บทที่ 1656 เรื่องน่าเสียดายในชีวิตเหมียวอี้

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ในสายตาเหมียวอี้ ในตอนนี้นางไม่ต่างอะไรกับโครงกระดูกที่งดงาม จะยังมาสนใจความสวยของนางได้อย่างไร เขากังวลมากกว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?

สุดท้ายทั้งสองก็ยืนอยู่ตรงข้ามกัน สบตากันครู่หนึ่ง แล้วเม่ยจีก็ยื่นมือไปคว้าข้อมือข้างหนึ่งของเหมียวอี้อย่างช้าๆ

เหมียวอี้ตะลึงงัน หดมือกลับมาโดยจิตใต้สำนึก ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย เขาจึงออกแรงดึง แต่กลับดึงไม่ออก จึงถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “พระโพธิสัตว์มีเจตนาอะไร?”

เม่ยจีหยิบระฆังดาราอันนั้นขึ้นมาจากมือเหมียวอี้ หิ้วมาไว้ตรงหน้าทั้งสอง บุ้ยปากไปทางระฆังดาราของเหมียวอี้ พร้อมถามด้วยรอยยิ้มเย้ายวน “ทำไมล่ะ? กลัวอาตมาเหรอ?”

“ไม่ใช่ว่ากลัว แต่ชายหญิงมีความแตกต่างกัน” เหมียวอี้ตอบ

เม่ยจีจึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูป ยิ่งไปกว่านั้น สำนักหลัวช่าก็ฝึกบำเพ็ญโดยการเสพสังวาส ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องระหว่างชายหญิง ขอเพียงพอใจ ยิ่งทำมากก็ยิ่งดี หากนายท่านหนิวสามารถทำให้ศิษย์ของอาตมามีความสำราญได้ เจ้าก็เลือกศิษย์ของอาตมาไปทำเรื่องสำราญด้วยกันได้ตามใจชอบเลย รวมทั้งอาตมาด้วย” นางเผยอปากพ่นลมหายใจหอมใส่หน้าเหมียวอี้ พอพูดจบก็คลายนิ้วทั้งห้า ปล่อยข้อมือเหมียวอี้ออก แล้วถือโอกาสใช้นิ้วปลุกปลั่น ลูบไล้บนใบหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้ยังมีสีหน้าเรียบเฉย ในขณะนี้เวลานี้ ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะยั่วยวนขนาดไหน แต่เขาก็ไม่สนใจอยู่ดี เขาเอนศีรษะไปข้างหลัง ก้าวถอยไปข้างหลังเพื่อหลบคู่ต่อสู้ แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ตึงนิ่ง “ไม่ทราบว่าพระโพธิสัตว์เรียกข้ามาด้วยธุระอะไร ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว หนิวยังมีงานต้องทำอีก”

“กลัวอะไรกันล่ะ กังวลว่าอาตมาจะกินเจ้าจริงๆ น่ะเหรอ?” เม่ยจีทำสีหน้าหยอกเย้า

“พระโพธิสัตว์พูดติดตลกแล้ว หนิวไม่คุ้นชินกับกรล้อเล่นอย่างนี้ ขอตัวลา!” พอกุมหมัดคารวะแล้ว เหมียวอี้ก็หันตัวเดินออกมาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

เม่ยจีมองแผ่นหลังของเขาพลางหัวเราะ “เจ้ามาสืบไม่ใช่เหรอว่าพระอรหันต์ตัวลี่ถูกจับหรือยัง?”

เหมียวอี้หยุดฝีเท้า แล้วพึมพำในใจว่า อย่าบอกนะว่าพระอรหันต์ตัวลี่นั่นถูกจับแล้วจริงๆ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ยุ่งยากนิดหน่อย เขาหันตัวมาช้าๆ แล้วถามว่า “พระโพธิสัตว์หมายความว่า ได้ข่าวของพระอรหันต์ตัวลี่แล้วเหรอ?”

เม่ยจีก้าวเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ “ตอนนี้ยังไม่ถูกจับ ทางจี้คงทนตอบคำถามนายท่านซ้ำไปซ้ำมาไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าถูกจับเมื่อไร อาตมาจะติดต่อนายท่านหนิวมาทันที”

“ขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่เตือน” เหมียวอี้ประนมมือทำความเคารพ ไม่อยากพัวพันกับผู้หญิงที่มีใจคิดไม่ซื่อคนนี้ เรื่องที่ควรต้องไปหาจี้คงก็ยังต้องไปหาจี้คง จึงหันตัวเดินออกไปอีกครั้ง ท่าทีดูไม่ค่อยเกรงใจสักเท่าไร และแน่ใจด้วยว่าอีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรตน

เม่ยจีหรี่ดวงตางาม ถ้าจะบอกว่าไม่โมโหเลยสักนิดก็แปลว่าโกหกแล้ว แต่ฐานะลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่…นางจึงหัวเราะคิกคักต่อไป “นายท่านหนิวรีบไปรีบมาขนาดนี้ ถ้าเรื่องแพร่ออกไป คนจะไม่คิดว่าอาตมาต้อนรับแขกไม่ดีหรอกเหรอ ไม่ทราบว่านายท่านเคยได้ยินระบำมารสวรรค์หรือเปล่า? ระบำมารสวรรค์ของสำนักหลัวช่าคือสิ่งที่บุรุษโปรดปรานที่สุด โดยทั่วไปไม่แสดงให้คนทางโลกดูหรอกนะ นายท่านหนิวไม่อยากชมสักหน่อยเหรอ?”

ระบำมารสวรรค์? เหมียวอี้ที่เตรียมจะยื่นมือไปผลักประตูต้องหยุดชะงักอีกครั้ง อวิ๋นจือชิวก็เต้นระบำมารสวรรค์ได้เหมือนกัน แต่จนใจที่ไม่เคยเต้นให้เขาดูมาก่อนเลย เพียงแต่ไม่รู้ว่าระบำมารสวรรค์นี้จะเป็นระบำมารสวรรค์เดียวกันหรือเปล่า?

เขาหันกลับมาดูการแต่งตัวที่วาบหวิวของเม่ยจีอีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการแต่งตัวของอวิ๋นจือชิวในปีนั้น ถึงแม้นางจะไม่ได้แต่งตัววาบหวิวขนาดนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนในสังคมแตกตื่นได้

รอยยิ้มบนใบหน้าเม่ยจีเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นึกว่าทำให้เหมียวอี้หวั่นไหวได้แล้ว

ทว่าเหมียวอี้มีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้จะอยากเห็นมากว่าระบำมารสวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอื่นแอบแฝง เขาไม่อยากตกอยู่ในจังหวะการควบคุมของผู้หญิงคนนี้ จึงใช้สองมือดึงประตูใหญ่ออก

เม่ยจีสีหน้าอึมครึมลง จู่ๆ น้ำเสียงก็ทุ้มต่ำลง “เหมือนนายท่านหนิวจะสนใจสำนักหนานอู๋มากเชียวนะ!”

เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบทันที แต่กลับทำเหมือนไม่สะทกสะท้าน แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ได้แต่หันหลังให้อีกฝ่าย เดินก้าวยาวออกไปแล้ว

เม่ยจีที่ยืนอยู่กับที่หรี่ตามองโดยไม่พูดอะไร ในร่องตาเป็นประกายวูบไหว

ชางหงที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงตีนบันไดลุกขึ้น เดินมาข้างหลังนางแล้วถามว่า “พระโพธิสัตว์ เหตุใดท่านจึงเปิดเผยไปตรงๆ จะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือคะ?”

เม่ยจีกล่าวว่า “เขามีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลัง บวกกับตอนนี้เขาถูกอำนาจหลายฝ่ายจับจ้อง แม้แต่พุทธะหน้าหยกยังไม่สะดวกจะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับเขาเลย แล้วพวกเราก็ยังคลำหาเบาะแสของเขาไม่เจอเลย ถ้าไม่แหวกหญ้าให้เขาเคลื่อนไหวสักหน่อย พวกเราจะตัดสินจุดประสงค์ที่แท้จริงในการไปดาวพิษของเขาได้ยังไง พุทธะหน้าหยกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ข้ามาที่ตลาดผีด้วยตัวเอง มีหรือที่ข้าจะรออยู่ที่นี่เฉยๆ ได้”

“พระโพธิสัตว์ แล้วขั้นต่อไปจะทำยังไงคะ?” ชางหงถาม

เม่ยจีหรี่ตา “ต้องรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ถ้าอยากจะรู้ถึงความเคลื่อนไหวของเขา ก็ต้องเข้าใกล้เขา…”

พอออกจากวัดพระกษิติครรภ์แล้ว เหมียวอี้ก็ดำน้ำกลับมาที่จวนแม่ทัพภาค เรื่องแรกที่ทำก็คือติดต่อกับอวิ๋นจือชิว ถามว่าเรื่องระบำมารสวรรค์เป็นอย่างไรกันแน่

อวิ๋นจือชิวแปลกใจ : เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?

เหมียวอี้เล่าเรื่องตอนเจอเม่ยจีที่วัดพระกษิติครรภ์ให้ฟังคร่าวๆ ทันที แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าระบำมารสวรรค์ที่ตัวเองฝึกเกี่ยวข้องกับระบำมารสวรรค์ของสำนักหลัวช่าหรือเปล่า นางได้รับถ่ายทอดมาจากอนุภรรยาคนหนึ่งของอวิ๋นอ้าวเทียน นางเคยถามที่มาของระบำมารสวรรค์กับท่านย่าบุญธรรมแล้ว ท่านย่าบุญธรรมรู้เพียงว่าได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่เคยบอกว่าเกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่

เหมียวอี้ : ถ้าอย่างนั้น ระบำมารสวรรค์ที่เจ้าฝึกเป็นยังไงกันแน่?

อวิ๋นจือชิว : จะเป็นยังไงได้ล่ะ ก็เป็นแค่ระบำที่เอาไว้ยั่วยวนผู้ชายก็เท่านั้นเอง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทักษะการยั่วยวนประเภทหนึ่ง ตามที่ท่านย่าบุญธรรมข้าบอกมา เมื่อได้ปลุกปั่นผู้ชายแล้ว ผู้ชายก็จะอดใจไม่ไหวกับผู้ที่เต้นระบำ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าระบำมารสวรรค์ของเม่ยจีนั่นเป็นยังไง แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่บอกหรอกว่าเป็นสิ่งที่ผู้ชายโปรดปรานที่สุด เจ้าระวังตัวไว้หน่อยนะ อย่าไปติดกับดักโดยไม่รู้ตัว!

เหมียวอี้แปลกใจแล้ว : ตามที่ท่านย่าบุญธรรมเจ้าบอกเหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยเห็นให้ผู้ชายคนอื่นดู…ข้าหมายถึงว่า ตอนที่เจ้าฝึกก็ต้องมีคู่ฝึกสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้ผลลัพธ์ได้ยังไง?

อวิ๋นจือชิวอับอายจนหงุดหงิด : ไปตายซะ!

แต่จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ แล้วตอบว่า : ตอนฝึกระบำมารสวรรค์ก็ต้องหาผู้ชายมาพิสูจน์อยู่แล้ว ตอนนั้นล้วนเป็นท่านย่าบุญธรรมที่หาคนพิสูจน์มาให้ เมื่อเห็นว่าได้ผล หลังจากฝ่ายที่ถูกยั่วยวนหลงใหลจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ พวกเขาก็จะถูกท่านย่าบุญธรรมฆ่าทิ้ง ไม่ใช่แค่คนที่ถูกยั่วยวนนะ แต่ผู้ชายคนไหนที่เคยเห็นข้าเต้นระบำนี้ ก็จะถูกท่านย่าบุญธรรมฆ่าทิ้งหมด ดังนั้นข้าจึงเคยเห็นผลลัพธ์แค่เวลาสั้นๆ ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นแล้ว คนที่ถูกข้ายั่วยวนจะอดใจไม่ไหวกับข้าจริงๆ หรือเปล่า แต่ในเมื่อท่านย่าบุญธรรมบอกอย่างนั้น ในฐานะที่ท่านเคยผ่านประสบการณ์มาก่อน ก็น่าจะไม่ผิดแน่

เหมียวอี้สงสัยว่าระบำมารสวรรค์ที่อวิ๋นจือชิวฝึกจะเกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่ ขนาดหกเคล็ดวิชาพิเศษยังไปถึงพิภพเล็กได้เลย อาจจะเป็นประเภทเดียวกันจริงๆ เขาจึงทำความเข้าใจมากขึ้นเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด จึงถามอีกว่า : หลังจากถูกระบำมารสวรรค์ยั่วยวนแล้ว จะมีวิธีแก้หรือเปล่า?

อวิ๋นจือชิว : เรื่องนี้แก้ไม่ยากหรอก มีหลายวิธีที่จะแก้เสน่ห์นี้ได้ คนที่ใช้ทักษะนี้สามารถระบำย้อนเพื่อแก้ไข ผู้ที่ถูกยั่วยวนให้ตกใจเกินไปก็สามารถแก้ไขได้เช่นกัน หรือไม่ก็จับคนยั่วกับคนถูกยั่วให้แยกจากกันเป็นเวลานาน เมื่อเวลานานไปก็ย่อมแก้ได้เอง…หนิวเอ้อร์ ในเมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าสงสัยมาตลอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเจ้าหรือเปล่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฟิงเสวียน

จู่ๆ ก็ดึงมาถึงประเด็นนี้ เหมียวอี้เดาออกทันทีว่านางต้องการจะพูดอะไร เขาถามด้วยสีหน้าที่แย่นิดหน่อย : เจ้าคงไม่ได้จะบอกใช่มั้ย ว่าเจ้าเคยเต้นระบำมารสวรรค์ให้เขาดู?

อวิ๋นจือชิว : ใช่! ข้ารับรองกับเจ้าได้เลย ว่าข้าไม่เคยเต้นระบำมารสวรรค์ให้เขาดูจริงๆ แต่ตอนหลังข้าก็สงสัยนิดหน่อย เพราะข้ากับเฟิงเสวียนเจอกันครั้งแรกที่ทะเลทรายท่านเมฆา ตอนนั้นข้าเต้นระบำภายใต้แสงจันทร์อยู่ลำพังกลางทะเลทราย หลังจากเต้นเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับก็บังเอิญเจอเฟิงเสวียน…และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฟิงเสวียนก็ตามจีบข้าอย่างบ้าคลั่งมาตลอด ตอนหลังที่เฟิงเสวียนถูกขังที่นภาแดนมาร ตอนข้าผิดหวังกับปฏิกิริยาของเขาอย่างต่อเนื่อง ข้าก็เริ่มสงสัยอะไรบางอย่างเหมือนกัน ที่จริงแล้วเขาเป็นคนขี้ขลาดกลัวตายมาก ทำไมถึงกล้ามาตามจีบข้าทั้งๆ ที่รู้ว่าภูมิหลังข้าเป็นยังไงล่ะ? ข้าก็เลยนึกขึ้นได้ถึงวันแรกที่เจอกัน ข้าสงสัยมาตลอดว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นข้าเต้นที่กลางทะเลทรายแล้วถูกระบำมารสวรรค์ยั่วยวนหรือเปล่า?

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า : เจ้ามาพูดตอนนี้มีความหมายอะไรล่ะ?

อวิ๋นจือชิว : นี่เป็นความสงสัยของข้าเท่านั้นเอง พอพูดถึงเรื่องนี้ข้าก็ไม่อยากปิดบังอะไรเจ้า แล้วข้าก็อยากจะถือโอกาสถามเจ้าเรื่องหนึ่งเหมือนกัน…หนิวเอ้อร์ ข้าต้องการได้ยินความคิดที่แท้จริงในใจเจ้า เจ้าถือสาเรื่องในอดีตช่วงนั้นระหว่างข้ากับเฟิงเสวียนหรือเปล่า? พูดความจริงมานะ อย่าหลอกข้า! เรื่องอื่นเจ้าหลอกข้าได้ แต่เรื่องนี้เจ้าหลอกข้าไม่ได้จริงๆ!

เหมียวอี้เงียบไปนานถึงได้ตอบกลับ : ก็มีทั้งถือสาและไม่ถือสา ที่ไม่ถือสาก็เพราะเจ้ายังไม่ได้เสียความบริสุทธิ์ให้เขา ส่วนเรื่องที่ข้าถือ! ไม่ใช่เพราะเรื่องในอดีตช่วงนั้นระหว่างเจ้ากับเฟิงเสวียนหรอก แต่เป็นเพราะตัวเจ้าในอดีตกับตัวเจ้าหลังจากมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุไม่เหมือนกันแน่นอน ตัวเจ้าในอดีตไม่มีทางมานั่งดื่มสุราดูพระอาทิตย์ตกดินคนเดียวบนหลังคาแน่นอน ตอนที่เจ้ายังสดใสอ่อนเยาว์ที่สุดเจ้าไม่ได้อยู่กับข้า ต่อให้ข้าจะอยู่กับเจ้าไปทั้งชีวิตได้ แต่ทั้งชีวิตนี้ข้าก็ไม่มีวันได้โอกาสอยู่กับน้องชิวผู้อ่อนเยาว์สดใสคนนั้นเลย นี่คือเรื่องที่น่าเสียดายในชีวิตเหมียวอี้ และเฟิงเสวียนก็โชคดีมาเจอก่อน! แต่ข้าก็ไม่โทษเจ้าหรอก ตอนนั้นข้าอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย ไม่ว่าใครก็ไม่อาจขอให้เจ้ารอคอยคนที่อีกหลายหมื่นปีหลังจะเกิดขึ้นมาบนโลกนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้!

อวิ๋นจือชิวที่กำลังอยู่ในห้องกำระฆังดาราแน่นไว้ตรงอก นางกัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็เขย่าระฆังดาราตอบ : หนิวเอ้อร์ ขอบใจนะที่เจ้าพูดความจริงจากใจ บางทีเฟิงเสวียนอาจจะเคยเห็นข้าเต้นระบำมารสวรรค์ แต่ข้ายังไม่อยากเต้นให้เจ้าดู ไม่ใช่ว่าข้าเห็ต้นให้เจ้าดูไม่ได้ แต่ข้าไม่อยากเต้นให้เจ้าดู เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดมั้ย?

เหมียวอี้ตอบว่า : ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจ นึกว่าเจ้าหลอกให้ข้าอยากเฉยๆ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าระบำมารสวรรค์คือวิชายั่วยวนใจคน…ข้าเข้าใจแล้ว! น้องชิว ก็อย่างที่ข้าเคยบอก ทั้งชีวิตนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนแทนที่ตำแหน่งของเจ้าในใจข้าได้

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็น้ำตาไหลพรากล้มลงเตียง นางเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วก็ค่อยๆ เอาหน้าซุกผ้าห่มกรีดร้องคร่ำครวญ ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ…

ส่วนเหมียวอี้ที่อยู่ในตลาดผีก็มองไปนอกหน้าต่างแล้วถอนหายใจ ก่อนจะหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจินม่านที่อยู่แดนอเวจี

จินม่านได้ยินแล้วถามอย่างแปลกใจ : ระบำมารสวรรค์? ระบำมารสวรรค์ของอวี้หลัวช่าเหรอ?

เหมียวอี้ : ใช่แล้ว!

จินม่าน : ระบำมารสวรรค์เป็นวิชายั่วยวน ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่รู้หรอก เพราะข้ายังไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่ว่ากันว่าแรกเริ่มระบำมารสวรรค์มาจากสำนักหนานอู๋ สำนักหนานอู๋ใช้วิชานี้กับศิษย์สำนักพุทธที่ต้องผ่านด่านจิตมารตอนฝึกบำเพ็ญ ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่าจริงหรือเท็จ

สำนักหนานอู๋? เหมียวอี้รีบถาม : อย่าบอกนะว่าพุทธะหน้าหยกนั่นออกมาจากสำนักหนานอู๋?

จินม่าน : ไม่แน่ใจ ตามหลักแล้วศิษย์สำนักหนานอู๋ในปีนั้นน่าจะถูกพระปีศาจหนานโปฆ่าตายหมดแล้ว แต่ในปีนั้นสำนักหนานอู๋มีศิษย์เยอะมาก เป็นไปได้ว่าจะมีปลาลอดแห ถ้าคำนวณตามเวลา เรื่องที่อวี้หลัวช่ามาจากสำนักหนานอู๋ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คงจะเกี่ยวข้องกับสำนักหนานอู๋ก่อนที่สำนักจะถูกกวาดล้างก็ได้

…………………………