนั้นนางจะใช้เคล็ดวิชากลืนพลังได้อย่างไร?