ราชันเร้นลับ 1031 : ความเป็นไปได้

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

เมื่อฟ้าสว่าง คฤหาสน์ริมฝั่งทางเหนือของแม่น้ำทัสซอคถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยหมอกยามเช้า

ฟามี่·เคจ ชายเจ้าของร่างท้วมแต่ตัวสูงเดินมายังห้องนอนแขกของโจนาส·โคลเกอร์ ยกมือขึ้นเคาะประตูและเตรียมชักชวนรองผอ. MI9 ไปกินอาหารมื้อเช้า

ทว่า ไม่มีการตอบสนองใดกลับมา

พันตรีของกองทัพรายนี้ไปรอที่ห้องอาหารแล้วหรือ? ฟามี่·เคจหันหลังกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็เดินไปยังชั้นอื่น

รอจนกระทั่งจบช่วงเวลาอาหารเช้า ทุกคนเริ่มตระหนักว่าโจนาส·โคลเกอร์หายตัวไป ดอน·ดันเตสจึงตัดสินใจพาพวกเขาไปรอด้านนอกห้องพักแขก และบอกให้คนดูแลคฤหาสน์ริชาร์ดสันนำกุญแจมาไขประตู

ด้านในห้องไม่มีคน

“พันตรีโคลเกอร์มีนิสัยชอบออกไปวิ่งตอนเช้ารึเปล่า?” ส.ส. มัคท์ถามด้วยความฉงนพลางบีบโหนกแก้มตัวเอง

ฟามี่·เคจส่ายหน้าโดยปราศจากความลังเล

“ไม่”

“เมื่อคืนได้ยินเสียงอะไรกันบ้างไหม?” อธิการบดีมหาวิทยาลัยเบ็คลันด์ พอร์ตแลน·โมมงต์มองไปรอบๆ พร้อมกับตั้งคำถาม

ส.ส. มัคท์ทำหน้านึกสักพัก

“ไม่เลย ที่นี่เงียบมาก เหมาะแก่การพักร้อน”

ด้านข้างมัน เฮเซลมองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าฉงน แต่ก็นึกอะไรไม่ออก

ทันใดนั้น ฟามี่·เคจตั้งสมมติฐาน

“พันตรีโคลเกอร์เป็นคนสำคัญของกองทัพ และมักได้รับภารกิจที่คาดไม่ถึงเสมอ บางทีอาจออกจากคฤหาสน์และกลับเบ็คลันด์ไปแล้ว”

นักธุรกิจรถยนต์พลังไอน้ำรายนี้พยายามลดความตึงเครียดของสถานการณ์ลง

เขารู้บางสิ่ง… หรืออย่างน้อย เขาทราบว่าโจนาส·โคลเกอร์มาที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่างที่บอกไม่ได้… ไคลน์ฟังบทสนทนาสักพัก ก่อนจะหันไปกล่าวกับพ่อบ้านวอลเตอร์และคนดูแลคฤหาสน์ริชาร์ดสันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ถามคนรับใช้ทุกคนในคฤหาสน์ว่า เมื่อคืนหรือตอนรุ่งสางมีใครเห็นพันตรีโคลเกอร์บ้างไหม… ถ้าไม่มีใครเห็น รีบส่งคนไปที่บ้านของพันตรีโคลเกอร์ในกรุงเบ็คลันด์ แจ้งเรื่องนี้และให้พวกเขาตัดสินใจกันเองว่าจะรายงานตำรวจหรือไม่”

หลังจากออกคำสั่ง ไคลน์ลูบตอนสีขาวและหันไปกล่าวกับส.ส. มัคท์รวมถึงแขกคนอื่นๆ

“เรื่องราวยังไม่กระจ่าง บางทีพันตรีโคลเกอร์อาจรีบร้อนกลับไปเพราะเรื่องด่วนชนิดที่รอให้จบการพักร้อนไม่ได้… เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราจะดำเนินกิจกรรมล่าสัตว์ต่อไปและกลับเมื่อตำรวจมาถึง”

เนื่องจากเพื่อนสนิทของพันตรีโจนาส·โคลเกอร์ ฟามี่·เคจ เปิดประเด็นเรื่องภารกิจด่วน และนั่นฟังดูน่าเชื่อถือมาก มัคท์และแขกคนอื่นจึงเห็นด้วยกับคำแนะนำของดอน·ดันเตส ต่างคนต่างทยอยออกไปด้านนอก

เฮเซลที่เดินมาจากด้านหลังสุด ชำเลืองห้องนอนแขกของพันตรีโจนาส·โคลเกอร์และห้องข้างๆ พร้อมกับรู้สึกที่ว่า มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ภายในใจต้องการใช้พลังนักถอดรหัสเพื่อจำลองสถานการณ์ขึ้นมาใหม่

ทว่า ความหวาดกลัวอันเข้มข้นพลันผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวสิ่งใด แต่มันรุนแรงพอที่จะทำให้หญิงสาวล้มเลิกความคิด

เธอรู้สึกลึกๆ ว่าตนเคยมีประสบการณ์ในทำนองนี้มาก่อน และประสบการณ์เหล่านั้นกำลังร้องบอกกับเธอว่า ตนไม่ควรเห็นในสิ่งที่ไม่ควร และไม่ควรได้ยินในสิ่งที่ไม่ควร

รอจนกระทั่งแขกและคนรับใช้ออกไปทั้งหมด พรมหนาๆ ที่คอยค้ำจุนน้ำหนักของโต๊ะกาแฟในห้องนอนโจนาส·โคลเกอร์เริ่มขยับเขยื้อน

ทีละเล็กทีละน้อย มันดึงตัวเองออกจากใต้โซฟาและโต๊ะกาแฟโดยไม่สร้างความวุ่นวาย

ทันทีหลังจากนั้น พรมสีเหลืองน้ำตาลเหยียดตัวตรงพร้อมกับเผยให้เห็นอีกฝั่ง

พวกมันคือก้อนเลือดเนื้อที่แข็งตัว!

ก้อนเลือดเนื้อยุบพองและปรับโครงสร้างใหม่ เพียงไม่นานก็กลายเป็นมนุษย์ที่มีใบหน้าของเด็กหนุ่มลูกครึ่งสองทวีป

บุรุษรับใช้ส่วนตัว เอ็นยูน

และคนที่กำลังเดินตามดอน·ดันเตสคือโจนาส·โคลเกอร์ มันมีใบหน้าและรูปร่างแบบเดียวกัน!

สำหรับไคลน์ มันไม่จำเป็นต้องซ่อน ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนในทำนองนี้ สามารถแปลงโฉมให้เป็นคนอื่นและปะปนในหมู่คนรับใช้ได้สบาย ตบตาเหล่าคนใช้ด้วยมายากลลวงตาเพื่อไม่ให้พวกมันพบว่ามีคนเกินมา เป็นวิธีการที่ง่ายและปลอดภัยกว่า ทว่า การสวมบทบาทยังคงเป็นกุญแจสำคัญของครึ่งเทพ เพราะนั่นจะช่วยให้ย่อยโอสถเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงในการคลุ้มคลั่ง ดังนั้น ไคลน์จึงพยายามสร้าง ‘ความพิสดาร’ ทุกครั้งที่มีโอกาส

แน่นอน มันไม่ต้องการทำร้ายคนบริสุทธิ์ แม้กระทั่งการสร้างฉากที่ ‘พิสดาร’ และเต็มไปด้วยความหลอนก็ยังพยายามไม่ให้ใครตระหนักถึง ด้วยเกรงว่าคนเหล่านั้นจะตื่นตระหนกจนเกินพอดีและเกิดเป็นบาดแผลทางใจ

ฉากที่พิสดารและเต็มไปด้วยความหลอน ส่วนใหญ่มีไว้ให้ตัวเองเชยชม มีไว้เพื่อสร้างพัฒนาการของโอสถภายในร่างกาย แน่นอน วิธีนี้ช่วยให้ย่อยโอสถได้จริง แต่เนื่องจากไม่มี ‘ผู้ชม’ ผ่านมาเห็นและให้การตอบสนอง ย่อมแปลว่าการสวมบทบาทยังสมบูรณ์ไม่มากพอ ส่งผลให้ความเร็วในการย่อยไม่ได้รวดเร็วอย่างที่คิด ถึงแม้จะพยายามทำเรื่องแปลกๆ หลอนๆ มากแค่ไหน ไคลน์ก็รู้สึกว่าตนไม่มีทางกลายเป็นลำดับ 3 ได้ก่อนสิ้นปีนี้

กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันออก ภายในบ้านเช่าสองห้องนอน

ซิลนั่งลงบนเก้าอี้โยก สายตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย สีหน้าค่อนข้างหม่นหมอง

ฟอร์สกลืนน้ำลายและเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามซิล บดบังทัศนวิสัยของเพื่อนสนิท

“ทำไมซังกะตายแบบนี้? เพราะคำตอบนั่น เธอจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรต่อ?”

ดวงตาซิลขยับเล็กน้อย กล่าวหลังจากได้สติกลับมา

“ไม่ว่าจะเป็นการแก้แค้นคือทวงคืนศักดิ์ศรีให้พ่อ โอกาสต่ำมากเมื่ออีกฝ่ายคือพระราชา… ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำเรื่องแบบนี้ให้สำเร็จได้ยังไง…”

“นั่นเพราะเธออ่อนแอเกินไป… เมื่อใดที่เอื้อมถึงลำดับ 4 และได้รับพลังครึ่งเทพ เธอจะพบว่าหนทางนั้นเปิดกว้างเพียงใด ติดแค่ว่ามันงานที่ค่อนข้างยาก!” ฟอร์สพยายามกระตุ้น “นอกจากนั้น เธอยังพึ่งพาคนอื่นได้ เช่นคนที่คอยจับตามองเชอร์มาเน่… หล่อนเองก็อยากทราบว่าไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจงรักภักดีกับใครที่สุด บางทีอาจสนใจในความลับของกษัตริย์”

“เชอร์มาเน่…” ซิลทวนชื่อซ้ำ คล้ายกับสภาพจิตใจฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย

บนโต๊ะด้านข้างพวกเธอมีไม้กางเขนทองแดงและอัญมณีสีน้ำเงินที่ดูคล้ายกับดวงตาแนวตั้ง

ผิวด้านนอกของอัญมณีมีลวดลายคล้ายเส้นด้าย ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากตะกอนพลังของเชอร์มาเน่ มีคุณสมบัติทำให้ทุกสิ่งรอบๆ ตัวสงบลง แถมยังงดงามขึ้นเล็กน้อย ทว่า เนื่องจากการมีอยู่ของไม้กางเขนทองแดง รัศมีการแสดงผลของอัญมณีจึงจำกัดเฉพาะในวงแคบๆ

“คนที่คอยจับตามองเชอร์มาเน่… คือตัวการสำคัญที่ทำให้เธอต้องตาย” ซิลกล่าวเสียงขรึม

พวกเธอหาจุดฝังเชอร์มาเน่ได้แล้ว และฟอร์สได้ใช้ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ เพื่อร่าย ‘ปลอบโยน’ ใส่ศพ

ฟอร์สพยักหน้ารับ

“ใช่… เป็นเพราะเธอต้องการสืบความลับกษัตริย์ จึงต้องกระตุ้นให้เชอร์มาเน่ทำงานเสี่ยงๆ … เธอเคยบอกใช่ไหมว่าอีกฝ่ายรู้จักบ้านเก่าของพวกเรา? ถ้าอย่างนั้น เราสามารถแอบกลับไปและหย่อนจดหมายไว้ในกล่อง เขียนบอกว่าไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจงรักภักดีต่อกษัตริย์จอร์จที่สาม และพระองค์เก็บซ่อนความลับใหญ่หลวงไว้กับตัว… ด้วยวิธีนี้ อีกฝ่ายต้องทราบคำตอบแน่”

ซิลครุ่นคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าเคร่งขรึม

“ตกลง”

หลังจากปรึกษากันว่าจะทำอะไรต่อไป ฟอร์สลุกขึ้นและชี้ไปทางกางเขนทองแดง

“พวกเราเคยถูกมิสเตอร์ฟูลช่วยไว้หลายครั้ง ถึงเวลาต้องตอบแทนแล้ว… ฉันวางแผนที่จะสังเวยกางเขนทองแดงอันนี้ให้มิสเตอร์ฟูล เธอไม่คัดค้านใช่ไหม?”

“ไม่” ซิลไม่ลังเล

คฤหาสน์เพลงกุหลาบ ตกเย็นอีกครั้ง มีข่าวถูกส่งกลับมาจากครอบครัวของโจนาส·โคลเกอร์ ระบุว่ายังไม่ต้องทำอะไร เพราะรองผอ. MI9 รายนี้มักมีภารกิจลับเร่งด่วนบ่อยครั้ง โดยส่วนใหญ่เกี่ยวกับความมั่นคงของอาณาจักร ด้วยเหตุนี้ มัคท์และคนที่เหลือจึงคลายความกังวล เริ่มนำสัตว์ที่ล่ามาได้มาย่างกับกองไฟและจัดงานเลี้ยงแบบบาร์บีคิวในสวนของคฤหาสน์

เมื่อเห็นเหล่าสุภาพบุรุษม้วนแขนเสื้อขึ้นและก้มหน้าก้มตาทำงานรอบๆ เต่าย่าง บรรดาสุภาพสตรีแวะเวียนมาช่วยเป็นบางครั้ง ขณะเดียวก็คอยดูแลเด็กเล็กที่วิ่งเล่นภายในส่วนอย่างกระตือรือร้น สำหรับไคลน์ มันถือแก้วไวน์ขาวรสหวานนุ่มที่ผลิตโดยคฤหาสน์เพลงกุหลาบ นั่งบนเก้าอี้ไม้สีขาว ยกมุมปากยิ้มเล็กๆ

ข้างๆ มันคือบุรุษรับใช้ลูกครึ่งที่ยืนตัวตรงเพื่อรอรับคำสั่ง

และภายในอาคารหลักของคฤหาสน์ ภายในห้องสักห้อง ดวงตาคู่หนึ่งกำลังเฝ้ามองลงมาอย่างเงียบงัน ไม่ใช่ใครนอกจากบุรุษผู้เหมือนกับเอ็นยูนทุกประการ

สายลมยามเย็นพัดผ่าน ขณะไคลน์เตรียมลุกขึ้นและแสดงวิธีการย่างเนื้อแบบฉบับอ่าวเดซีย์ มันเห็นร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นเบื้องหน้าอย่างกะทันหัน

อาเรียนน่า สตรีผู้สวมชุดเรียบง่ายและเข็มขัดเปลือกไม้

บริวารอำพรางรายนี้จ้องหน้าดอน·ดันเตสและกล่าว

“ไม่มีสิ่งใดพิเศษในโบราณสถานใต้ดิน…”

จากนั้น เธอเล่าถึงจุดสำคัญที่ตนและสามอาร์ชบิชอปเห็น รวมถึงคำอธิบายของเจ้าชายแห่งโซเนีย โกรฟ·ออกัสตัส

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง… แวบแรกในหัวไคลน์คือความคลางแคลง

ในเมื่อไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดยังคงได้รับความช่วยเหลือจาก ‘นักบุญสีขาว’ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ หมายความว่านิกายแม่มดและราชวงศ์ยังคงทำงานร่วมกัน

เมื่อพิจารณาว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงร่วมมือกันแม้โศกนาฏกรรมมหาหมอกควันจะจบลงไปแล้ว เรื่องนี้สามารถตีความได้ว่า การปิดบังตัวตนโบราณสถานของจักรพรรดิโลหิตเอาไว้ ย่อมไม่ใช่แค่เรื่องความเห็นแก่ตัวธรรมดาๆ แน่

ในเมื่อลงทุนลงแรงไปมากขนาดนี้ คิดว่านิกายแม่มดและสมาคมแปรจิตจะไม่หวังผลประโยชน์ใดตอบแทนเลยหรือ?

และถ้าพวกมันถูกตัดความสัมพันธ์จริง แค่นำข่าวมาแจ้งกับสามโบสถ์หลักก็พอแล้วนี่?

ไคลน์เชื่อว่าความลับของโบราณสถานใต้ดินยังไม่ถูกเปิดโปง และสงสัยว่า ข่าวอาจรั่วไหลกลางทางจนทำให้อีกฝ่ายมีเวลากลบเกลื่อน

แต่ในเมื่อมาดามอาเรียนน่าจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เราสามารถตัดความน่าจะเป็นที่จะถูกทำนายหรือพยากรณ์ถึงไปได้เลย…

นับตั้งแต่การสังหารโจนาส·โคลเกอร์ของเรา ไปจนถึงปฏิบัติการร่วมของอาร์ชบิชอปสามโบสถ์หลัก มีผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไม่ถึงสิบคน… นอกจากนั้น ทุกคนยังเป็นสมาชิกระดับสูงของโบสถ์ตัวเอง แล้วข่าวจะรั่วไหลออกไปได้ยังไง…

ความผิดปรกติเกี่ยวกับไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดทำให้คนในโบราณสถานเปิดใช้งานแผนฉุกเฉิน? ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตำแหน่งของไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดมิได้สำคัญขนาดนั้น แม้แต่โจนาส·โคลเกอร์ก็ยังแทบไม่รู้อะไรเลย… หน้าที่หลักมีแค่การประสานงานกับนิกายแม่มดและจัดหาอุปกรณ์บางอย่าง อาจไม่รู้จักโบราณสถานแห่งนั้นเลยด้วยซ้ำ… ไคลน์เค้นความคิดเพื่อหาเหตุผลมารองรับ

มันตัดประเด็นที่อีกฝ่ายจะเตรียมความพร้อมหลังจากเหตุการณ์ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดออกไป เพราะเหนือสิ่งใดอื่นใด ความตายของหัวหน้าราชองครักษ์มิได้สลักสำคัญขนาดนั้น

ลงเอยด้วย เหลือความเป็นไปได้อยู่เพียงไม่กี่เรื่องที่สามารถอธิบายสถานการณ์ได้ หนึ่งก็คือ ใครสักคนที่รู้ความลับเรื่องนี้ จงใจหรือไม่จงใจแพร่งพรายข้อมูลด้วยเหตุผลบางประการ หรืออีกข้อหนึ่ง พวกมันพบความผิดปรกติเกี่ยวกับโจนาส·โคลเกอร์ที่กลายเป็นหุ่นเชิด แต่ไคลน์ไม่ทันสังเกตเห็น

ตัวปัญหาอาจอยู่ที่สมาคมแปรจิต… ความคิดของเราถูกใครบางคนอ่านออก? แต่ตัวเรามีพรจากหมอกสีเทา ไม่ว่าจะแนบเนียนขนาดไหน แต่เราก็ต้องสัมผัสถึงความผิดปรกติ เฉกเช่นในตอนที่เผชิญหน้ากับครึ่งเทพเส้นทางผู้ชมที่ต้องการติดต่อกับแอนเดอร์สัน… สมาคมแปรจิตเกิดจากบางสิ่งที่เฮอร์มิสเหลือทิ้งไว้… เฮอร์มิส… คิดถึงตรงนี้ ดวงตาไคลน์พลันเบิกกว้าง

มันรีบหยุดคิดตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องการนึกถึงข้อมูลที่ลึกลงไป ก่อนจะหันไปทางอาเรียนน่าและถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างผ่อนคลาย

“ที่นี่ถูกปกปิดหรือยัง?”

“เป็นความลับสุดยอด” อาเรียนน่าตอบเสียงเรียบ

ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาด้านหลังเธอโดยไม่มีใครสังเกตเห็นเธอแม้แต่คนเดียว

ไคลน์ถอนหายใจก่อนจะก่อร่างความคิดขึ้นในสมอง

จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวในไดอารีว่า สมาชิกขององค์กรลับดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญ…

ถ้าอย่างนั้น… มีความเป็นไปได้ไหมว่า หนึ่งในสามสมาชิกระดับสูงของโบสถ์ จะเป็นสมาชิกของสภานักสิทธิ์สนธยาด้วยเช่นกัน?

และโบราณสถานการณ์ที่อาเรียนน่าเห็นไม่ใช่ของจริง แต่เป็น ‘จินตภาพ’ ของอาดัม?

………………………….