หลังจากได้รับเก้าร้อยแต้มจากการเอาชนะเหลียนซวง ฉินอวี้โม่ก็มุ่งหน้าไปยังหอสมบัติในวันต่อมาและแลกสิ่งของที่สนใจจำนวนหนึ่งรวมถึงแก่นวิญญาณเพชรที่หมายตาไว้ก่อนหน้านี้
แก่นวิญญาณเพชรทั้งสองก้อนถูกโยนเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันทีเพื่อให้มารยาและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ช่วยทำการหลอมมัน ส่วนสมบัติอื่น ๆ ก็ถูกเก็บไว้ในแหวนมิติของนาง
นอกจากนี้ ฉินอวี้โม่ก็ได้ใช้สองร้อยแต้มเพื่อแลกทักษะยุทธ์พิเศษของนิกายหมื่นบุปผาและมอบมันให้กับเหมียวเจินเจินและจางซือถง ทักษะยุทธ์ที่ทั้งสองฝึกฝนในปัจจุบันเป็นทักษะวิชาที่อยู่ในระดับธรรมดาทั่วไปและเชื่อว่าทักษะพิเศษของนิกายหมื่นบุปผาจะช่วยพัฒนาฝีมือของพวกนางได้อย่างแน่นอน
หลายวันต่อมาก็ดำเนินไปอย่างสงบและราบรื่น ฉินอวี้โม่และสหายเก็บตัวอยู่ในเรือนของตนเพื่อจดจ่อกับการฝึกวิชาโดยไม่ออกไปที่ใด
ในช่วงเวลาหลายวันนี้ หานโม่ฉือและบรรดาศิษย์นอกก็เข้ามาในหอชั้นในเพื่อพบปะกับฉินอวี้โม่ครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ฉินอวี้โม่ก็กำลังฝึกฝนอยู่ตามปกติเมื่อศิษย์ฝั่งขวาคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ผู้อาวุโสรองต้องการเรียกให้เจ้าไปพบ”
ศิษย์คนนั้นกล่าวอย่างสุภาพและนางมิใช่คนของเหลียนซวง ในทางตรงกันข้าม นางเองก็เคยมีเรื่องบาดหมางกับเหลียนซวงหลายคราและมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันนัก
ก่อนหน้านี้ที่ฉินอวี้โม่เอาชนะเหลียนซวงได้และเป็นการตบหน้าสตรีที่ยโสโอหังผู้นั้นฉาดใหญ่ ศิษย์ฝั่งขวาหลายคนก็นึกชื่นชมฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก ทว่าเป็นเพราะตัวตนในสถานะศิษย์ฝั่งขวาที่ทำให้คนเหล่านั้นไม่สามารถแสดงจุดยืนของตนเองได้อย่างโจ่งแจ้ง
ฉินอวี้โม่ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อทราบว่าผู้อาวุโสรองส่งคนมาเรียกตนไปพบ อย่างไรก็ตาม นางไม่รอช้าและลุกขึ้นเดินตามศิษย์พี่ที่มีนามว่า ‘เซียงยู่’ ไปยังหอผู้อาวุโสอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์น้องอวี้โม่ไม่ต้องกังวลไปล่ะ ผู้อาวุโสรองคงจะเรียกหาเจ้าเพราะเรื่องบางอย่างเท่านั้น มิใช่เพราะต้องการหาเรื่องสร้างปัญหาอะไรให้เจ้าหรอก”
เซียงยู่อดที่จะกล่าวออกมาไม่ได้ แม้จะไม่เห็นสีหน้าท่าทางเป็นกังวลของฉินอวี้โม่ก็ตาม
“ขอบคุณศิษย์พี่สำหรับการชี้แจงเจ้าค่ะ”
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่คิดเช่นนั้น นางมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับฝั่งขวานักและการเอาชนะเหลียนซวงก็เท่ากับเป็นการตบหน้าฝั่งขวาอย่างจัง หากฮวาหรงและผู้อาวุโสทั้งสองยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ ก็คงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้าคงจะไม่รู้ว่าศิษย์ฝั่งขวาของเราก็ชื่นชอบเจ้าอยู่เป็นจำนวนมาก”
เวลานี้บนทางเดินมีผู้คนไม่มากนัก เซียงยู่ซึ่งเป็นสตรีที่ตรงไปตรงมาจึงชวนฉินอวี้โม่พูดคุยอย่างกระตือรือร้น
“จริงหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบพลางกล่าวอย่างไม่มั่นใจ นางคิดมาตลอดว่าศิษย์ฝั่งขวาคงไม่ชอบหน้าตนเท่าใดนัก
“ใช่ ศิษย์น้องอวี้โม่ทั้งงดงาม แข็งแกร่งและเป็นมิตร ไม่เหมือนกับเหลียนซวงที่มักวางท่าสูงส่งและไม่เห็นหัวผู้ใดอยู่ในสายตา การที่เจ้าเอาชนะเหลียนซวงได้อย่างราบคาบและสั่งสอนบทเรียนให้กับนาง นั่นก็ทำให้พวกเราหลายคนมีความสุขมากเลยล่ะ ทว่าอย่างที่เจ้าก็ทราบดี ความสัมพันธ์ระหว่างฝั่งซ้ายและฝั่งขวาทำให้เราต้องสงวนท่าทีไว้และไม่สามารถแสดงความคิดที่แท้จริงออกไปอย่างเปิดเผยได้”
สิ่งที่เซียวยู่กล่าวมาเป็นความจริงทุกประการ ศิษย์ฝั่งขวามิใช่เป็นคนจิตใจมุ่งร้ายเหมือนบรรดาผู้อาวุโสและคณะศิษย์ของเหลียนซวง แท้ที่จริงพวกนางก็ล้วนหวังให้บรรดาศิษย์ในนิกายใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขและพัฒนาก้าวหน้าไปด้วยกัน
นอกเหนือจากศิษย์เพียงไม่กี่คน ศิษย์ส่วนใหญ่ก็พยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างลับ ๆ
ชื่อเสียงความนิยมของฉินอวี้โม่ในปัจจุบันไม่เพียงแต่อยู่ในระดับที่สูงในฝั่งซ้ายเท่านั้น ทว่าในบรรดาศิษย์ฝั่งขวา ความนิยมของนางก็อยู่ในระดับที่สูงด้วยเช่นกัน
ศิษย์ฝั่งขวาหลายคนชื่นชมฉินอวี้โม่อย่างมากและต้องการที่จะผูกมิตรกับนาง
อย่างไรก็ตาม เหลียนซวงเกลียดชังฉินอวี้โม่จนเข้ากระดูกดำและฉินอวี้โม่ยังมีรูปลักษณ์ที่งดงามดุจเทพธิดา หากศิษย์ฝั่งขวาแสดงออกถึงความชื่นชมที่มีต่อฉินอวี้โม่อย่างเปิดเผย พวกนางจะถูกกดขี่ข่มเหงอย่างแน่นอนและการใช้ชีวิตในฝั่งขวาต่อไปก็คงจะยากลำบาก
“ฝากขอบคุณศิษย์พี่ทุกคนสำหรับความชื่นชมด้วยเจ้าค่ะ เพียงแต่…ข้ายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดสถานการณ์ของนิกายหมื่นบุปผาจึงเป็นเช่นทุกวันนี้ได้ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเอ่ยถามสิ่งที่สงสัย
ในเมื่อนิกายหมื่นบุปผาแบ่งออกเป็นสองฝั่งซึ่งมีผู้คุมกฎสองคนและทั้งสองไม่สามารถแย่งชิงตำแหน่งจ้าวนิกายกันได้ ทั้งสองก็ไม่น่าจะมีความบาดหมางกันเช่นนี้
ก่อนหน้านี้นางก็เคยสอบถามสี่ยอดสตรีงามของนิกายมาแล้ว ทว่าทั้งสี่กลับไม่ให้คำตอบที่ต้องการและกล่าวเพียงว่าฉินอวี้โม่ควรเพิกเฉยมันไปเพราะไม่ต้องการให้นางต้องได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
“ชู่~”
เซียงยู่ทำท่าทางส่งสัญญาณให้ฉินอวี้โม่เบาเสียงลงในขณะที่สีหน้าของตนแสดงถึงความลึกลับซ่อนเงื่อนไม่น้อย
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ข้าเคยบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างผู้คุมกฎฝั่งขวาและผู้อาวุโสทั้งสองจึงพอจะทราบเกี่ยวกับมันมาบ้าง จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังไม่กล้าบอกผู้ใดมาก่อน แต่ในเมื่อเจ้าถามเช่นนี้ ข้าก็จะบอกเจ้าในสิ่งที่ข้ารู้มา”
เรื่องนี้ถือเป็นความลับของนิกายหมื่นบุปผาซึ่งศิษย์ส่วนใหญ่ไม่ทราบเกี่ยวกับมันและไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามด้วยซ้ำ
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้าคิดว่าเหลียนซวงหมายหัวเจ้าเพราะอะไร ?”
เซียงยู่ตั้งคำถามขึ้นมาและมองฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้ม
“เพราะความริษยา…เป็นเพราะข้างดงามกว่านางและมีพรสวรรค์มากกว่า”
ฉินอวี้โม่เผยสีหน้าที่จริงจังออกมาและเปิดเผยความคิดที่อยู่ภายในใจ
“พรืดดด ! เจ้ากล้ากล่าวเช่นนี้โดยที่ไม่อายปากได้อย่างไร ทว่ามันก็เป็นจริงตามนั้น”
เซียงยู่ถึงกับหัวเราะพรืดและยกนิ้วให้กับฉินอวี้โม่อย่างเห็นด้วย
“เหลียนซวงมักคิดว่าตนเองสูงส่งและชิงชังทุกคนที่ดีกว่าตน ศิษย์น้องอวี้โม่เหนือกว่านางทั้งด้านรูปลักษณ์และเสน่ห์ติดตัว เป็นธรรมดาที่นางจะริษยาจนแทบอยู่ไม่ติด กอปรกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝั่งที่ไม่ถูกกันเท่าใดนัก นางจึงพยายามหาเรื่องเจ้าทุกครั้งที่สบโอกาส…ซึ่งผู้คุมกฎฝั่งขวาของเราก็มีความคิดเป็นแบบเดียวกัน”
ในอดีตครานั้นฮวาหรงและฮวาเยว่เข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาพร้อมกัน
ฮวาหรงเป็นคนเย่อหยิ่งมาตั้งแต่ต้นและมั่นใจว่าตนเองเหนือกว่าศิษย์ทุกคนในรุ่นนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าฮวาเยว่จะขโมยความโดดเด่นทั้งหมดและบดบังรัศมีของนาง
ฮวาหรงก็ไม่พอใจและคับแค้นใจอย่างที่สุด นางจึงพยายามหาทางสร้างปัญหาให้กับฮวาเยว่อยู่เสมอ
หลังจากนั้น ทั้งสองก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้คุมกฎของทั้งสองฝั่งซึ่งถือครองอำนาจของตนเอง ในตอนนั้นเองที่ทั้งสองเริ่มประจันหน้ากันอย่างจริงจัง
อันที่จริง ทั้งสองฝั่งของนิกายก็ไม่มีความขัดแย้งกันมากนักและเป็นเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของฮวาหรงเท่านั้นที่ส่งผลให้สถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นทุกวันนี้
“ยิ่งไปกว่านั้น หลักแนวคิดของผู้คุมกฎฝั่งซ้ายและผู้คุมกฎฝั่งขวาก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นธรรมดาที่จะดำเนินไปในทิศทางเดียวกันไม่ได้ ผู้คุมกฎฝั่งซ้ายมักที่จะยึดมั่นในความชอบธรรมและความตรงไปตรงมา ในขณะที่ผู้คุมกฎฝั่งขวาทั้งเจ้าเล่ห์และมีจิตใจริษยาอยู่ตลอด”
เซียวยู่กล่าวต่ออย่างไม่ปิดบัง แม้คนที่กล่าวถึงจะเป็นผู้คุมกฎของตนก็ตาม
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เซียวยู่ผู้นี้มีลักษณะนิสัยที่น่าพึงพอใจอย่างแท้จริงและคู่ควรแก่การผูกมิตรไว้
“แล้วเหตุใดศิษย์พี่เซียงยู่จึงเข้าร่วมกับฝั่งขวาตั้งแต่แรกรึเจ้าคะ ?”
ในเมื่อศิษย์ฝั่งขวาหลายคนดูจะไม่เต็มใจอยู่ร่วมกับฝั่งขวานัก ฉินอวี้โม่จึงอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้
“เป็นเพราะตอนนั้นข้ายังเด็กเกินไปและหลงเชื่อวาจาหลอกลวงของฮวาหรง อีกอย่าง…ตอนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก ข้าก็ยังไม่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากนักจึงเลือกเข้าร่วมกับฝั่งขวาอย่างโง่เขลา ไม่เช่นนั้นต่อให้ตาย ข้าก็คงไม่เลือกเข้าร่วมกับฝั่งขวาหรอก”
เซียวยู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และทำให้ฉินอวี้โม่แอบหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ศิษย์ฝั่งขวาส่วนใหญ่เป็นคนดี ทว่าขี้หนูเพียงก้อนเดียวก็ทำให้ข้าวต้มทั้งหม้อเสียไปได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดจริง ๆ !”
* 一颗老鼠屎,坏了一锅粥 แปลว่า ขี้หนูเพียงก้อนเดียว ทำให้ข้าวต้มทั้งหม้อเสียไป เทียบกับสำนวนไทยก็คือ ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง
สีหน้าของเซียวยู่แสดงความไม่สบอารมณ์และพยายามจะสื่อความหมายบางอย่าง
“ศิษย์พี่อธิบายจนเห็นภาพเลยเจ้าค่ะ !”
ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มและสะท้อนคำพูดของเซียวยู่ด้วยสีหน้าที่จริงจัง
เซียวยู่มองสีหน้าท่าทางจริงจังของฉินอวี้โม่และหัวเราะเบา ๆ
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่ในนั้น ทั้งสองก็มาถึงตรงหน้าหอผู้อาวุโส
แม้ผู้อาวุโสทั้งสี่จะไม่ปรองดองกันนัก พวกนางก็พักอาศัยอยู่ในลานเดียวกันและในลานที่พวกนางอาศัยอยู่ก็จะมีโถงขนาดใหญ่ที่ถูกเรียกว่า ‘หอผู้อาวุโส’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่บรรดาผู้อาวุโสจะปรึกษาหารือเรื่องต่าง ๆ และมอบหมายภารกิจทั่ว ๆ ไป
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้าเข้าไปข้างในได้เลย ข้าต้องขอตัวก่อน”
เซียวยู่แตะมือฉินอวี้โม่เบา ๆ และหันหลังเพื่อเดินจากไป
ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะและก้าวเข้าไปข้างในหอผู้อาวุโส ทว่านางก็แอบนึกสงสัยอยู่ในใจว่าผู้อาวุโสรองต้องการเรียกตนมาเพื่อธุระอันใดกันแน่