บทที่ 524.1 พบเจอเจียวหลงบนบกริมตลิ่งลำคลองใหญ่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ภูมิประเทศของแคว้นเป่ยเยี่ยนราบเรียบ หลังจากที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็ขยันขันแข็งในการปกครองบ้านเมือง อีกทั้งยังมีสถานที่เลี้ยงม้าอยู่สองแห่ง จึงเป็นเหตุให้พลังการต่อสู้ของกองทัพม้าเหนือกว่าแคว้นจิ่งหนันและแคว้นอู่หลิงอยู่มาก ขยับขึ้นไปเหนืออีกนิดก็คือแคว้นลวี่อิงที่นับแต่โบราณมาก็มีเรื่องเล่าของเซียนแพร่หลายมากมาย ในบทประพันธ์และนิยายเรื่องเล่าแปลกประหลาดส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวพันกับภูตน้ำและเจียวหลง

สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมใบหน้า อีกทั้งยังมีชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่สวมใส่ไว้บนร่าง แม้ว่าจะเป็นช่วงที่อากาศร้อนแผดเผา ดวงตะวันส่องแสงแรงกล้า แต่ยามขี่ม้าเดินทางเวลากลางวันก็ยังคงไม่เป็นปัญหามากนัก กลับกันกลายเป็นว่าคนต้องคอยดูแลม้ามากกว่า

วันนี้คนทั้งสองหยุดม้าอยู่ใต้ร่มไม้ริมตลิ่ง น้ำในลำคลองใสกระจ่าง รอบด้านไร้ผู้คน นางจึงปลดหมวกคลุมหน้าลง ถอดรองเท้าถุงเท้า เมื่อเอาเท้าทั้งสองจุ่มเข้าไปในน้ำ นางก็พรูลมหายใจออกมายาวๆ

ผู้อาวุโสนั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล เขาหยิบพัดพับไผ่หยกเล่มหนึ่งออกมา แต่กลับไม่ได้โบกพัดเอาลมเย็นเข้าใส่ตัว เพียงแค่คลี่หน้าพัดแล้วโบกเบาๆ ด้านบนมีตัวอักษรเหมือนจอกแหนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ผู้อาวุโสเล่าให้ฟังว่าเป็นตัวอักษรตระกูลเซียนที่ดึงมาจากเรือยันต์วิเศษลำหนึ่งของจวนบนภูเขาที่มีชื่อว่าสวนน้ำค้างวสันต์

อันที่จริงสุยจิ่งเฉิงค่อนข้างเป็นกังวลกับอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโส ไหล่ข้างซ้ายถูกธนูที่แข็งแกร่งของผู้ฝึกตนลูกหนึ่งแทงทะลุจนเป็นรู แล้วยังถูกค่ายกลยันต์รัดพันร่าง สุยจิ่งเฉิงไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เหตุใดผู้อาวุโสถึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ได้ ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ ผู้อาวุโสเพียงแค่นวดคลึงมือข้างขวาบ่อยๆ เท่านั้น

สุยจิ่งเฉิงหันหน้ามาถาม “ผู้อาวุโส เป็นนักฆ่าที่อาจารย์ของเฉาฟู่และตำหนักเกล็ดทองส่งตัวมาหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บอกได้แค่ว่านี่คือความเป็นไปได้ที่ใหญ่ที่สุด ลักษณะพิเศษของนักฆ่ากลุ่มนั้นบอกให้รู้อย่างชัดเจนว่ามาจากพรรคของผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป แม้จะเรียกว่าพรรค แต่นอกเหนือจากชื่อว่าภูเขาเกอลู่แล้ว กลับไม่มีภูเขาที่เป็นรากฐานที่ตั้งอย่างแท้จริง นักฆ่าทุกคนล้วนถูกเรียกขานว่าคนไร้หน้า ผู้ฝึกตนของสามลัทธิเก้าสาขาร้อยสำนักล้วนสามารถเข้าร่วมได้ แต่ได้ยินมาว่ามีกฎเกณฑ์ค่อนข้างมาก จะเข้าร่วมอย่างไร จะฆ่าคนอย่างไร รับเงินมากน้อยเท่าไร ล้วนมีกฎเกณฑ์”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ภูเขาเกอลู่ยังมีกฎที่ใหญ่ที่สุดอยู่อีกข้อหนึ่ง รับเงินมา ส่งนักฆ่าไปลงมือ จะฆ่าแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่สำเร็จก็จะรับเงินค่ามัดจำแค่ครึ่งเดียว ไม่ว่าคนจะบาดเจ็บล้มตายไปมากแค่ไหนก็ตาม เงินอีกครึ่งที่เหลือก็จะไม่มีทางไปทวงจากผู้จ้าง และหลังจากจบเรื่องแล้ว ภูเขาเกอลู่ก็จะไม่มีทางลงมือกับคนที่นักฆ่าลอบสังหารแล้วไม่สำเร็จก ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดตอนนี้พวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าภูเขาเกอลู่จะมาลอบโจมตี”

สุยจิ่งเฉิงถอนหายใจหนึ่งครั้ง พูดอย่างเสียใจและรู้สึกผิดว่า “จะว่าไปแล้วก็ยังคงเป็นเพราะข้าอยู่ดี”

อย่าเห็นว่าตลอดทางมานี้ผู้อาวุโสมีท่าทีผ่อนคลายสบายๆ แต่สุยจิ่งเฉิงที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมกลับรู้ดีว่าการลอบฆ่าคราวนั้น ผู้อาวุโสรับมือได้ไม่ง่ายนัก

เฉินผิงอันหุบพัด พูดเนิบช้าว่า “บนเส้นทางของการฝึกตน โชคและเคราะห์มักมาพร้อมกันเสมอ ผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ล้วนทนทรมานผ่านพ้นกันมาเช่นนี้ อุปสรรคอาจมีเล็กมีใหญ่ แต่ความเล็กใหญ่ของเรื่องทุกข์ยากแต่ละครั้งจะแตกต่างกันไปตามบุคคล ข้าเคยเจอคู่รักบนภูเขาที่เป็นห้าขอบเขตล่างคู่หนึ่ง ผู้ฝึกตนหญิงไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดได้เสียทีเพียงเพราะขาดเงินเกล็ดหิมะไม่กี่ร้อยเหรียญ หากยังถ่วงเวลาล่าช้าต่อไป เรื่องดีก็จะกลายเป็นเรื่องร้าย และยังอาจเป็นภัยที่อันตรายถึงชีวิต คนทั้งสองจึงได้แต่เสี่ยงอันตรายเข้าไปในชายหาดโครงกระดูกทางทิศใต้เพื่อเอาชีวิตไปเดิมพันกับทรัพย์สินเงินทอง ตลอดเส้นทางนั้นสองสามีภรรยาต้องได้รับความทุกข์ทรมานทางจิตใจ เจ้าว่าพวกเขาไม่ลำบากหรือ? ไม่เพียงแต่ใช่ ยังเป็นความลำบากที่ไม่เล็กอีกด้วย ไม่ได้ผ่อนคลายไปกว่าตลอดทางที่เจ้าเดินทางมานับตั้งแต่ในศาลานั้นเลย”

สุยจิ่งเฉิงหัวเราะทันใด “ผู้อาวุโสไปเจอพวกเขาโดยบังเอิญก็เลยช่วยพวกเขาใช่ไหม?”

เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร

สุยจิ่งเฉิงรู้คำตอบได้ทันที

เฉินผิงอันใช้พัดพับชี้ไปที่สุยจิ่งเฉิง

นางยิ้มอย่างเข้าใจ ขยับขานั่งขัดสมาธิ หลับตาลง สงบจิตใจแล้วเริ่มเข้าฌานทำสมาธิ ฝึกตนตามคาถาวิชาเซียนที่บันทึกอยู่ใน ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มนั้น

ยามที่ผู้ฝึกตนเข้าฌานทำสมาธิ บริเวณรอบด้านจะมีริ้วคลื่นลมปราณกระเพื่อมอย่างแผ่วเบา ยุงและแมลงไม่อาจเข้าใกล้ สามารถต้านทานไอร้อนและความหนาวได้ด้วยตัวเอง

แม้ว่าสุยจิ่งเฉิงจะยังฝึกตนได้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็พอจะมีเค้าโครงของภาพบรรยากาศเหล่านั้นแล้ว นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ก็เหมือนกับปีนั้นที่เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขาอยู่ในเมืองเล็ก ถึงแม้ว่าท่าหมัดจะยังไม่มั่นคง แต่ปณิธานหมัดกลับไหลรินไปทั่วร่าง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นผู้ปกป้องมรรคาของหม่าขู่เสวียนที่มาจากภูเขาเจินอู่ผู้นั้นที่มองออกในปราดเดียว ดังนั้นจึงบอกว่าพรสวรรค์ของสุยจิ่งเฉิงดีมากจริงๆ เพียงแต่ไม่ทราบว่าเหตุใดพอยอดฝีมือที่เดินทางผ่านมาในปีนั้นมอบของสามชิ้นให้นางแล้วก็เงียบหายไปเลย ไม่มีข่าวคราวมาตลอดสามสิบกว่าปี และเห็นได้ชัดว่าปีนี้สุยจิ่งเฉิงต้องพบเจอกับหายนะใหญ่บนเส้นทางการฝึกตน ตามหลักแล้วยอดฝีมือคนนั้นที่ต่อให้จะอยู่ไกลไปเป็นพันเป็นหมื่นลี้ แต่ก็น่าจะยังรับสัมผัสถึงความลี้ลับมหัศจรรย์นี้ได้บ้าง

เกี่ยวกับรูปโฉมและน้ำเสียงของยอดฝีมือคนนั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาด ตัวเขาเองก็คล้ายคลึงกับสมุดเล่มเล็กที่สุยจิ่งเฉิงสามารถมองเห็นแต่ไม่อาจอ่านได้ออก ไม่อย่างนั้นลมปราณก็จะยุ่งเหยิงวุ่นวาย หัวสมองมึนงงดวงตาพร่าเลือน

เมื่อหลายปีก่อนสุยจิ่งเฉิงเคยสอบถามคนเฒ่าคนแก่ในจวน พวกเขาต่างก็บอกว่าจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว แม้แต่สุยซินอวี่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่เล่าเรียนมาตั้งแต่เด็ก เวลาเห็นอะไรผ่านตาแล้วไม่เคยลืมก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น

เฉินผิงอันรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่เวทอำพรางตาบนภูเขาทั่วไปแล้ว

หลังจากสุยจิ่งเฉิงลืมตาขึ้น เวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม มีแสงรัศมีเรืองรองไหลวนอยู่ทั่วร่าง ชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ก็มีปราณวิญญาณเอ่อล้นออกมา ประกายแสงสองขุมจึงช่วยขับดันกันและกันให้โดดเด่น ประหนึ่งน้ำและไฟที่ผสานเข้าด้วยกัน เพียงแต่ว่าคนธรรมดาจะมองเห็นเป็นเพียงความพร่าเลือน แต่เฉินผิงอันกลับสามารถมองเห็นได้มากกว่านั้น เมื่อสุยจิ่งเฉิงหยุดการโคจรลมปราณ ภาพเหตุการณ์ประหลาดบนร่างก็หายวับไปในทันใด เห็นได้ชัดว่าชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ตัวนั้นเป็นสิ่งที่ยอดฝีมือตั้งใจคัดสรรมาให้นาง ทำให้การฝึกวิชาเซียนที่บันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กของสุยจิ่งเฉิงสามารถเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ์เท่าตัว เรียกได้ว่าเขาเองก็ตั้งใจและหวังดีต่อนางมากจริงๆ

ภาพปรากฎการณ์สูงส่งยาวไกล แสงสว่างเจิดจ้าพร่าตา

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีความคิดโน้มเอียงไปในทางที่ว่ายอดฝีมือคนนั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อสุยจิ่งเฉิง

เพียงแต่ว่าก็ยังต้องดูกันไปทีละก้าว เพราะถึงอย่างไรบนเส้นทางการฝึกตน ระมัดระวังหนึ่งหมื่นเรื่อง ทว่าทุกเรื่องที่ทำมาก็อาจจะเสียเปล่าเพียงเพราะการไม่ระวังเพียงเรื่องเดียว

คนทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่ได้จงใจอำพรางร่องรอย กลับกันยังทิ้งเบาะแสมาตลอดทาง ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ในเมืองเล็กของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว หากเดินทางกันไปเช่นนี้จนไปถึงแคว้นลวี่อิงแล้วยอดฝีมือท่านนั้นยังไม่ปรากฏตัว เฉินผิงอันก็ได้แต่ส่งสุยจิ่งเฉิงขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนไปยังสำนักพีหมาที่อยู่บนชายหาดโครงกระดูก แล้วค่อยให้นางเดินทางไปยังท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวของแจกันสมบัติทวีป อิงตามความต้องการของสุยจิ่งเฉิงเอง ให้นางไปเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของชุยตงซาน ติดตามชุยตงซานฝึกตน เชื่อว่าภายหลังหากมีวาสนาต่อกันจริงๆ สุยจิ่งเฉิงย่อมต้องได้พบเจอกับยอดฝีมือคนนั้นและสืบสานวาสนาอาจารย์และศิษย์ต่อกันอีกครั้งอย่างแน่นอน

เมื่อไปถึงท่าเรือแคว้นลวี่อิงที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นบอกที่อยู่มาให้ ตอนนี้สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการมากที่สุดก็คือข่าวข่าวหนึ่ง นั่นคือความเคลื่อนไหวของเจียวน้ำแม่น้ำอวี้ซีในเมืองหลวงต้าจ้วน

จีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำรามจะได้ประมือกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนนั้นหรือยัง?

สุยจิ่งเฉิงสวมรองเท้าเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นยืน แหงนหน้ามองสีท้องฟ้า ก่อนหน้านี้ดวงอาทิตย์ยังลอยสูงอยู่กลางนภา ไอร้อนแผดเผาลอยกรุ่นอบอวล เวลานี้กลับมีเมฆดำทะมึนมารวมตัวกันหนาแน่น มีลางว่าจะเกิดพายุฝนฟ้ากระหน่ำ

เฉินผิงอันเดินนำไปยังจุดผูกม้าก่อนแล้ว เขาเอ่ยเตือนว่า “ออกเดินทางกันต่อ อย่างมากที่สุดอีกหนึ่งก้านธูปฝนก็จะตกแล้ว เจ้าสามารถสวมเสื้อกันฝนไว้ได้เลย”

สุยจิ่งเฉิงวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา ยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโสสามารถพยากรณ์สภาพอากาศได้ล่วงหน้าหรือ? ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในศาลา ผู้อาวุโสก็คำนวณถึงเวลาที่ฝนจะหยุดตกได้อย่างแม่นยำ ท่านพ่อข้าบอกว่ามีเพียงยอดฝีมือของกองโหราศาสตร์แคว้นอู่หลิงเท่านั้นที่ถึงจะมีความสามารถเช่นนี้”

เฉินผิงอันสวมงอบเรียบร้อยแล้วก็สวมเสื้อคลุมฝน หลังจากพลิกตัวขึ้นหลังม้าก็เอ่ยว่า “อยากจะเรียนวิชาอภินิหารนี้หรือไม่?”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ “แน่นอน!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าก็ต้องลงไปทำนาทำไร่สักสิบกว่าปี วันทั้งวันต้องคอยขอข้าวจากสวรรค์กิน ย่อมเรียนรู้จนเป็นวิชาการสังเกตสภาพอากาศอย่างแน่นอน”

สุยจิ่งเฉิงไร้คำพูดตอบโต้

อันที่จริงเฉินผิงอันตอบคำถามไปแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ฝึกยุทธของเขา ผู้ฝึกยุทธสามารถรับสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ มากมายในฟ้าดิน ยกตัวอย่างเช่นลมเย็นพัดใบไม้ แมลงวันกระพือปีก กบกระโดดแตะผิวน้ำ สิ่งเหล่านี้เมื่อดังเข้าหูของเฉินผิงอันล้วนเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่เล็ก แต่จะให้เขาเปิดเผยเจตจำนงสวรรค์กับผู้ฝึกตนอย่างสุยจิ่งเฉิงก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ

ฝนกระหน่ำตกลงมาราวกับมาตามเวลานัดหมาย

ม้าทั้งสองตัวเคลื่อนหน้าไปช้าๆ พวกเขาไม่ได้จงใจหลบฝน เกี่ยวกับการโดนลมพัดแดดเผาฝนตกใส่ตลอดการเดินทางขึ้นเหนือนี้ สุยจิ่งเฉิงไม่เคยมีคำถามหรือคำโอดครวญใดๆ ผลกลับกลายเป็นว่าเพียงไม่นานนางก็สัมผัสได้ว่านี่ก็เป็นการฝึกตนเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันกับที่ต้องกระเด้งกระดอนอยู่บนหลังม้า ตนยังสามารถหาช่วงเวลาเหมาะๆ ในการเข้าฌานทำสมาธิได้ ต่อให้จะอยู่ท่ามกลางพายุฝนที่ตกกระหน่ำ เส้นสายตาก็ยังคงมองเห็นอย่างชัดเจน ช่วงเวลาที่อากาศร้อนระอุก็ยังถึงขั้นมองเห็นการไหลเวียนของ ‘กระแสน้ำ’ ที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางไอหมอกขมุกขมัวได้ ผู้อาวุโสบอกว่านั่นคือปราณวิญญาณฟ้าดิน ดังนั้นสุยจิ่งเฉิงจะมักขี่ม้าวนไปวนมา พยายามที่จะไล่จับเส้นสายของปราณวิญญาณที่พุ่งวูบวาบเหล่านั้น แน่นอนว่านางคว้าไว้ไม่อยู่ แต่ชุดคลุมเสื้อไผ่บนร่างตัวนั้นกลับสามารถดูดซับพวกมันเข้ามาไว้ภายในได้

ฝนแรงยากที่จะตกได้นาน มาอย่างรีบร้อนก็จากไปอย่างรีบร้อนเช่นเดียวกัน

คนทั้งสองปลดเสื้อกันฝนลงแล้วออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง

ก่อนจะถึงช่วงห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล ม้าสองตัวก็มาหยุดพักเท้าที่เมืองเร่าสุ่ย เพราะตอนบนของลำคลองมีศาลเทพวารีแห่งหนึ่งตั้งอยู่ นี่ยังไม่ใช่เหตุผลที่คู่ควรแก่การไปเยือนมากที่สุด สาเหตุหลักยังเป็นเพราะน้ำและภูเขาอิงแอบกัน ลำคลองมีชื่อว่าลำคลองเหย่าหมิง ภูเขามีชื่อว่าเอ๋อเอ๋อ ศาลเทพภูเขาและแม่น้ำอยู่ห่างกันไม่ไกล ไม่ถึงสามลี้ ผู้อาวุโสบอกว่านี่เป็นภาพเหตุการณ์ที่เห็นได้ยาก ต้องลองแวะไปดูสักหน่อย อันที่จริงสุยจิ่งเฉิงไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร เหตุใดผู้อาวุโสถึงได้ชอบไปเที่ยวสถานที่โบราณเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงนัก แต่ก็กลัวว่าจะมีความพิถีพิถันของบนภูเขาซุกซ่อนอยู่ จึงได้แต่เก็บคำถามนี้ไว้ในใจ

ในหมู่ชาวบ้านของแคว้นเป่ยเยี่ยนนิยมการแข่งจิ้งหรีด

ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะชอบออกจากเมืองไปยังป่าชานเมืองเพื่อจับจิ้งหรีดแล้วนำมาขายแลกเงิน บทกลอนและบทกวีของปัญญาชนที่แต่งเกี่ยวกับจิ้งหรีดก็จะได้รับความนิยมเป็นที่แพร่หลายมากเป็นพิเศษในแคว้นเป่ยเยี่ยน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคม แอบแฝงไว้ด้วยการเย้ยหยัน เพียงแต่ว่าความกังวลของปัญญาชนในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็มีเพียงใช้บทกวีในการคลายทุกข์เท่านั้น ทว่าเรือนโอ่อ่าของขุนนางชนชั้นสูงและบ้านหลังเล็กแคบในหมู่ชาวบ้านต่างก็ยังคงเพลิดเพลินไปกับความนิยมนี้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เสียงจิ้งหรีดจึงร้องดังระงมก้องไปทั่วราชสำนักของแคว้น

ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่ม้าทั้งสองตัวขี่เข้าเมืองจึงเห็นว่าคนที่ออกจากเมืองมีเยอะกว่าคนที่เข้าเมืองมากนัก ทุกคนต่างก็หิ้วกรงจิ้งหรีดหลากสี นี่ก็เป็นเรื่องประหลาดที่ไม่เล็กเรื่องหนึ่งเช่นกัน

โรงเตี๊ยมกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นจากการปรับเปลี่ยนจุดพักม้าขนาดใหญ่ที่ถูกรื้อถอนแห่งหนึ่ง เจ้าของโรงเตี๊ยมคนปัจจุบันคือลูกหลานชนชั้นสูงของเมืองหลวงคนหนึ่ง เขาซื้อมันมาในราคาถูก หลังจากทุ่มเงินก้อนใหญ่ในการซ่อมแซมแล้ว กิจการก็เจริญรุ่งเรือง นี่จึงเป็นเหตุให้บนกำแพงมีผลงานของปัญญาชนทิ้งไว้มากมาย ภายหลังยังมีการสร้างบ่อน้ำที่รอบด้านคือป่าไผ่เขียวขจี

ตอนกลางคืนเฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง ไปเดินเล่นอยู่บนทางเส้นเล็กริมบ่อน้ำที่มีต้นหยางต้นหลิวขึ้นเรียงราย รอจนเขาย้อนกลับมาฝึกวิชาหมัดที่ห้อง สุยจิ่งฉิงที่สวมหมวกบนศีรษะก็มายืนอยู่บนทางเส้นเล็กแล้ว เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “ปัญหาไม่ใหญ่ เจ้าไปเดินเล่นคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ หลังจากมองส่งผู้อาวุโสจากไปแล้ว ตัวนางเองไปเดินเล่นรอบหนึ่งก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง

เฉินผิงอันฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวต่อ เขาโคจรวิชาปราณกระบี่สิบแปดหยุด เพียงแต่ว่ายังคงไม่สามารถฝ่าคอขวดสุดท้ายนั่นไปได้

บางครั้งเฉินผิงอันก็จะคิดไปส่งเดช พรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ของตน แย่ขนาดนี้เชียวหรือ?

ปีนั้นหลังจากข้ามผ่านภูเขาห้อยหัวไป เหล่าคนหนุ่มสาวผู้มีพรสวรรค์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่คล้ายว่าจะสามารถจับแก่นแท้ของปราณกระบี่สิบแปดหยุดได้อย่างรวดเร็ว

แต่เฉินผิงอันก็มีเหตุผลปลอบใจตัวเอง ในบรรดาช่องโพรงลมปราณที่สำคัญซึ่งสิบแปดหยุดต้องผ่านไปก็มี ‘ปราณกระบี่ขนาดเล็กจ้อย’ สามกลุ่มพักพิงอยู่ นี่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่มาก คอขวดสุดท้ายจึงอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งที่ถูกสกัดขวางนั่น ทุกครั้งที่ผ่านด่านนี้ ลมปราณถึงได้หยุดชะงักไม่เดินหน้า

—–