ตอนที่ 700 หลันหลันถูกหลอกเอาตัวไปแล้ว?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

สีสดดุจโลหิต ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง บนนั้นยังปักด้ายทองเอาไว้ ปักเป็นรูปวิหคเพลิงสยายปีกโผบิน 

 

 

แขนเสื้อยาวสลวย ชายกระโปรงพลิ้วไหว ดูวิจิตรงดงาม น่าชมเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

มือของเยี่ยจ้านยังคงกุมชุดแต่งงานชุดนั้นเอาไว้ ปิดตาลงพร้อมกับดวงตาที่สั่นสะท้านน้อยๆ 

 

 

มุมปากของเขายกขึ้นและประดับด้วยรอยยิ้ม จนต้องโคลงศีรษะน้อยๆ “ตอนนั้นนะ ชิงชิงสวมชุดแต่งงานชุดนี้เข้าพิธีแต่งงานกับข้า….” 

 

 

“คิดถึงตอนนั้น ถนนของเมืองหลวงต้าโจวแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ผู้คนต่างก็พากันคอยืดคอยาว อยากจะชมดูรูปโฉมของนางด้วยกันทั้งนั้น” 

 

 

“ปีนั้นต้นไห่ถางผลิดอกบาน วันที่กลีบดอกไห่ถางปลิวขึ้นฟ้าราวฝนบุปผา นางก็ขึ้นเกี้ยวมาบนผ้าแดงยาวนับสิบลี้” 

 

 

พอเอ่ยถึงตู๋กูชิงชิง เยี่ยจ้านก็สามารถเล่าได้ไม่จบไม่สิ้น 

 

 

เขามือหนึ่งถือชุดแต่งงานเอาไว้ อีกมือหนึ่งก็ยื่นออกไป คิดจะแบ่งปันความทรงจำถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้จีเฉวียนได้รับฟัง 

 

 

ชุดแต่งงานพลิ้วอยู่ในสายลม จึงยิ่งกำจายกลิ่นเฉพาะตัวของเยี่ยจ้านออกมา 

 

 

จีเฉวียนย่นจมูก รีบถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง 

 

 

“อ้อ หากว่าเจ้าไม่รังเกียจละก็ ชุดแต่งานที่ข้าส่วมใส่ในวันนั้น สามารถให้เจ้ายืมใส่ได้นะ” 

 

 

เยี่ยจ้านพูดพลาง ก็พาดชุดเจ้าสาวเอาไว้บนบ่าของตน มือก็ล้วงลงไปในเป้ากางเกงอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

เขาพึ่งจะดึงผ้าสีแดงออกมามุมหนึ่ง ก็ได้ยินจีเฉวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุดว่า “ข้าถือสา” 

 

 

มือของเยี่ยจ้านชะงักไป “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็ต้องเก้อเขินแย่แล้ว นี่ยังไม่ทันได้แต่งงานกัน ก็รีบร้อนร้องขัดพ่อตาเสียแล้ว เจ้าเด็กน้อย ทำเช่นนี้มิได้หรอกนะ” 

 

 

“คิดดูสิ ตอนนั้นนะ ข้าอยู่ที่บ้านตระกูลตู๋กู ยังต้องให้ความเคารพนอบน้อมต่อท่านผู้เฒ่าตู๋กูอยู่เสมอ เขาให้ข้าไปทางตะวันออก ข้าก็จะไม่ไปทางตะวันตก” 

 

 

“คิดถึงตอนนั้น……” 

 

 

พอเยี่ยจ้านคิดถึงตอนนั้นขึ้นมา ก็ไม่มีทางจบลงได้ง่ายๆ บางทีอาจเป็นเพราะอยู่คนเดียวให้หุบเหวนานจนเกินไป ยากนักที่จะมีคนเป็นๆโผล่มาคุยด้วย และยอมฟังเขาพูดพร่ำเพรื่อไปเรื่อยๆ คำพูดของเยี่ยจ้านจึงมีมากเป็นพิเศษ 

 

 

ตอนนี้เมื่อจีเฉวียนมองดูเขา จึงรู้สึกเหมือนได้เห็นเค้าโครงของตู๋กูเจวี๋ยขึ้นมา 

 

 

บุตรชายและบุตรสาวของเขา ต่างก็รับสืบทอดลักษณะเด่นอันพิเศษเหนือใครของเขาไปจนหมด 

 

 

“หากนับกันตามลำดับ ข้าผู้เป็นอ๋องพึงเคารพเจ้าในฐานะพ่อตาอยู่บ้าง แต่หากว่ากันตามอายุขัย เจ้าสมควรเรียกข้าผู้เป็นอ๋องว่า บรรพชน” จีเฉวียนจ้องไปยังเขา ทั่วทั้งร่างมีแต่ไอหยินหนาวเย็นที่เข้มข้น 

 

 

คราวนี้ เยี่ยจ้านถึงได้ค่อยๆยัดชุดแต่งงานของตนเองกลับลงไปในเป้ากางเกง ค่อยเอ่ยอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจเท่าไรนักว่า “เจ้ามันเหมือนกับแต่ก่อนไม่มีผิด ไม่สนุกเลยสักนิด” 

 

 

ด้วยอายุของตน ก็แค่เด็กกว่าเขาแค่ไม่กี่หมื่นปีเท่านั้น 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหนุ่มน้อยที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ ร่างเนื้อของเขาน่าจะมีอายุอานามไม่เกินยี่สิบปีเองกระมั้ง พอได้รวมร่างเข้ากับซื่อมั่วเข้าหน่อย ก็จะมายกตนเองเป็นบรรพชนเสียแล้วรึ 

 

 

“เอาเถอะ พอก็ได้ หากไม่ต้องการก็แล้วไปเถอะ ข้าผู้เป็นอ๋องยังไม่ยากตัดใจมอบให้ด้วยเช่นกัน…..” 

 

 

เยี่ยจ้านยัดสิ่งขิงเก็บกับไป พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นว่า “จะว่าไป เรื่องของพวกมารจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด หากว่าเกิดเจอะเจอเรื่องใดที่ตึงมือขึ้นมาละก็…,” 

 

 

พอคิดๆดูแล้ว เขาก็เอ่ยอย่างจริงจังแข็งขันว่า “มิว่าจะลำบากอย่างไร ก็อย่าได้มาหาข้าแล้วกัน ข้าไม่ไปเด็ดขาด!” 

 

 

แม้แต่งานแต่งงานของบุตรสาวสุดที่รักเขาก็ยังไปไม่ได้ แล้วมีหรือจะยอมออกไปเพราะเรื่องของพวกมารเหล่านั้น …..หากว่าเขาไปจากหุบเหวไร้ก้นบึ้ง ชิงชิงก็จะไม่มีวันกลับมาได้อีกแล้ว เขาไม่อาจเสี่ยงกับเรื่องนี้ได้อย่างเด็ดขาด 

 

 

จีเฉวียนเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “เจ้าเฝ้าที่นี่ต่อไปให้ดีเถอะ มิว่ามีเรื่องใด ก็มีข้ารับเอาไว้อยู่” 

 

 

ว่าแล้ว เขาก็โบกมือขึ้นครั้งหนึ่ง ชุดแต่งงานของเจ้าสาวที่อยู่บนบ่าของเยี่ยจ้านก็ลอยเข้ามาหา พอรับเอาไว้ดีแล้ว ก็ค่อยใส่ลงไปในถุงเฉียนคุนอย่างระมัดระวัง 

 

 

เยี่ยจ้าน “เจ้าดูคำพูดของเจ้าสิ ใช่จะทำให้ผู้อื่นหลงเข้าใจผิดไปหรือไม่…. ใครไม่รู้เขาจะนึกว่าเจ้ามาแอบชอบข้าเข้าแล้ว….” 

 

 

เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างรุนแรง พอพูดจบ เงยหน้าขึ้นมา ก็พลันรู้สึกว่ากลิ่นอายอันพิเศษเฉพาะที่เป็นของจีเฉวียนได้หายไปเกินว่าครึ่งไปแล้ว 

 

 

ที่เบื้องหน้าเหลือแต่เพียงสายลมอันเหน็บหนาวพัดผ่านใบหน้าไป 

 

 

“อย่าลืมบอกบุตรสาวสุดที่รักของข้าด้วยว่า บิดารักนางเสมอมา ต่อให้แต่งงานแล้วก็ยังรักนาง รักนางไปชั่วชีวิต….” 

 

 

เยี่ยจ้านโบกมือให้กับอากาศที่ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจีเฉวียนจะได้ยินคำพูดของเขาหรือไม่ 

 

 

จนกระทั่งจีเฉวียนกลับไปได้พักใหญ่แล้ว เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง 

 

 

กิ่งก้านและเถาวัลย์ของต้นไม้มังกรที่งอกเงยอยู่รอบตัวก็ค่อยเคลื่อนไหว แทบจะห่อหุ้มเยี่ยจ้านเอาไว้ทั้งตัว 

 

 

ในมือของเขาก็ถือผลึกส่องมารอีกก้อนเอาไว้เช่นกัน 

 

 

หากว่าเจ้าพวกเหล่านั้นกลับคืนสู่หกภพภูมิ…….เช่นนั้นผลลัพธ์ก็คงจะต้องย่ำแย่ยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียอีก 

 

 

ขอให้งานแต่งงานของบุตรสาวตนจัดขึ้นอย่างสะดวกราบลื่นและงดงามด้วยเถอะ 

 

 

“ชิงชิง เจ้าดูสิ เสี่ยวหลันหลันกำลังจะแต่งงานแล้ว เจ้าก็สมควรกลับมาได้แล้วกระมั้ง?” 

 

 

เขาพูดคุยกับอากาศ “ขอเพียงเจ้ายินยอมกลับมา ข้าจะต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังที่มีเพื่อให้เจ้ามีความสุข จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องเจ็บปวดใจอีกแม้แต่น้อย?” 

 

 

สิ่งที่ตอบเขากลับมา มีเพียงเสียงของสายลมและแสงอ่อนๆของหนอนวิญญาณที่วิบวับอยู่รอบต้นไม้เท่านั้น 

 

 

ราวกับว่าในก้นหุบเหวแห่งนี้ ไม่มีกลิ่นอายของชีวิตผู้คน 

 

 

………………….  

 

 

 

 

 

จีเฉวียนพึ่งจะกลับไปยังวังหลวง ก็เห็นหลี่กงกงวิ่งอย่างกระหืดกระหอบจนหายใจไม่ทันเข้ามาหา “ฝ่าบาท ไม่….ไม่ดีแล้วพะยะค่ะ ฮ่องเต้หญิงทรงถูก…..ทรงถูกคนหลอกเอาตัวไปแล้ว” 

 

 

จีเฉวียนขมวดคิ้วมุ่น เขาไปและกลับจากหุบเหวไร้ก้น ก็กินเวลาเพียงแค่ชั่วหนึ่งก้านธูปเท่านั้น 

 

 

ก่อนที่จะไป ซิงซิงยังคงหลับใหลอยู่ในตำหนักบรรทม แค่เวลาเพียงครู่เดียว นางจะถูกคนหลอกเอาตัวไปได้อย่างไร? 

 

 

“พอฮ่องเต้หญิงทรงตื่นจากการบรรทม แล้วหาฝ่าบาทไม่เจอ ก็ลากบ่าวเฒ่าออกนอกวังไปเสาะหาฝ่าบาท คิดไม่ถึงว่า พอไปถึงถนนทิศเหนือ ก็เจอคนต่างชาติกลุ่มหนึ่ง คนเหล่านั้นแต่ละคนล้วนสูงใหญ่บึกบึน มีกำลังและวรยุทธ์ พอเห็นว่าฮ่องเต้หญิงทรงพระสิริโฉมงดงาม ก็เลย….” 

 

 

พอพูดถึงตอนนี้ หลี่กงกงตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง 

 

 

เพราะที่จริงแล้วตอนนี้เขาเองก็รู้ว่า พระสติปัญญาของฮ่องเต้หญิงในตอนนี้ออกจะมีปัญหาอยู่บ้าง 

 

 

ใครจะไปคิดว่า ฮ่องเต้หญิงที่ทรงแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ แค่ออกนอกประตู ก็ถูกหลอกให้เดินตามไปด้วยเนื้อย่างเพียงไม่กี่กิโลเท่านั้น? 

 

 

ถึงเขาจะใช้เรี่ยวแรงยามดูดนมมารดาออกมา ก็ยังไม่อาจลากฮ่องเต้หญิงเสด็จกลับมาได้ 

 

 

ได้แต่ลืมตามองดูคนกลุ่มนั้นเชิญเสด็จพระองค์ไป 

 

 

ที่เขารีบกลับมาเนี่ยก็เพื่อจะหาทัพหนุนไปช่วยเหลือมิใช่หรือ? 

 

 

หลี่กงกงเล่าเหตุการณ์ออกมารอบหนึ่ง พึ่งจะพูดจบ ก็เห็นว่าฝ่าบาทหายไปจนไม่เห็นเงาเสียแล้ว 

 

 

…………………. 

 

 

ถนนทิศเหนือ 

 

 

ยามพลบค่ำ คือช่วงเวลาที่มีแสงอบอุ่นงดงาม 

 

 

แม้จะมีเมฆสีรุ้งเกลื่อนฝืนฟ้า แต่ก็ยังไม่อาจส่องสว่างลงมายังมุมถนนที่มืดมิดนี้ได้ 

 

 

ในบ้านผุพังที่สร้างจากก้อนหินหลังหนึ่ง มีสาวน้อยในชุดสีแดงกำลังพิงกำแพงหลับสนิทอยู่ 

 

 

ที่ข้างกายของนาง มีกลุ่มคนที่หน้าตาแปลกประหลาด รูปร่างสูงใหญ่ทั้งชายและหญิงนับสิบคนยืนอยู่ 

 

 

พวกเขาแต่งกายอย่างพ่อค้าชาวหู 

 

 

แผ่นดินโบราณแห่งนี้เมื่อได้รับการบริหารจัดการจากตู๋กูซิงหลัน การค้าขายก็ยิ่งเจริญก้าวหน้า เหล่าพ่อค้าที่เดินทางค้าขายไปมาระหว่างเมืองหลวงก็ยิ่งคึกคัก 

 

 

บางครั้งบางครายังได้พบเห็นพวกภูติผีปีศาจอยู่บ้างเหมือนกัน 

 

 

ดังนั้นเมื่อพวกเขาแต่งกายเช่นนี้ จึงมิได้เตะตาคนมากเท่าใดนัก 

 

 

ยามนี้ ทั้งหมดรายล้อมตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ในดวงตามีแต่ประกายแสงแห่งความละโมภและตะกละตะกลาม 

 

 

“พลังวิญญาณในร่างกายของนางหนาแน่นยิ่งนัก หากว่าพวกเราสามารถนำมาใช้สอยได้ ก็เพียงพอที่จะปลดผนึก เปิดทางเข้าสู่ภพมาร ปลดปล่อยจอมมารออกมาได้ ใช่ไหม? 

 

 

“คิดไม่ถึงเลยว่าในแผ่นดินนี้ จะบังเอิญมีผู้ฝึกตนระดับนี้อยู่ ช่างน่าเสียดายที่เป็นคนปัญญาอ่อน แค่เนื้อแพะไม่กี่กิโลก็สามารถหลอกให้ตามมาได้แล้ว แม้แต่ยาสลบที่อยู่ในเนื้อแพะย่างก็ยังตรวจไม่ออก” 

 

 

พวกเขาต่างก็ยิ้มเย็นชา 

 

 

“พลังวิญญาณระดับนี้อยู่ในร่างของนาง ต้องถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่าอันหาได้ยาก ทุกคนอย่าได้รีรออีกต่อไป ลงมือช่วงชิงพลังวิญญาณกันเถอะ สังหารนางเสียค่อยเอาศพไปทิ้งในที่ห่างไกล” 

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียง ทั้งหมดก็ขยับตัวลงมือ 

 

 

………………………