ท่าไม่ดีแล้ว… เรากำลังถูกควบคุม… ด้านวิญญาณ… เนื่องจากเคยเผชิญหน้ากับผู้ไร้หน้า นักเชิดหุ่น จอมเวทพิสดาร หรือครึ่งเทพที่แข็งแกร่งกว่านี้ โจนาส·โคลเกอร์ย่อมคุ้นชินกับสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างดี มีความรู้ความเข้าใจไม่น้อย
ดังนั้น มันมั่นใจมากว่า ตนพลาดท่าตกหลุมพรางที่อันตรายถึงแก่ชีวิต และเวลาที่ช่วยพลิกสถานการณ์กลับมาเหลือไม่ถึงสิบห้าวินาที!
โดยในสิบห้าวินาที ความคิดจะยิ่งทวีความเฉื่อยชา สมองสั่งการช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดนิ่ง และอาจต้องใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อขบคิดหาทางออก อีกหลายวินาทีในการนำไปปฏิบัติจริงด้วยร่างกายที่เชื่องช้า กล่าวอีกนัยหนึ่ง โจนาส·โคลเกอร์มีเวลาในการช่วยเหลือตัวเองไม่ถึงสิบวินาที!
แน่นอน มันคิดแผนการแก้ไขเบื้องต้นไว้แล้ว นั่นคือการเผยร่างสัตว์ในตำนาน วิธีนี้จะช่วยยืดเวลาในการกลายเป็นหุ่นเชิดออกไป พร้อมกับสร้างแรงกระทบกระเทือนไปถึงศัตรู
แต่การทำเช่นนั้น แม้จะช่วยให้เกิดปาฏิหาริย์รอดพ้นจากการกลายเป็นหุ่นเชิด หรือกระทั่งสามารถเอาชนะศัตรู แต่โจนาส·โคลเกอร์ก็ไม่มั่นใจว่าตนจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
มันไม่ใช่ครึ่งเทพที่สามารถสับเปลี่ยนไปมาระหว่างร่างมนุษย์กับร่างสัตว์ในตำนานได้ตามใจชอบ และไม่มั่นใจว่าตนยังสามารถครองสติได้ในร่างสัตว์ในตำนาน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากใช้ร่างสัตว์ในตำนาน มนุษย์ที่ชื่อโจนาส·โคลเกอร์มีโอกาสสูงมากที่จะเสียชีวิตและถูกแทนที่โดยสัตว์ประหลาดชื่อเดียวกัน
ดังนั้น หากไม่สิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง โจนาส·โคลเกอร์จะไม่ใช่วิธีนี้เด็ดขาด
ขณะสติเริ่มเฉื่อยชา ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ ดังขึ้นภายในหู ช่วยให้ครึ่งเทพของกองทัพพบแผนการเบื้องต้นที่จะเอาตัวรอด
มันรีบขยับนิ้วโป้งขวาด้วยความเร็วที่ไม่ช้าจนเกินไป
พลัง ‘ขยาย’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอย!
สิ่งที่โจนาส·โคลเกอร์ต้องการขยายไม่ใช่สภาพปัจจุบันของตัวเองหรือพลังของสมบัติปิดผนึก แต่เป็นการขยายผลข้างเคียงด้านลบของ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ !
ลูกโม่พิสดารกระบอกนี้จะส่งเสียงร้องอันสิ้นหวังให้เจ้าของได้ยินเป็นครั้งคราว สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ครึ่งเทพ ข้อเสียนี้นับว่าร้ายแรงมาก ง่ายต่อการเสียสติและคลุ้มคลั่ง จิตใจแตกสลายหรือสมองขาวโพลน แต่ในกรณีของลำดับ 4 เนื่องจากมีร่างสัตว์ในตำนานอยู่ในตัว ผลข้างเคียงจึงบรรเทาลงมาก
สำหรับโจนาส·โคลเกอร์ เสียงกรีดร้องดังกล่าวทำให้มันรู้สึกมึนงงเล็กน้อย อารมณ์ไม่คงที่ในบางเวลา ร้ายแรงที่สุดคือทำให้ฉุนเฉียว แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไร และมันเริ่มทำความเคยชินกับสิ่งนี้แล้ว
แต่ปัจจุบัน มันต้องการขยายเสียงกรีดร้องให้ถึงจุดที่ครึ่งเทพมิอาจทานทน ด้วยวิธีนี้ จิตใจของมันจะถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วง มีโอกาสที่จะสลัดหลุดการควบคุมจากด้ายวิญญาณ
เนื่องจากพลัง ‘ขยาย’ ไม่จำเป็นต้องขยับร่างกายมากนัก และผลลัพธ์เกิดขึ้นในพริบตา เกอร์มัน·สแปร์โรว์ฝั่งตรงข้ามซึ่งสวมหมวกทรงสูงและรายล้อมด้วยลมแรง จึงไม่สามารถยับยั้งได้ทันเวลา เคาต์แห่งการเสื่อมถอยประสบความสำเร็จในการใช้งานพลังพิเศษ
แต่ในวินาทีถัดมา สิ่งที่โจนาส·โคลเกอร์ได้เผชิญมิใช่เสียงกรีดร้อง แต่เป็นความเงียบสงบ
เสียงกรีดร้องที่ควรจะดังขึ้นไปอีกสักพัก กลับอันตรธานหายไป!
นี่คือผลของการแปรผันแบบสุ่มที่เกิดจาก ‘แสงเงาประชันดนตรี’
ให้ตายสิ… โชคร้ายอะไรแบบนี้… ความคิดของโจนาส·โคลเกอร์แล่นผ่านอย่างเฉื่อยชา แต่มันมิได้ผิดหวังนาน รีบดำเนินการช่วยเหลือตัวเองครั้งที่สองทันที
มันยกมือขวาขึ้นอย่างไม่มั่นคง เล็งหกปากกระบอกของ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ ไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร เตรียมลั่นไกปืน
ขณะเวลาเดียวกัน สายลมกระโชกที่พัดใส่มือขวาของมันพลันสลายตัวจากภายใน กระจัดกระจายกลายเป็นสายลมเอื่อย
พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอย!
โจนาส·โคลเกอร์ใช้สิ่งนี้เพื่อต่อต้านการก่อกวนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ทันทีหลังจากนั้น เสียง ‘ปัง’ ดังระรัวชุดใหญ่ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ ปลดปล่อยฝนกระสุนออกมาราวกับปืนกล กลุ่มหัวกระสุนแสนอันตรายพุ่งแหวกอากาศด้วยความบ้าคลั่งเป็นเวลานาน
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่สวมเสื้อกันลมสีดำโยกตัวหลบอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กระสุนทุกนัดพลาดเป้า
ฝนกระสุนพุ่งเฉียดร่างกายอีกฝ่ายและลอยไปไกล พังหน้าต่างกับผนังของคฤหาสน์เพลงกุหลาบจนบางส่วนถล่มลงอย่างเงียบงัน
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
พายุกระสุนระลอกต่อไปยังคงโหมกระหน่ำอย่างไม่หยุดพัก จนกระทั่งเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถูกยิง แถมยังโดนเข้าหลายนัดติดต่อกัน!
ท่ามกลางเลือดที่สาดกระเซ็น ร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กระเด็นไปมาในสายลม ราวกับกระดาษที่ปลิวไสวและพัดกระพืออย่างต่อเนื่อง พร้อมฉีกขาดได้ทุกเมื่อ
ปัง! ปัง! ปัง! ในที่สุดปืนพกประหลาดก็หยุด ‘การกรีดร้อง’ โดยสำหรับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นอกจากบริเวณศีรษะ ร่างกายส่วนอื่นเต็มไปด้วยรูเลือดอันน่าสยดสยอง
ตามปรกติแล้ว นี่คือสภาพของคนตายอย่างไร้ข้อกังขา แต่เกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับยังสามารถควบคุมด้ายวิญญาณราวกับไม่ได้รับผลกระทบ
ขณะเดียวกัน บาดแผลฉกรรจ์ตามร่างกายเริ่มฟื้นฟูด้วยความเร็วคงที่
นี่คือคุณสมบัติของแหวนบุปผาโลหิต
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ถูกกระหน่ำยิงคือ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน!
สาเหตุที่มันยังไม่ตายจากการโจมตีอันดุเดือด นั่นเพราะ ‘ดวง’ ที่สั่งสมไว้ทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมาในพริบตา และเป็นเพราะโจนาส·โคลเกอร์ ‘ซวย’ มากพอ!
นอกจากนั้น ผลกระทบทางด้าน ‘เสียงกรีดร้อง’ ที่มาพร้อมกับกระสุน แทบไม่มีความหมายใดกับหุ่นเชิดไร้ชีวิตชีวา
เมื่อเห็นว่าการโจมตีอันหนักหน่วงของตนไม่เกิดผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง และระยะเวลาสำหรับช่วยเหลือตัวเองก็ลดลงไปเรื่อยๆ โจนาส·โคลเกอร์ตัดสินใจทำในสิ่งที่วางแผนไว้ล่วงหน้า รีบคลายนิ้วมือข้างซ้ายทั้งห้าออกโดยไม่คิดอะไร
นาฬิกาพกหุ้มเหล็กหลุดออกจากฝ่ามือ ร่วงหล่นลงด้านล่าง
ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ โจนาส·โคลเกอร์ตัดสินใจสละ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ โดยหวังให้มันออกห่างจากสนามรบ เพื่อหลีกเลี่ยงอิทธิพลของการแปรผันแบบสุ่ม
หลังจากนี้ มันมีโอกาสช่วยชีวิตตัวเองแค่หนึ่งหรือสองครั้ง หากหนึ่งในนั้นเกิดแปรผันแบบสุ่มไปในทิศทางที่เลวร้าย ชะตากรรมของตนคงมิอาจย้อนกลับ!
สมบัติปิดผนึกที่หน้าปัดครึ่งหนึ่งเป็นระเบียบและอีกครึ่งหนึ่งยุ่งเหยิงหล่นลงพื้นดินด้วยความเร็วสูง โจนาส·โคลเกอร์หันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งบาดแผลกำลังสมานอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยการฝืนขยับปลายนิ้วอย่างยากลำบาก
เดิมที มันมีสองทางเลือก หนึ่งคือแผนการช่วยเหลือตัวเองครั้งที่สามซึ่งคิดไว้ในตอนแรก แต่แผนดังกล่าวจำเป็นต้องมีใช้สติค่อนข้างมาก และสองก็คือ ใช้พลัง ‘ขยาย’ อาการบาดเจ็บของศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ส่งผลให้อีกฝ่ายตายคาที่
ทว่า เมื่อโจนาส·โคลเกอร์ลองนึกทบทวนและพบว่า แม้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะถูกยิงหลายครั้ง แต่ไม่เพียงจะยังไม่ตาย อีกฝ่ายกลับไม่สูญเสียพลังควบคุมด้ายวิญญาณ มันจึงฉุกคิดว่าแผนการเดิมของตนอาจไม่ประสบความสำเร็จ
แต่ในปัจจุบัน สติของมันคล้ายกับเต็มไปด้วยแป้งเปียก ไม่หลงเหลือความคมชัดในความคิด จึงไม่มีทางอื่นนอกจากดำเนินการไปตามแผนเดิม
ฟ้าว!
ในสภาพสวมถุงมือสีใสและถือลูกโม่สีดำเหล็ก สายลมรอบตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลันทวีความรุนแรงและพัดมันจนลอยขึ้นสูง
ฟ้าว!
ด้วยแรงลมมหาศาล เกอร์มัน·สแปร์โรว์พุ่งขึ้นท้องฟ้าสีดำโดยมีพระจันทร์สีแดงเป็นสักขีพยาน
พลัง ‘ขยาย’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอย!
พายุที่ช่วยพยุงให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ลอยตัว แปรสภาพกลายเป็นพายุทอร์นาโด!
ด้วยวิธีนี้ ระยะห่างของมันกับโจนาส·โคลเกอร์จะเพิ่มขึ้นจนมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรในอีกไม่กี่อึดใจ ส่งผลให้สถานะของการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณถูกยกเลิก!
ขณะเห็นว่าตนกำลังจะบรรลุเป้าหมาย สีหน้าของโจนาส·โคลเกอร์ที่กำลังจะได้รับอิสรภาพ พลันทวีความซับซ้อนและดำมืด
พายุทอร์นาโดดังกล่าวขยายขนาดอย่างรวดเร็วและส่งอิทธิพลเป็นวงกว้าง แม้กระทั่งตัวของโจนาส·โคลเกอร์ก็หนีไม่พ้น ร่างกายถูกจับโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าในลักษณะไม่ต่างกัน ระยะทางจึงแทบไม่ลดลง
ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้
ภายใต้แสงจันทร์สีแดงยามค่ำคืน ร่างกายของบุคคลทั้งสองมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ
เพียงไม่นาน พายุทอร์นาโดเริ่มสงบลง อัตราการลอยขึ้นฟ้าจึงเริ่มคงที่
ฉวยโอกาสดังกล่าว สติของโจนาส·โคลเกอร์ที่เกือบจะหยุดนิ่ง พลันผุดแนวคิดใหม่:
“หยุด…”
มันยกเลิกพลังในการ ‘บิน’ ของตัวเองในตอนแรก อาศัยแรงดึงดูดจากภาคพื้นกระชากให้ร่างกายดิ่งลงไปราวกับอุกกาบาต เป็นการฉีกออกห่างจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยความเร็วสูงสุด
จากนั้น มันไม่ได้แยแสว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะกำลังขี่ลมไล่ตามหรือไม่ เพียงเลื่อนแขนซ้ายตัวเองไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าประหนึ่งข้อต่อขึ้นสนิม
เป็นท่าทางที่ดูคล้ายกับการ ‘ปิดประตู’
มันต้องการใช้พลัง ‘บิดเบือน’ ของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยเพื่อสร้างกำแพงล่องหนสำหรับกีดขวางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สกัดไม่ให้อีกฝ่ายไล่ตามตนทัน
ทันใดนั้นเอง หุ่นเชิดที่ยังมีชีวิตอยู่ด้านล่าง หุ่นเชิดที่มีใบหน้าและรูปร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ทั้งหมดยกแขนซ้ายขึ้นพร้อมกันและทำท่าเลียนแบบการยิง
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
กระสุนจำนวนมากพุ่งเข้าใส่โจนาส·โคลเกอร์ที่กำลังลอยกลางอากาศ
กว่าแรงปะทะจะแผ่ซ่านไปทั่วร่าง โจนาส·โคลเกอร์ก็ถูกเจาะจนพรุนไปสองสามแผล
อาศัยความเจ็บปวดจากกระสุนสองสามนัดแรก โจนาส·โคลเกอร์ดึงสติเพื่อสลัดให้หลุดจากสถานะถูกเข้าควบคุมด้ายวิญญาณสำเร็จ สมองกลับมาประมวลผลอย่างว่องไวอีกครั้ง
จากนั้น มันใช้พลัง ‘ยุ่งเหยิง’ กับการระดมยิงชุดถัดไป และใช้ ‘บิดเบือน’ กับบาดแผนที่ได้รับในตอนแรก ส่งผลให้ไม่ถึงแก่ความตาย แค่บาดเจ็บสาหัส
โดยขณะเดียวกัน เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่พกพาสมบัติวิเศษหลายชิ้น ถูกกำแพงล่องหนที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นกีดขวางจนมิอาจไล่ตามลงมาได้ทัน
และเมื่ออาศัยความช่วยเหลือจากพลัง ‘บิดเบือน’ อีกหนึ่งครั้ง ความเร็วในการร่วงหล่นของโจนาส·โคลเกอร์ช้าลงทันที เป็นการร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล
แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือทำสิ่งใดต่อ ร่างกายของมันกลับชะงักค้างอีกครั้ง
มันพบว่ามือและเท้าของตัวเองกำลังขัดแย้ง ไม่ยอมฟังคำสั่ง และพบบางอย่างผิดปรกติภายในร่างกาย!
จากนั้นมันก็เห็น ภายใต้แสงจันทร์สีแดงนวลที่สว่างไสว ณห้องนอนหลักของอาคารหลังใหญ่ประจำคฤหาสน์เพลงกุหลาบ บุคคลผู้หนึ่งร่างกายออกมาทางระเบียง
เป็นบุรุษผมดำดวงตาสีน้ำตาล สวมหมวกผ้าไหมทรงสูง เสื้อกันลมสีดำ โครงหน้าชัดลึก บรรยากาศรอบตัวเย็นชา ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกคนหนึ่ง
เกอร์มัน·สแปร์โรว์คนนี้เองก็เลียนแบบท่ายิงปืนด้วยมือขวาเหมือนหุ่นเชิดตัวอื่น เป็นท่ากำลังกระตุกมือกลับไปจ่อปากและเป่า
นี่คือไคลน์ร่างต้น
สิ่งที่มันเพิ่งยิงออกไปไม่ใช่กระสุนอัดอากาศธรรมดา แต่เป็นกระสุนปรสิตที่อาศัยการนำพาของกระสุนอัดอากาศ!
กระสุนปรสิตที่สร้างโดยหนอนกาลเวลาของร่างโคลนอามุนด์!
มีพลังในการสร้างหนอนกาลเวลาชั่วคราว จากนั้นก็เข้าไปเป็นปรสิตในร่างกายเป้าหมายและมอบสิทธิ์ควบคุมร่างนั้นๆ ให้ผู้ยิง
ไคลน์จงใจหยิบกระสุนนัดนี้ออกมาจากโม่และถือไว้เอง รอคอยโอกาสด้วยใจจดจ่อ รอให้โจนาส·โคลเกอร์สละ ‘แสงเงาประชันดนตรี’ และอยู่ในสภาพที่มิอาจหลบหลีกหรือใช้พลัง ‘บิดเบือน’
เงื่อนไขข้อแรกต้องเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะเคาต์แห่งการเสื่อมถอยย่อมไม่ต้องการให้มีการแปรผันเกิดขึ้นขณะที่มันพยายามรักษาชีวิตจากการถูกเข้าควบคุมด้ายวิญญาณขั้นต้น ส่วนเงื่อนไขข้อหลังใช้เพียงความอดทน
และเมื่อครู่ ความอดทนที่มันลงทุนก็ผลิดอกออกผล โอกาสที่ไคลน์รอคอยปรากฏอยู่ตรงหน้า จึงยกมือขึ้นยิงโดยไม่ลังเล และในสถานการณ์ที่ปราศจากการแปรผันแบบสุ่ม กระสุนปรสิตย่อมฝังเข้าไปในร่างโจนาส·โคลเกอร์อย่างแม่นยำ!
แต่แน่นอน ถ้ากระสุนนัดที่อีกฝ่ายโดนเข้าไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่ ‘กระสุนหลอกลวง’ หากแต่เป็น ‘กระสุนช่วงชิง’ แผนการก็จะเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง
โจนาส·โคลเกอร์ที่มิอาจควบคุมร่างกายได้ชั่วขณะ เฝ้ามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์บนระเบียงใต้พระจันทร์ยักษ์สีแดง บรรจงถอดหมวกออกมาทาบอกและโค้งศีรษะคำนับ
ท่ามกลางเสื้อกันลมที่พัดกระพือของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ความคิดของมันค่อยๆ เฉื่อยชาลง
……………………………..