บทที่ 1331 สู้กับศพราชันอีกครั้ง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

เสียงของมู่เฉินสะท้อนทั่วบริเวณ

ซึ่งดึงดูดสายตาตกตะลึงมากมายเข้ามา เพราะไม่มีใครคิดว่าคนแรกที่จะยืนหยัดต่อสู้กับซือเทียนโยวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย

“มันอยากตายนักรึไง!”

สายตาของมั่วซินมืดครึ้มลงเมื่อมองมู่เฉิน เขาได้ลิ้มรสพลังของซากนั่นไปเมื่อครู่ จากการคาดการณ์แม้ว่าเขาจะใช้พลังและนำไพ่ตายออกมาทั้งหมด โอกาสในการชนะของเขาก็ไม่สูงนัก

เพราะศพราชันทรงพลังเกินไป!

มู่เฉินกล้ายืนหยัดต่อสู้กับบางสิ่งที่แม้แต่มั่วซินยังไม่สามารถต่อกรได้ ซึ่งในสายตาเขานี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ

เฉวียนหลัวก็หรี่ตาพร้อมกับแววเยาะเย้ยโค้งที่มุมปาก ชัดว่ากำลังหัวเราะมู่เฉินที่ช่างอหังการเกินไป

“พี่ใหญ่ชิงซวง เขาจะทำได้เหรอ?” ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของชิงซวง แม้ว่าพวกนางจะเคยเห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉินมาก่อนและในใจพวกนางมู่เฉินก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามั่วซินและเฉวียนหลัว

แต่ศัตรูที่ต้องเผชิญในครั้งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่มั่วซินที่ทรงพลังยังถูกซัดกระเด็นออกไปด้วยหมัดเดียว? นอกจากนี้ซือเทียนโยวยังไม่ได้เคลื่อนไหวเลยนะ

ชิงซวงก็เม้มริมฝีปากพร้อมกับความสับสนพล่านในหัวใจ แต่ในเวลานี้ไม่มีอะไรที่พวกนางสามารถทำได้ยกเว้นเชื่อในตัวมู่เฉิน

“ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะทำ ข้าเชื่อว่าเขาน่าจะมีความมั่นใจพอสมควร” ชิงซวงกล่าวว่า จากการรู้จักที่สัมผัสมาก่อนหน้า มู่เฉินมีพื้นนิสัยใจเย็นและไม่ประมาท การฝืนตัวในสนามรบไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำออกมาได้”

ชิงหลิงพยักหน้า นางทำได้แค่ปลอบใจตัวเองในเวลานี้

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจสายตาสงสัยที่จ้องมองมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่ซือเทียนโยวตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยแววตาแหลมคมราวกับเหยี่ยว

“อา แกนั่นเอง…”

ซือเทียนโยวรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นมู่เฉิน ก่อนที่จะหัวเราะออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “แต่แกช่างกล้าที่สะเออะยืนหยัดต่อหน้าข้าแบบนี้”

ซือเทียนโยวมองไปที่ศพพร้อมกับหรี่ตายิ้ม “แกไม่รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของมันเรอะ? หลังจากถูกข้าปรับแต่งแล้วตอนนี้พลังของมันมีมากกว่าเดิมหลายส่วนเลย”

มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น “แล้วยังไงล่ะ? ก็แค่ซากศพไม่ใช่ราชันที่แท้จริง”

“โอ้อวดซะเหลือเกิน” ซือเทียนโยวตอบเสียงเย็นเยือกเมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจศพราชันโดยสิ้นเชิง

“ข้าโอ้อวดหรือไม่ มาสู้กันเดี๋ยวก็รู้” มู่เฉินเยาะเย้ย

ซือเทียนโยวมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นเยือก ไอสังหารกะพริบผ่านดวงตาไป

วาบ!

จังหวะนั้นเองศพราชันก็พุ่งออกมายื่นมือแห้งเหี่ยวทะลุมิติตรงเข้าคว้าลำคอของมู่เฉิน

กรงเล็บทำให้มิติแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พลังน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ทว่ามู่เฉินได้ตั้งระวังศพราชันมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อมิติแตกสลายเขาก็แตะปลายเท้าถอยออกไปทิ้งภาพมายาไว้เบื้องหลัง

ขณะที่ล่าถอย มู่เฉินก็รูดแหวนสีดำบนนิ้ว

ฮึ่ม

แสงพร่างพราวระเบิดออกบนท้องฟ้า ทุกคนพากันตกใจไปเมื่อเห็นร่างเงาหลายพันร่างยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมของมู่เฉิน

เมื่อเงาร่างนับพันปรากฏขึ้นรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ก็กวาดไปทั่วพื้นที่ทั้งหมด

ม่านตาของมั่วซินและเฉวียนหลัวหดเกร็งลงในขณะนี้ กระทั่งพวกเขาที่ใจเย็นก็ยังอกตกใจไม่ได้เมื่อเห็นนักรบหลายพันคนปรากฏตัวออกมา ยิ่งเมื่อรู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต พวกเขาก็ต้องร้องอุทาน “รัศมีจั้นยี่? นี่คือกองทัพหรือเนี่ย?!”

ด้วยรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังนี่จะต้องเป็นกองทัพชั้นยอดแน่นอน

ชิงหลิงและชิงซวงเบิกตากว้าง พักใหญ่กว่าจะร้องอุทานออกมา “เขาครอบครองกองทัพที่ทรงพลังเช่นนี้เชียวหรือ?”

รัศมีจั้นยี่ที่กระจายออกจากกองทัพนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างชิงซวงยังรู้สึกหวาดกลัว

นี่คือกองทัพมังกรดำที่ปรากฏตัวบนท้องฟ้า โดยมีเจียงหลงยืนอยู่ด้านหน้า เขาหันไปมองมู่เฉินป้องมือคารวะ “จอมทัพมู่”

“จอมทัพมู่!”

นักรบมังกรดำหลายพันคนเปล่งเสียงดังกึกก้องออกมาอย่างเป็นระเบียบประหนึ่งเสียงฟ้าคำรนเลยทีเดียว กระบวนทัพนี้ทำให้ผู้คนมากมายตกตะลึง

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ มองที่กองทัพมังกรดำก่อนจะยกคางขึ้นไปในทิศทางของศพ “แม่ทัพเจียงหลง เราได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้งแล้ว”

เจียงหลงหันกลับไปมอง ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังหลังจากเห็นซากร่างนั่น “จอมทัพมู่โปรดสั่งการเพื่อเราจะได้ฉีกศพเส็งเคร็งนั่นเป็นชิ้นๆ”

“ไอ้โง่ทั้งยวง รนหาที่ตาย!”

ซือเทียนโยวยิ้มน่าขนลุกก่อนที่จะสะบัดมือ “ฆ่าพวกมันทั้งหมดซะ!”

โฮก!

ศพคำรามลั่น รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากพวยพุ่ง อึดใจมันก็พ่นควันปีศาจมหาศาลพุ่งใส่กองทัพมังกรดำ

หากนี่เป็นกองทัพธรรมดาปะทะกับศพราชันปีศาจละก็ อาจจะล่มสลายไปในพริบตาพร้อมกับกำลังใจทั้งหมดสูญเสีย แต่นี่คือกองทัพมังกรดำที่สามารถปราบปรามราชันปีศาจได้เมื่อในอดีต แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งเต็มที่ในมือมู่เฉิน แต่ราชันปีศาจตัวนี้ก็เป็นเพียงศพ

“สู้!”

เจียงหลงคำราม นักรบมังกรดำหลายพันคนก็ปลดเปล่งเสียงตะโกน อึดใจต่อมารัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากก็กลายเป็นมหาสมุทรไร้ขอบเขต ขณะที่ม้วนตัว แม้แต่มิติก็ทนรับไม่ได้

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินรวมตัวกับรัศมีจั้นยี่มังกรดำ สัมผัสถึงพลังอันไร้ขอบเขต เพียงแค่คิดกรงเล็บมังกรที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนก็เหยียดขึ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พุ่งไปในทิศทางของศพราชันปีศาจ

“โฮก!”

ศพคำรามไม่ได้ถอยกลับ มันเหวี่ยงฝ่ามือออกไปเพื่อตอบโต้ กำปั้นแห้งเหี่ยวปะทะกับกรงเล็บของมังกรจังใหญ่

ครืนๆๆๆ!

ขณะที่พลังสองสายปะทะกันก็เกิดเสียงสนั่นหวั่นไหว ศพราชันปีศาจก็หยุดชะงัก ทว่ากรงเล็บมังกรถูกผลักกลับไป มิหนำซ้ำยังมีรอยแตกกระจายออกราวกับว่ากำลังจะแตกสลาย

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหดดวงตากับฉากนี้ “พลังของศพนั่นแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ”

ย้อนไปในมิติมังกรดำ แม้ว่าศพราชันปีศาจจะไม่อ่อนแอ แต่ก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดเท่านั้น แต่หลังจากได้รับการปรับแต่งโดยซือเทียนโยว ก็แข็งแกร่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดธรรมดาไปเล็กน้อย

แม้ว่าจะเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ไม่มีใครในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเทียบได้

“จอมทัพมู่ ซือเทียนโยวคงจะใช้ทักษะลับกระตุ้นพลังงานที่เหลืออยู่ในศพ ข้าเกรงว่านักรบมังกรดำสามพันคนจะไม่เพียงพอที่จะปราบแล้ว” เสียงของเจียงหลงซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงดังก้องในโสตประสาทของมู่เฉิน

เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้สึกเช่นกันที่ศพราชันปีศาจแข็งแกร่งขึ้นมาก

มู่เฉินพยักหน้าขณะคลี่ยิ้ม “ในเมื่อสามพันสู้ไม่ได้… ก็เพิ่มไปอีกสองพัน!”

เจียงหลงอึ้งไปจากนั้นก็รีบตอบ “แต่ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของจอมทัพมู่ นักรบสามพันคนเป็นขีด จำกัดแล้ว มิฉะนั้นจะโดนผลกระทบย้อนกลับได้ง่ายนะขอรับ”

มู่เฉินยิ้มบางขณะที่มู่เฉินชุดดำและชุดขาวปรากฏขึ้นข้างกาย เขาคนเดียวสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำสามพันคนเท่านั้น แต่ถ้าสามคนล่ะ

ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา การควบคุมนักรบมังกรดำห้าพันคนก็ไม่เป็นปัญหา

มู่เฉินโบกมือแสงเปล่งออกมาจากแหวนมังกรดำอีกครั้ง อึดใจนักรบอีกสองพันนายก็ปรากฏขึ้น

เมื่อจำนวนนักรบเพิ่มขึ้นก็ทำให้สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป มากจนกระทั่งใบหน้าของมั่วซินและเฉวียนหลัวบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดไปหมด

แม้ว่าพวกเขาจะหวาดเกรงกับกองทัพมังกรดำสามพันคนก่อนหน้า แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะให้พวกเขารู้สึกกลัว แต่ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นอีกสองพันคน ทำให้ขนาดของรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงไปทั้งหัวใจ

‘ไอ้เวรนี่ไปได้กองทัพชั้นยอดนี่มาจากไหน?!’ หัวใจของมั่วซินดิ่งลึกลงราวกับมหาสมุทรขณะที่เขากรีดร้องอยู่ในใจ ในฐานะประมุขน้อยตระกูลมั่วเผ่าฝูถู เขารู้ชัดถึงคุณค่าของกองทัพชั้นยอดนี่

ใบหน้าของเฉวียนหลัวก็สลับไปมาระหว่างเขียวกับขาว ขณะที่มองมู่เฉินอย่างเย็นชา ยามนี้เขารู้สึกหน้าชาไปหมด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาดูถูกมู่เฉิน เนื่องจากตัวเขาโดดเด่นที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถู ซึ่งแม้แต่มั่วซินก็แทบจะไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้

สำหรับมู่เฉิน เขายิ่งมองอย่างดูถูก รู้สึกว่าตราบใดที่ปะทะกันก็จะสามารถซัดมู่เฉินหมอบราบคาบแก้วอย่างง่ายดาย

ดังนั้นสายตานิ่งสงบที่มองมู่เฉินจึงได้แฝงความเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองน่าหัวเราะแค่ไหน

นั่นเป็นเพราะพลังที่เขาภาคภูมิใจไม่เป็นภัยคุกคามต่อมู่เฉินแม้แต่น้อย

พลังที่อีกฝ่ายแสดงออกมาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตัวเขาเลย!

การเทียบนี้ทำให้ใบหน้าของเฉวียนหลัวมืดครึ้มพร้อมกับไอเย็นเยือกวูบไหวในดวงตา

เขารู้สึกว่าภัยคุกคามที่มาจากมู่เฉินยิ่งใหญ่กว่ามั่วซินเสียอีก!

ตู้ม!

ขณะที่หัวใจของมั่วซินและเฉวียนหลัวเต้นรัว นักรบมังกรดำทั้งห้าพันคนก็รวบรวมรัศมีจั้นยี่เข้าด้วยกัน ทันใดนั้นสวรรค์และโลกก็เปลี่ยนไป ความกดดันที่น่ากลัวแผ่ขยายออกไปรุนแรง ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันรุนแรง

มู่เฉินอยู่เหนือกองทัพ ส่วนมู่เฉินชุดดำและชุดขาวนั่งอยู่ท่ามกลางรัศมีจั้นยี่ขนาดใหญ่ ช่วยเขาแบ่งเบาภาระนี้ ขณะที่รู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง มู่เฉินก็หายใจออกเบาๆ

ระดับของรัศมีจั้นยี่นี้น่าจะเป็นขีดจำกัดในปัจจุบันของเขา ด้วยสิ่งนี้เขาถึงมีพลังพอจะเผชิญหน้ากับศพราชันปีศาจได้

ดังนั้นเมื่อเขากวาดสายตาจ้องมองใบหน้าซือเทียนโยวที่เปลี่ยนไป เสียงหัวเราะแผ่วเบาก็สะท้อนไปมา

“มาลองกันอีกรอบไหมล่ะ?”