จากนั้น สายตาของทุกคนก็มองไปตามเสียงของซูจิ่นซี และมองไปรอบๆ บริเวณ
แม้จะอยู่ใต้น้ำ ทว่าเป็นอีกโลกหนึ่งเหมือนกับตำหนักเสวียนปิง เป็นสถานที่ที่คนสามารถเดินและหายใจได้ตามปกติ
รอบบริเวณเป็นสีฟ้าคราม มีพืชน้ำหลากหลายชนิด มีหอยและปลา ทุกทิศทางเหมือนกันทั้งหมด ยากที่จะเลือกทิศทางเดินได้ถูกต้อง
ซูจิ่นซีมองไปที่อวิ๋นจิ่น “อวิ๋นจิ่น เจ้าคิดว่าพวกเราควรเดินไปทางใด? ”
อวิ๋นจิ่นชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและพูดว่า “ปลาเหล่านั้นว่ายมาจากทิศทางนี้ อีกทั้งปลาบริเวณนั้นมีน้อยกว่าเส้นทางอื่น ทางนั้นจะต้องมีความลึกลับอันใดบางอย่างเป็นแน่”
“ตกลง ข้าเชื่อเจ้า! ” ซูจิ่นซีกล่าว
ทุกคนเดินไปในทิศทางที่อวิ๋นจิ่นชี้ไป เป็นจริงดั่งคาด ไม่นานหลังจากนั้นก็เห็นประตูหินที่สูงมาก สองข้างของประตูหินมีงูหลามยักษ์แกะสลักจากหินสองตัวเลื้อยจากพื้นดินไปจนถึงด้านบนของประตูแล้วอ้าปากกว้าง ซึ่งหันหน้ามาทางซูจิ่นซีและคนอื่นๆ พอดี ทำให้รู้สึกน่าหวาดกลัว
หลายคนสบตากัน อวิ๋นจิ่นและอู๋จุนก้าวไปข้างหน้าก่อน เดิมทีคิดว่าต้องมีกลไกหรือสิ่งกีดขวางบางอย่าง ทว่าทั้งสองเดินไปถึงประตูและผลักเล็กน้อย ประตูหินก็เปิดออกทันที
ด้านหลังประตูมีวิหารที่สร้างด้วยหิน เพียงแต่รูปแบบทั้งหมดเป็นโทนสีมืด และบรรยากาศเย็นยะเยือกอึมครึมเล็กน้อย
ซูจิ่นซีเปิดระบบถอนพิษตลอดเวลา แม้จะตรวจไม่พบสารพิษใดๆ ทว่านางยังส่งเสียงเตือนไปว่า “ที่นี่อยู่ใต้แท่นจิ่วโยว ทุกคนควรระวังให้มากไว้ก่อน”
อวิ๋นจิ่นและอู๋จุนเดินนำทางอยู่ข้างหน้า ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และตงหลิงหวง เดินตามหลัง ทุกคนเดินเข้าไปในประตูหิน
ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าประตู เสียงทุ้มต่ำก็ดังมาจากด้านหลังพวกเขา ประตูหินปิดลง สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ตงหลิงหวงรีบเดินกลับไปที่เปิดประตู ทว่าประตูหินไม่สามารถเปิดออกได้
เป็นจริงดั่งคาด สถานที่แห่งนี้ไม่ง่ายอย่างที่เห็น
“ไปต่อ” เยี่ยโยวเหยาพูด
ทุกคนเดินเหยียบพื้นหิน และมุ่งหน้าเข้าไปภายในวิหาร
ภายในวิหารประดับประดาด้วยสิ่งของเรียบง่าย เครื่องเรือนส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสภาพใต้น้ำ มีสัตว์จำนวนเล็กน้อย
เมื่อซูจิ่นซีเดินผ่านโต๊ะที่ทำจากเปลือกหอย นางใช้มือลูบผ่านผิวโต๊ะไปครั้งหนึ่ง ทว่านิ้วของนางไม่มีรอยเปื้อนฝุ่นใดๆ
“สถานที่แห่งนี้มีคนอาศัยอยู่ ทว่าเหตุใดถึงไม่มีผู้ใดออกมาเลย เป็นไปไม่ได้ที่วิหารใหญ่เช่นนี้จะไม่มีการคุ้มกัน”
“ข้าก็คิดว่ามันน่าแปลกเช่นกัน” อู๋จุนพูด
“น่าเสียดายที่อาคมกำไลปี่อั้นใช้งานไม่ได้ ไม่เช่นนั้นข้าคงตรวจจับสถานการณ์ที่ไม่รู้ได้อย่างแน่นอน” ซูจิ่นซีเหลือบมองอาคมกำไลปี่อั้นที่ข้อมือนาง
หลังสิ้นเสียงพูดของนาง ทันใดนั้นก็มีเสียงคร่ำครวญจากด้านในวิหารดังออกมา ทุกคนหยุดฟังอย่างละเอียด พบว่าเป็นเสียงของสตรีนางหนึ่ง
“ในที่สุดข้าก็เจอคนแล้ว! ” อู๋จุนพูด “ข้าจะไปดู! ” อู๋จุนพูดพลางเดินไปยังทิศทางของเสียงนั้น
ตงหลิงหวงเดินตามไปทันที “ข้าไปด้วย! ”
ไม่นานนัก อู๋จุนก็ตะโกนเสียงดังว่า “แม่นางพิษน้อย พวกเจ้าเข้ามาดูด้านใน! ” ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และอวิ๋นจิ่นเดินเข้ามาเช่นกัน
ห้องนี้เป็นห้องศิลา การตกแต่งหรูหรากว่าภายนอกเล็กน้อย เครื่องเรือนทั้งหมดเป็นสีตรงข้ามกับภายนอก ซึ่งจัดเป็นสีขาวทั้งหมด มีเตียงหินขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง รอบเตียงหินล้อมรอบด้วยผ้าม่าน และมีสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงร้องไห้เสียงคร่ำครวญ ผ้าม่านปกปิดใบหน้าของนางไว้พอดี ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ยืนอยู่ข้างนอกและมองไม่เห็นว่านางมีใบหน้าอย่างไร
ซูจิ่นซีเหลือบมองแล้วเดินไปข้างหน้า “แม่นาง… ” เยี่ยโยวเหยารีบเดินตามหลังซูจิ่นซี แม้อวิ๋นจิ่นและอู๋จุนจะช้าไปก้าวหนึ่ง ทว่าเพียงพอที่จะปกป้องซูจิ่นซีให้ปลอดภัยในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
สตรีนางนั้นไม่ตอบ เมื่อซูจิ่นซีและคนอื่นๆ เดินไปถึงข้างเตียง นางก็หันหลังให้กับพวกเขา พวกเขาจึงไม่เห็นใบหน้าของนาง
“แม่นาง? ” ซูจิ่นซีร้องเรียกอีกครั้ง “ข้าพลัดหลงเข้ามาในดินแดนของเจ้า ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
สตรีนางนั้นหยุดร้องไห้ และค่อยๆ หันศีรษะมาหาพวกเขา
เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าของนาง ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
อู๋จุนชี้ไปที่ใบหน้าของนางและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “เหตุใด… เจ้าถึงมีใบหน้าคล้ายกับเป่ยถังหลี แม่นางน้อยผู้นั้น? ”
ในกลุ่มคนที่เข้ามา มีเพียงเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีเท่านั้นที่เข้ามาในแท่นจิ่วโยว ทั้งยังเข้าสู่ความทรงจำของเป่ยถังฉินเกอและได้พบกับนาง เพราะฉะนั้นมีเพียงเขาสองคนที่รู้จักนาง
แม้นางจะมีอายุเกือบสี่สิบแล้ว ทว่าดูเหมือนเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้ทิ้งร่องรอยแห่งกาลเวลาบนใบหน้านางเลย นางดูมีอายุเพียงยี่สิบปีเศษเท่านั้น คิ้วและดวงตาของนางยังคงเอิบอิ่ม ดวงตาเป็นประกาย ริมฝีปากแดง และผิวหนังนุ่มชุ่มชื้น ใบหน้าที่งดงามและสง่างามของนางมีความคล้ายคลึงกันเป่ยถังหลีมาก
สตรีนางนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นซูจิ่นซีและคนอื่น “พวกท่านเข้ามาได้อย่างไร? ”
ซูจิ่นซีก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ข้าขอถามฮูหยิน ท่านคือเป่ยถังฉินเกอใช่หรือไม่? ”
สตรีนางนั้นมองซูจิ่นซี “เจ้ารู้จักชื่อข้าได้อย่างไร? ”
อู๋จุนสบถอย่างกะทันหัน “บัดซบ ตามหาเสียนานจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ที่แท้เจ้าก็อยู่ในสถานที่ประหลาดแห่งนี้ ให้พวกข้าตามหาเสียนาน”
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน “ฮูหยิน พวกเรามาหาท่านตามคำขอร้องของบุตรสาวท่าน เป่ยถังหลี”
“เป่ยถังหลีหรือ?! ”
“ก็คือหลานเยวี่ยหลี บุตรสาวคนที่สามของหลานเสวียนหมิง” ซูจิ่นซีอธิบาย
เป่ยถังฉินเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย “นางใช้แซ่เป่ยถังหรือ? นางมาที่แคว้นเป่ยอี้แล้วหรือ? ”
อู๋จุนที่ได้พบเป่ยถังฉินเกอ รีบพูดว่า “พูดเรื่องไร้สาระไปมากมายเพื่ออันใด? ออกไปแล้วค่อยคุยกัน ใครจะไปรู้ว่าจะพบอันตรายอันใดอีกในสถานที่ประหลาดแห่งนี้”
ซูจิ่นซีเห็นด้วยกับอู๋จุน “ฮูหยิน มีเรื่องอีกมากมาย คงอธิบายไม่หมดในเวลานี้ พวกเราออกไปก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกครั้ง”
นางพูดพลางก้าวไปข้างหน้าและคว้าแขนของเป่ยถังฉินเกอ พยายามดึงนางขึ้น ทว่าคนยังไม่ทันลงจากเตียงหิน พลังอันแข็งแกร่งก็ต่อต้านอย่างรุนแรง มือของเป่ยถังฉินเกอและซูจิ่นซีสั่นสะเทือน เป่ยถังฉินเกอล้มลงบนเตียง ซูจิ่นซีถอยกลับไปสองก้าว
เยี่ยโยวเหยาคว้าร่างของซูจิ่นซี และโอบไหล่ของนางไว้ได้ทัน
จากนั้น ทุกคนก็พบว่ามือและเท้าของเป่ยถังฉินเกอถูกมัดด้วยแสงสีขาวนวลลึกลับ
“นี่คือสิ่งใด? ” อู๋จุนขมวดคิ้วถาม
เป่ยถังฉินเกอขมวดคิ้วแน่นด้วยสีหน้าเจ็บปวด “พวกท่านอย่าเสียเวลาเลย พวกท่านไม่สามารถแก้เชือกวิเศษชื่อเลี่ยนนี้ได้”
เชือกวิเศษชื่อเลี่ยน
นี่คือสิ่งของประเภทใด?
ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น ตงหลิงหวง และอู๋จุนต่างมองหน้ากัน ยกเว้นสีหน้าที่ไร้อารมณ์ของอวิ๋นจิ่น เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครเคยพบหรือได้ยินของสิ่งนี้มาก่อน
เป่ยถังฉินเกออธิบายว่า “เชือกวิเศษชื่อเลี่ยนสร้างขึ้นจากกระดูกของงูชื่อเลี่ยน และผนึกพลังปีศาจจากขุมนรกไว้มากมาย ไม่มีใครสามารถคลายมันออกได้ ยกเว้นได้รับคำสั่งจากเจ้านายของมัน ยิ่งเจ้ากระตุ้นมันมากเพียงใด มันก็จะยิ่งหดตัวมากขึ้น”
สายตาของซูจิ่นซีหยุดอยู่ที่ข้อมือของเป่ยถังฉินเกอ ซึ่งบนข้อมือของนางปรากฏรอยแผลเป็นมากมาย เห็นได้ชัดว่านางต้องดิ้นรนหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งล้วนได้รับบาดเจ็บจากเชือกวิเศษชื่อเลี่ยนเส้นนี้ นางจึงขมวดคิ้วเครียด
ของสิ่งนี้ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?