ตอนที่ 894 เศษซากของโลกบน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

แสงสว่างของค่ายกลสีทองเบื้องล่างกระจายออกไป ครู่ต่อมาร่างกายของหลิ่วหมิงก็หายวับร่อนลงข้างศพของหนูยักษ์สีทอง

ครู่หนึ่งให้หลังบนมือเขาก็ถือแก่นปีศาจสีน้ำตาลทองขนาดเท่าไข่ไก่เม็ดหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ายินดี

มีแก่นปีศาจของหนูยักษ์ธาตุดินอันล้ำค่าเม็ดนี้ก็แลกแต้มคุณูปการของนิกายได้จำนวนมาก หนึ่งล้านห้าแสนแต้มคุณูปการที่ต้องใช้ในการเข้าสู่ทางปีศาจร้าย จนวันนี้นับว่ารวบรวมได้ครบแล้ว

“ยินดีกับนายท่านด้วย!” เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เหาะเข้ามา

“วันนี้พวกเจ้าสองตัวควบคุมค่ายกลนี้ได้ไม่เลว ภายหน้าเข้าไปในทางปีศาจร้าย คงจะช่วยข้าได้อีกแรงหนึ่ง!” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ ชมเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์สองสามประโยค

เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ได้ฟังย่อมยินดียิ่งนัก

ผลปรากฏว่าขณะที่หลิ่วหมิงกำลังจะพูดอะไรอีกสักหน่อย ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลส่งสารที่ส่องแสงสีขาวเรืองรองแผ่นหนึ่งออกมา

“หลิ่วหมิง ไม่ว่าเวลานี้เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่กลับมานิกายเดี๋ยวนี้ อย่าได้ชักช้า!” เสียงของอินจิ่วหลิงฉับพลันดังออกมาจากในแผ่นค่ายกล

หลิ่วหมิงได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสียงของอินจิ่วหลิงฟังดูจริงจังอย่างยิ่ง ดูท่านิกายจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรบางอย่าง

เขาครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าไม่กล้าชักช้า เขาเก็บอุปกรณ์วางมหาค่ายกลโปรดสัตว์รวมถึงแก่นปีศาจของหนูยักษ์ไปในทันใด

เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็หมุนตัวอยู่กับที่กลายเป็นแสงสีดำสองสายมุดเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิง

จากนั้นหลิ่วหมิงก็ไม่พูดพร่ำเรียกเรือหยกจันทราออกมา แสงสีขาวสายหนึ่งยกร่างเขาลอยขึ้นมุ่งหน้าไปไกลอย่างเร็วรี่

สิ่งที่หลิ่วหมิงไม่รู้ก็คือ ภาพคล้ายคลึงกันนี้กำลังเกิดขึ้นไม่หยุดทั่วทั้งแผ่นดินจงเทียน

ในชั่วเวลาหนึ่งนิกายใหญ่ต่างๆ ล้วนออกคำสั่งลับเรียกรวมตัวศิษย์แกนนำระดับผลึกไปจนถึงระดับแก่นแท้ที่ฝึกวิชาอยู่ข้างนอกให้ทยอยเดินทางกลับไปยังนิกายของแต่ละคน

หลิ่วหมิงกลับมาถึงนิกายยอดบริสุทธิ์หนึ่งเดือนให้หลัง

เขาเร่งเดินทางไปชั้นสองของหอลี้ลับส่งมอบภารกิจล่าราชาหนูมุดดินขนทองด้วยท่าทางเร่งรีบ จากนั้นจึงขี่เมฆมาถึงหน้าวิหารหลักบนยอดเขาลั่วโยวโดยไม่หยุดแวะพัก

“อ้อ! คารวะศิษย์พี่หลิ่ว!” หลังศิษย์ยอดเขาลั่วโยวคนหนึ่งที่เฝ้าประตูเห็นหลิ่วหมิงก็รีบคำนับด้วยสีหน้านอบน้อม

เขากำลังจะให้ศิษย์ที่เฝ้าประตูเข้าไปแจ้ง ในวิหารหลักก็มีเสียงอินจิ่วหลิงดังออกมา

“หลิ่วหมิงใช่ไหม รีบเข้ามาเถอะ ไม่ต้องแจ้งแล้ว”

ในวิหารหลัก อินจิ่วหลิงที่สวมชุดสีดำกำลังนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ประธาน ด้านข้างมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่อีกคน คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสแซ่เถียนที่หลิ่วหมิงเคยพบหน้าหลายครั้ง

ทั้งสองคนเหมือนจะหารือเรื่องอะไรกันมานานแล้วก่อนหน้านี้

“ศิษย์คารวะอาจารย์ คารวะอาจารย์เถียน” หลิ่วหมิงสงสัย แต่ก็คำนับเอ่ยทักทั้งสองคนอย่างนอบน้อม

“อืม เจ้าก็นั่งลงเถอะ” อินจิ่วหลิงเห็นหลิ่วหมิงศิษย์ผู้น่าภาคภูมิใจคนนี้เดินเข้ามา ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ พลางกวักมือเรียกเขา

“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง” หลิ่วหมิงนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างโดยไม่ปฏิเสธ

“ข้าได้ยินว่าระยะนี้เจ้าวุ่นวายอยู่กับการรับภารกิจของนิกายจากหอความเป็นความตายกับหอลี้ลับเพื่อสะสมแต้มคุณูปการเข้าทางปีศาจร้ายหรือ?” อินจิ่วหลิงเอ่ยขึ้นเหมือนสนทนาสัพเพเหระ

“อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง” หลิ่วหมิงบอกตามจริง

“แม้เรื่องนี้สำคัญ แต่ก็ต้องระวังความปลอดภัยของตัวเจ้าเองด้วย” อินจิ่วหลิงเอ่ยกำชับ

ตอนนี้หลิ่วหมิงเหมือนจะเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์สายในไปแล้ว และยังเป็นดวงดาราแห่งความหวังของยอดเขาลั่วโยวอีกด้วย จะให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรไม่ได้เด็ดขาด

“ขอบคุณอาจารย์ยิ่งนักที่เป็นห่วง ศิษย์เข้าใจดี” หลิ่วหมิงได้ยินหัวใจก็อบอุ่นขึ้นมานิดๆ

ยังไม่ต้องสนใจว่าอินจิ่วหลิงมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ นับตั้งแต่เขาเข้ามาในยอดเขาลั่วโยว อีกฝ่ายก็ค่อนข้างเอาใจใส่เขามาตลอด ทั้งยังใช้ทรัพยากรจำนวนมากช่วยให้เขาสร้างแก่นเสมือนสำเร็จอย่างไม่เสียดาย หลิ่วหมิงรู้สึกขอบคุณเขายิ่งนัก

“ศิษย์หลานหลิ่ว ความจริงที่เรียกเจ้ากลับมานิกายครั้งนี้ก็เพราะเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง อีกไม่นานจะถึงเวลาที่เศษซากโลกบนของแผ่นดินจงเทียนจะเปิดออกแล้ว” หลังจากผู้อาวุโสเถียนรอให้หลิ่วหมิงสนทนากับอินจิ่วหลงจบก็พลันเอ่ยแทรกขึ้นมา

“เศษซากของโลกบนหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตะลึงไป ชื่อนี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

“ฮ่ะๆ เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก เรื่องนี้ในนิกายยอดบริสุทธิ์เองก็นับว่าเป็นความลับสุดยอด สิ่งที่เรียกว่าเศษซากของโลกบน ที่จริงก็นับได้ว่าเป็นซากปรักหักพังบางส่วนของโลกที่มีระดับสูงยิ่งกว่าแผ่นดินจงเทียน” อินจิ่วหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ

“โลกที่ระดับสูงกว่าหรือ?”

หลิ่วหมิงตกตะลึงจริงๆ!

แผ่นดินจงเทียนคือดินแดนต้นกำเนิดของเผ่ามนุษย์ พลังปราณฟ้าดินเข้มข้นอย่างที่สุด ทรัพยากรการฝึกฝนนานาชนิดก็อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง เทียบกับแผ่นดินอวิ๋นชวนที่เป็นบ้านเกิดของเขาแล้ว เรียกได้ว่าที่หนึ่งคือฟ้า อีกที่หนึ่งคือดิน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดอยู่เสมอว่าแผ่นดินจงเทียนนับเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกฝนของมนุษย์แล้ว เมื่อฟังความนัยจากในคำพูดนี้ของอินจิ่วหลิง หรือว่าจะยังมีโลกที่มีระดับสูงกว่าแผ่นดินจงเทียนอยู่อีก?

อินจิ่วหลิงไม่ตกใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของหลิ่วหมิงสักนิด สนใจแต่พูดของตัวเองต่อไป

“นับตั้งแต่ค้นพบเศษซากของโลกบนในสมัยบรรพกาล ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อวัฏจักรวนเวียนทุกสามหมื่นปี พลังที่กั้นกลางระหว่างเขตแดนของซากปรักหักพังกับแผ่นดินจงเทียนจะถูกพลังงานลึกลับสายหนึ่งลดทอนลง บรรดานิกายกลุ่มอำนาจใหญ่มากมายบนโลกมนุษย์ต่างฉวยโอกาสหายากที่นานปีจะมีสักครั้งนี้ ใช้สมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละแห่งเปิดทางไปสู่ซากปรักหักพังของโลกบน”

หลิ่วหมิงฟังมาถึงตรงนี้ ขณะที่ตกตะลึง ในใจก็คาดเดาเนื้อหาหลังจากนี้ได้อยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้เอ่ยปากขัด เพียงฟังต่อไปอย่างนิ่งสงบ

“แม้เศษซากของโลกบนนี้จะเป็นเพียงซากปรักหักพังของโลกแห่งหนึ่ง แต่ด้านในมีสมบัติแห่งฟ้าดินมากมายเพราะพลังปราณฟ้าดินของมันเหนือกว่าโลกมนุษย์ และมีวัตถุจิตวิญญาณล้ำค่าจำนวนไม่น้อยที่สูญหายไปจากโลกมนุษย์นานแล้ว รวมถึงมรดกวิชาและอาวุธเวทที่ผู้แข็งแกร่งในสมัยก่อนของโลกใบนี้ทิ้งเอาไว้ ดังนั้นด้วยเหตุนี้กลุ่มอำนาจและสำนักนิกายที่มีพลังเพียงพอเปิดทางเชื่อมได้ล้วนจะส่งศิษย์จำนวนหนึ่งเข้าไปค้นหารวบรวมสมบัตินานาชนิดด้านในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุจิตวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับระดับดาราพยากรณ์และระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จำนวนหนึ่งในนั้นยิ่งปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด โชควาสนาเช่นนี้เป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ที่กลุ่มอำนาจทั้งหลายหมื่นปียากจะพานพบ นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราในฐานะสี่ยอดนิกายใหญ่แห่งแผ่นดินจงเทียนย่อมเป็นเช่นนี้ดุจเดียวกัน ระยะนี้นิกายเริ่มตระเตรียมดำเนินการแล้ว คนระดับสูงของยอดเขาต่างๆ ก็ตีกลองพร้อมรบคัดเลือกศิษย์หัวกะทิจำนวนหนึ่งเตรียมส่งเข้าไปในเศษซากของโลกบนแล้ว ฟังมาถึงตรงนี้ คิดว่าเจ้าคงจะเดาสาเหตุที่อาจารย์เรียกได้แล้ว” อินจิ่วหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“เหตุใดจึงให้แต่ศิษย์สายในเข้าไป? หากเป็นการค้นหาสมบัติ ส่งศิษย์ลับไปไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสมากกว่าหรือ?” หลิ่วหมิงหักห้ามความประหลาดใจในใจแล้วอ้าปากเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น

“การเปิดทางเชื่อมไปยังเศษซากของโลกบนต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล และเนื่องจากพลังของเขตแดนจำกัดไว้ จำนวนคนและระดับพลังของผู้ที่จะเข้าไปในทางเชื่อมแต่ละแห่งได้จึงล้วนถูกจำกัด ระดับพลังสูงสุดจำกัดอยู่ที่ระดับแก่นแท้ แม้ยิ่งระดับพลังสูง ความปลอดภัยจะมากขึ้นอยู่บ้าง แต่จำนวนคนที่เข้าไปได้ก็จะยิ่งน้อยลงตาม โอกาสจะค้นหาสมบัติพบก็ยิ่งต่ำลงไปอีก เทียบกันแล้วระดับพลังยิ่งต่ำ จำนวนคนที่เข้าไปยังโลกบนจึงจะมากขึ้น ในทางทฤษฎีโอกาสที่จะค้นหาสมบัติพบย่อมจะเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยด้วย โดยทั่วไปแล้วศิษย์ระดับแก่นแท้คนหนึ่งจะแลกให้ศิษย์ระดับผลึกเข้าไปได้สิบคน จากประสบการณ์ของนิกายเราก่อนหน้านี้ ส่งศิษย์ระดับแก่นแท้คนสองคนเข้าไปพร้อมกับศิษย์ระดับผลึกยี่สิบสามสิบคนเหมาะสมที่สุด” อินจิ่วหลิงยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยอธิบายช้าๆ

หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ ในใจก็ลอบพยักหน้า จัดการเช่นนี้เหมาะสมยิ่งจริงๆ

“แม้การเข้าไปเศษซากของโลกบนจะอันตรายมาก สิ้นชีวิตอยู่ข้างในง่ายดายยิ่ง แต่หลังกลับมาสามารถเก็บสมบัติที่ตนเองต้องการจำนวนหนึ่งไว้ได้ ดังนั้นสิทธิในการเข้าไปจึงยังคงเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง จากที่อาจารย์รู้มา ยอดเขาใหญ่ต่างๆ แนะนำศิษย์ที่ยอดเยี่ยมมาแล้วไม่น้อย เนื่องจากจำนวนคนมีจำกัดจึงต้องคัดเลือกเพื่อกำหนดรายชื่อคนที่จะเข้าไปด้านใน แต่ทางท่านประมุขถ่ายทอดคำสั่งลงมาแล้วกำหนดให้เจ้าไป” อินจิ่วหลิงเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็มีความภาคภูมิใจอยู่เล็กน้อย

“ทราบแล้ว ศิษย์จะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังแน่นอน!” หลิ่วหมิงครุ่นคิดรอบหนึ่งก็รู้ว่าตนเองไม่อาจปฏิเสธภารกิจครั้งนี้ได้แน่นอนจึงลุกขึ้นยืนเอ่ยตอบด้วยเสียงนอบน้อมในทันที

“ดีมาก อาจารย์รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางทำให้ยอดเขาเราผิดหวัง การเดินทางไปเศษซากของโลกบนครั้งนี้ นอกจากสี่ยอดนิกายใหญ่ กลุ่มอำนาจเช่นหุบเขาปีศาจสวรรค์ หอเป๋ยโต่วล้วนจะส่งคนเดินทางไป ตระกูลและนิกายสำนักที่ไม่มีความสามารถจะเปิดทางเชื่อมเองเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพันธมิตรกับกลุ่มอำนาจใหญ่เหล่านี้ ส่งศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเข้ามาในคณะเดินทางของกลุ่มอำนาจใหญ่ เพื่อค้นหาสมบัติด้วยกัน นอกเหนือจากนี้ จากบันทึกประวัติศาสตร์ลับของนิกายในอดีต ด้านในเศษซากของโลกบนแห่งนี้จะมีผู้แข็งแกร่งจากกลุ่มอำนาจใหญ่ของแผ่นดินอื่นปรากฏตัวด้วย ในหมู่พวกเขาเหล่านั้นจะมีคนต่างเผ่า เผ่าปีศาจไปจนถึงคนของเผ่ามารมากมาย” หลังจากอินจิ่วหลิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็กำชับด้วยสีหน้าจริงจังอีกหน

“ต่างเผ่า คนของเผ่ามารหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกใจ

“ไม่ผิด อย่างไรเมื่อถึงเวลาแผ่นดินอื่นเช่นแผ่นดินหมานฮวงกับแผ่นดินว่านหมัวล้วนจะเชื่อมต่อกับซากปรักหักพังได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงเรียกได้ว่าอันตรายหนักหนา จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ แม้พลังของเจ้าแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ระดับแก่นแท้ ต้องระวังให้มาก สิ่งเหล่านี้คือตัวช่วยจำนวนหนึ่งที่อาจารย์มอบให้เจ้า เจ้าจงพกติดตัวไว้ เตรียมไว้เผื่อเวลาที่ต้องใช้” อินจิ่วหลิงเอ่ยพลาง ในมือก็ทอแสงสีเงิน ยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งปรากฏออกมาแล้วโยนไปให้หลิ่วหมิง

“ขอบคุณอาจารย์ยิ่งนัก!” หลิ่วหมิงรับมาอย่างนอบน้อม เขาใช้จิตสัมผัสแผ่เข้าไป ด้านในยันต์เก็บของคือยันต์ใสแววววาวสองแผ่นกับขวดหยกสีขาวใบหนึ่ง

ดวงตาเขาเปล่งประกาย ยังไม่ต้องพูดถึงของด้านในขวดหยก แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากยันต์สองแผ่นนี้เห็นชัดว่าคล้ายคลึงกับยันต์เคลื่อนย้ายที่ปีศาจพันมายาเคยใช้

“นี่คือ ‘ยันต์แหวกมิติ’ สองแผ่น ใช้แหวกมิติระยะใกล้เพื่อหนีให้พ้นอันตรายได้ ส่วนในขวดหยกคือโอสถเก้าลี้ลับหวนคืนปราณระดับธรรมดาห้าเม็ด ฟื้นคืนพลังเวทจำนวนหนึ่งได้ในชั่วลมหายใจ เอาไว้ใช้ระหว่างต่อสู้ได้” อินจิ่วหลิงเอ่ยเรียบๆ

หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ดีใจยิ่งนัก

เขามีพลังไว้ใช้รักษาชีวิตไม่มาก แต่มียันต์สองแผ่นนี้กับโอสถหนึ่งขวดนี้เขาย่อมวางใจขึ้นมาก

“ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้เจ้าเอง ก่อนจะเข้าไปในเศษซากของโลกบน นิกายยังจะมีของมอบให้อีก ระยะนี้เจ้าก็รอคำสั่งอยู่ในถ้ำที่พักให้ดีเถิด” อินจิ่วหลิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

“ศิษย์จะจดจำคำสั่งของอาจารย์ให้มั่น!” หลังจากหลิ่วหมิงคำนับอินจิ่วหลิงรวมถึงผู้อาวุโสเถียนครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวก้าวเร็วเดินไปทางประตูของวิหาร