บทที่ 913 คู่ปรับที่เหมาะสม

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 913 คู่ปรับที่เหมาะสม

เมื่อได้ยินดังนั้น องค์ชายใหญ่ก็กล่าวตอบออกมาทันที

“นี่เรียกว่าชาเซินจิง เป็นผลิตภัณฑ์พิเศษจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยน ถือเป็นของหายากราคาแพง แม้แต่ชาวต้าเกี๋ยนเองก็ยังไม่มีวาสนาได้ดื่มกิน ผงชาเพียงหนึ่งชุด ต้องแลกด้วยศิลาบูชาหลายร้อยก้อน หาใช่สิ่งของที่จะมอบให้กันได้ง่าย ๆ ไม่!”

องค์ชายใหญ่พูดทั้งหมดนี้ด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

หลินเป่ยเฉินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาทันที

“นับเป็นชาที่แพงยิ่ง แล้วพวกท่านรับประทานมันได้อย่างไร คงมีแต่ขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงจะหามารับประทานได้กระมัง? แต่ถึงจะต้องใช้ศิลาบูชาเป็นร้อยก้อนในการซื้อหา นั่นก็หาใช่เรื่องสำคัญไม่ บัดนี้ ข้าเป็นถึงผู้มีพลังระดับเซียน ย่อมมีปัญญาจ่ายได้อยู่แล้ว”

เด็กหนุ่มหยิบกาน้ำชามารินน้ำชาใส่ถ้วยให้ตนเองใหม่อีกรอบ

เฉียนเฟยเซวียได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูก

องค์ชายใหญ่ก็ต้องขมวดคิ้วแล้ว

นี่คือครั้งแรกที่เขาเคยเห็นผู้คนกล้าแสดงกิริยาวาจาหยาบคายต่อหน้าเสนาบดีจั่วเซียง

“ใต้เท้าจั่วเป็นหัวหน้าขุนนางแห่งนครหลวง ทำงานหนักตลอดเวลา สมองต้องการยาบำรุง ดังนั้น พวกข้าจึงนำชาเซินจิงนี้มาให้ใต้เท้าจั่วดื่มกินเป็นกรณีพิเศษ…”

องค์ชายใหญ่ยังคงพยายามอธิบายต่อไป

“จริงหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปชำเลืองมองใบหน้าของชายชราผู้สวมใส่ชุดเครื่องแบบขุนนางเต็มยศ และพูดด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริงว่า “ข้าเองก็ต้องใช้งานสมองอย่างหนักหน่วงเช่นกัน แต่นั่นเป็นเพราะว่าข้าเป็นโรคสมองเสื่อม องค์จักรพรรดิย่อมรู้เรื่องนี้ดี ข้าจำเป็นต้องได้รับการรักษา และชาเซินจิงนี้ เหมาะสมสำหรับเป็นยารักษาของข้าอย่างยิ่ง”

องค์ชายใหญ่พูดอะไรไม่ออก

เช่นเดียวกับเฉียนเฟยเซวีย

เด็กหนุ่มผู้นี้เจ้าเล่ห์มากเกินไป

ทันใดนั้น จั่วเซียงระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ ไม่มีท่าทีของอาการขุ่นเคืองแม้แต่น้อย “หากคุณชายหลินชื่นชอบ ข้าก็ยินดียกน้ำชาชุดนี้ให้ท่านได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ท่านไม่ต้องจ่ายศิลาบูชาถึงหลายร้อยก้อนหรอก ข้าซื้อหาพวกมันมาในราคาแค่ 50 ก้อน เพราะฉะนั้น ข้าจะแบ่งขายให้แก่ท่านเพียงครึ่งราคา”

“ใต้เท้า นี่มัน…”

เฉียนเฟยเซวียอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

ชายชราโบกมือ ยิ้มแย้ม “เพื่อคุณชายหลิน นี่ย่อมคุ้มค่า”

หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกและเขาก็ได้ชุดน้ำชาตามต้องการ โดยจ่ายศิลาบูชาเพียง 25 ก้อนเท่านั้น

เด็กหนุ่มเริ่มนับถือในน้ำใจของขุนนางผู้นี้แล้วจง ริๆ

“ขอบคุณใต้เท้าจั่วสำหรับความเมตตา”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ

จังหวะนั้น ใครบางคนก็เดินเข้ามาในห้องรับรองพอดี

“อ้าว ท่านพี่เป่ยเฉิน ท่านก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือเจ้าคะ?”

เสียงที่อ่อนหวานดังขึ้นกระทบโสตประสาทของผู้คน

เมื่อหลินเป่ยเฉินหันหลังกลับไปมอง เขาจึงได้พบเข้ากับองค์หญิงอวี่เค่อแห่งจักรวรรดิจี้กวง ผู้สวมใส่ชุดกระโปรงสีชมพูฟูฟ่อง ในอ้อมแขนโอบกอดตุ๊กตาหมีตัวหนึ่ง

สีหน้าของเด็กสาวบอกถึงความประหลาดใจ ราวกับไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบเจอเขาในสถานที่แห่งนี้

ข้างกายอวี่เค่อย่อมยืนไว้ด้วยองค์ชายอวี่ผู้สง่างาม

ด้านหลังขององค์ชายอวี่ ยังมีผู้คนยืนอยู่อีกสองคน

ผู้ที่ยืนทางซ้ายมือเป็นเอกอัครราชทูตแห่งจักรวรรดิจี้กวง เว่ยชงเฟิง

ส่วนผู้ที่ยืนทางขวามือ เป็นมือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่า ผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย และเคยปะทะฝีมือกับหลินเป่ยเฉินมาแล้ว

ระหว่างที่พบเจอกันในเมืองหยุนเมิ่ง มือสังหารธารน้ำแข็งผู้นี้คือคนที่ทำให้หลินเป่ยเฉินเลิกล้มแผนการที่จะลักพาตัวองค์ชายอวี่และบุตรสาวผู้น่ารัก

แต่ตอนนี้เล่า?

หลินเป่ยเฉินมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง

เขาเกือบจะเดินเข้าไปหาถัวป่าและสั่งให้อีกฝ่ายเรียกเขาว่าบิดาแล้ว

“คุณชายหลิน พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”

องค์ชายอวี่พยักหน้าทักทาย

วิธีทักทายขององค์ชายอวี่และบุตรสาวของเขาที่กระทำต่อหลินเป่ยเฉินนั้น ช่วยทำให้บรรยากาศในห้องรับรองผ่อนคลายมากขึ้น

บรรดาขุนนางใหญ่ในจักรวรรดิเป่ยไห่หลายคนได้แต่มองสลับไปมาระหว่างพวกองค์ชายอวี่กับหลินเป่ยเฉิน คล้ายต้องการหาจุดเชื่อมโยงว่าคนทั้งสองฝ่ายนี้ไปรู้จักกันมาได้อย่างไร

โดยเฉพาะพวกของไต้อวี่เต๋อที่ถึงกับยิ้มเหยียดหยามออกมาแล้ว

หลินเป่ยเฉินพ่นลมผ่านทางจมูก

สมแล้วที่เป็นคู่พ่อลูกจากนรก

เพียงปรากฏตัวไม่กี่ลมหายใจ ก็สามารถทำให้เขาถูกพวกเดียวกันเองเกลียดชังได้สำเร็จ

“คนพวกนี้เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินหันกลับมาสอบถามต่อจั่วเซียง “พวกเขาไม่กลัวโดนเรารุมฆ่าตายหรือ?”

ท่านเสนาบดีจั่วเซียงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ตอบว่า “คุณชายใจเย็นก่อน นี่คือการประลองของตัวแทนสองจักรวรรดิ แขกจากจักรวรรดิจี้กวงย่อมมีสิทธิ์เข้ามารับชมการต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามาที่นี่เพื่อทำภารกิจจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง จึงถือว่าได้รับความคุ้มครองทางการทูตจากทุกจักรวรรดิทั่วแผ่นดินตงเต้าโดยปริยาย”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”

หลินเป่ยเฉินต้องล้มเลิกความคิดที่จะลักพาตัวองค์ชายอวี่กับบุตรสาวเพื่อเล่นงานจักรวรรดิจี้กวงอีกครั้ง

เขาได้ยินมาว่าคณะทูตที่รับภารกิจมาจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง มักจะมียอดฝีมือขั้นเซียนระดับห้าคอยอารักขาความปลอดภัยอยู่เสมอ

เพราะฉะนั้น

อย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า

ถึงอย่างไรก็ต้องไว้หน้ากลุ่มพันธมิตรอะไรนั่นบ้าง

องค์ชายอวี่ไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาของหลินเป่ยเฉินจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย

หลังจากนั้น เขาเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ยาวบุหนังสัตว์ตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากโต๊ะของพวกหลินเป่ยเฉินประมาณห้าวา ท่วงท่าขององค์ชายอวี่ยังคงสง่างามไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ทอดสายตามองออกไปนอกม่านพลังโปร่งใส จับจ้องไปที่กลางสังเวียนเฟิงอวิ๋นหมายเลขหนึ่งเขม็ง

การเตรียมการของทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นลงแล้ว เหลือแค่รอให้คู่ประลองเดินขึ้นสังเวียนเท่านั้น การต่อสู้ก็จะเริ่มขึ้น

“ท่านพี่เป่ยเฉิน ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”

องค์หญิงอวี่เค่อหน้างอ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่น “คราวที่แล้วพวกเราพบเจอกันในเมืองหยุนเมิ่ง อุตส่าห์พูดคุยกันถูกคอ แต่น่าเสียดายที่นัดพบครั้งต่อมา ท่านพี่เป่ยเฉินกลับไม่ยอมมาหาข้า ปล่อยให้ข้ารอเสียทั้งวัน”

นางกำลังพูดถึงเรื่องผ้าเช็ดหน้าปักลายของพี่สาวเขา

แต่ด้วยวาจาเช่นนี้ ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้

จึงทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดเป็นอื่น

หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “เมื่อข้าได้ในสิ่งที่ข้าต้องการแล้ว ข้ายังจะต้องกลับไปพบเจ้าอีกทำไม อาหารบางชนิดเพียงรับประทานครั้งเดียว คนบางคนก็ไม่คิดรับประทานอีกตลอดชีวิต”

อยากรับบทเด็กสาวผู้ขมขื่นนักใช่ไหม

ได้เลย หลินเป่ยเฉินคนนี้แหละที่จะทำให้เจ้าต้องขมขื่นจริง ๆ

เป็นไปตามคาด เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าขององค์หญิงอวี่เค่อก็แปรเปลี่ยนไปทันที

ทุกสายตาในห้องรับรองล้วนจ้องมองไปที่ใบหน้าอันงดงามขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิจี้กวง และเริ่มมีเสียงซุบซิบนินทาขึ้นมาบ้างแล้ว

หลินเป่ยเฉินถือว่าเป็นบุคคลเสเพลที่แท้จริง แม้แต่กับองค์หญิงจากจักรวรรดิจี้กวงก็ยังสามารถหักหาญน้ำใจได้ลงคอ… เฮ้อ ไม่มีผู้ใดจะไร้ยางอายมากไปกว่านี้อีกแล้ว

และพวกเขาก็รู้สึกอิจฉาเด็กหนุ่มคนนี้เช่นกัน

หลายคนคิดเช่นนั้น

องค์ชายอวี่หันมองหน้าบุตรสาวของตนเองและอดหัวเราะออกมาไม่ได้

ในที่สุด นางก็เจอกับคู่ปรับที่เหมาะสมแล้ว

ความอ่อนหวานก่อนหน้านี้หายลับไปจากใบหน้าขององค์หญิงอวี่เค่อหมดสิ้น เมื่อตั้งสติได้ นางก็พูดออกมาอย่างน่าสงสารว่า “ฮื่อ ท่านพี่เป่ยเฉิน อย่าได้พูดจาล้อเล่น ท่านรู้จักแต่รังแกผู้อื่น ผู้อื่นไม่พูดคุยกับท่านแล้ว”

องค์หญิงอวี่เค่อไม่กล้าพูดจาออกมาโดยพละการอีก นางรีบเดินไปนั่งข้างกายบิดาด้วยความเชื่อฟังและเป็นเด็กดี

หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้สนใจนางเช่นกัน เขาเอาแต่รินน้ำชาของจั่วเซียงและกระดกดื่มจนหมดถ้วย

นี่ไม่เหมือนการดื่มชาอีกแล้ว

แต่มันเป็นการปล้นกันมากกว่า

หลังจากนั้น องค์ชายใหญ่พยายามชวนคุยอีกหลายรอบ แต่หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ไม่กี่อึดใจต่อมา ขุนนางใหญ่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ก็มารวมตัวกันที่ห้องรับรองแห่งนี้ครบถ้วน

แม้แต่กลุ่มองค์ชายก็เดินทางมารับชมการประลองเช่นกัน

รวมถึงบรรดาคุณชายผู้สูงศักดิ์จากตระกูลขุนนางระดับสูง

ทุกคนต่างก็เดินมาทักทายเสนาบดีจั่วเซียงเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ

แต่กลับมีท่าทีเย็นชาต่อหลินเป่ยเฉินอย่างยิ่ง

คุณชายหลินไม่ได้คิดใส่ใจ

เขาไม่ได้ให้ค่ากับพวกที่ชอบประจบสอพลออยู่แล้ว

“คุณชาย พวกเราได้พบเจอกันอีกแล้ว”

เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นทางด้านหลัง

หลินเป่ยเฉินชะงักเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นยืนและเหลียวมองกลับไป สีหน้าของเขาแสดงออกมาถึงความประหลาดใจยิ่งยวด “พี่เสี่ยว ท่านก็มาที่มีด้วยหรือ เอ๊ะ นี่ท่าน… พรวด!”

หลินเป่ยเฉินเกือบจะสำลักน้ำชาในปากออกมา

เพราะว่านายทหารเสี่ยวเย่มาปรากฏตัวที่ห้องรับรองแห่งนี้เช่นกัน

และเขาก็ไม่ได้เป็นนายทหารเสี่ยวเย่คนเดิมอีกต่อไป

เสี่ยวเย่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ สวมใส่เสื้อคลุมประดับดิ้นทองคำที่ตัดเย็บอย่างปราณีต บนศีรษะสวมใส่มงกุฎที่ก็ทำจากทองคำบริสุทธิ์เช่นกัน นั่นบ่งบอกว่าสถานะของเขาย่อมไม่ต่ำต้อย และเข็มขัดหยกที่รัดพันอยู่รอบเอวนั้นอีกเล่า หนวดเคราของเสี่ยวเย่ได้รับการโกนเกลี้ยงเกลา เปิดเผยเห็นถึงใบหน้าแสนหล่อเหลา ลักษณะเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง มิใช่นายทหารผู้มอมแมมอีกแล้ว

ข้างกายเสี่ยวเย่ยืนด้วยชายชราผมขาวเคราขาว รวมถึงเด็กหนุ่มในชุดเสื้อคลุมประดับดิ้นทองคำอีกสองคน

“ผู้เฒ่าเสี่ยว ไม่ได้เจอกันเสียนาน ท่านยังดูแข็งแรงดีเหมือนเดิม”

เสนาบดีจั่วเซียงลุกขึ้นยืนต้อนรับชายชราผมขาวเคราขาวอย่างเป็นมิตร

หลินเป่ยเฉินเห็นดังนี้ก็เข้าใจอะไรบางอย่าง

ปรากฏว่าสถานะของเสี่ยวเย่ไม่ต่ำต้อยแม้แต่น้อย

ส่วนเขา หลินเป่ยเฉินที่ทำตัวเหนือกว่าเสี่ยวเย่ตลอดมา หลังจากนี้คงกลับกลายเป็นผู้ที่ต้องก้มหัวบ้างแล้วกระมัง?