บทที่ 915 สิบหกกระบี่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 915 สิบหกกระบี่

“ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจเกินไปแล้ว”

เกาเฉิงฮั่นยิ้มออกมาเล็กน้อย น้ำเสียงยังหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหว “แต่เกรงว่าผลการต่อสู้ในครั้งนี้ย่อมต้องเหมือนครั้งสุดท้าย เจ้าคงไม่มีโอกาสได้แผลงศรเสียด้วยซ้ำ”

อวี้ซือไป๋ยิ้มเย็นชาด้วยความเหยียดหยาม “จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นรอยแผลเป็นบนหน้าอกของท่าน ไม่ทราบว่าหายดีแล้วหรือยัง?”

เกาเฉิงฮั่นตอบกลับไปแผ่วเบา “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว”

“ย่อมได้”

อวี้ซือไป๋มีสีหน้าเย็นชาขณะยกมือขวาขึ้นมาช้า ๆ “ท่านโปรดดูให้ดีว่าอะไรอยู่ในมือข้า”

ปรากฏแสงสว่างสีเงินวูบวาบในอากาศ

แล้วคันธนูสีเงินที่มีประกายราวกับทำมาจากผลึกน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง

อากาศรอบกายเย็นเฉียบทันที

เมื่ออวี้ซือไป๋ถือคันธนูอยู่ในมือ บริเวณซีกขวาของร่างกายแทบจะถูกไอน้ำแข็งปกคลุมหมดสิ้น

และไอน้ำแข็งเหล่านั้นคล้ายกับจะเป็นชุดเกราะคุ้มครองร่างกายของนาง

ในห้องรับรอง

“นั่นมันคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ไม่ใช่หรือ?”

เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงบนเวทีประลอง สีหน้าของจั่วเซียงก็แปรเปลี่ยนไปทันที

“อย่าบอกนะว่านั่นคือคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ในตำนาน?”

เสี่ยวเหยียนอดีตขุนพลชื่อดังประจำกองทัพเลิกคิ้วขึ้นสูง พูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เป็นไปไม่ได้ อาวุธชิ้นนี้ถือเป็นสมบัติแห่งชาติของจักรวรรดิจี้กวง เหตุไฉนถึงมาอยู่ในมือของอวี้ซือไป๋ได้เล่า?”

เมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสองท่านแสดงอาการตกตะลึงถึงเพียงนี้ หลินเป่ยเฉินก็อดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า

“คันธนูนี้น่ากลัวมากเลยหรือขอรับ?”

จั่วเซียงหันมาตอบว่า “มันคือหนึ่งในสามสุดยอดศาสตราวุธของจักรวรรดิจี้กวง มีที่มาที่ไปลึกลับและมีพลังทำลายล้างรุนแรง ตามตำนานเล่าขานว่าเพียงยิงธนูดอกเดียวก็สามารถสังหารเทพเจ้าได้แล้ว”

หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นดวงตาก็เป็นประกายวาวโรจน์

ให้ตายสิ!

คันธนูนี้เหมาะสมสำหรับเขามาก

อีกอย่าง เขาเก่งเรื่องการยิงธนูอยู่แล้ว

“ดูเหมือนธนูคันนี้คงต้องเป็นของข้าแล้วสิ”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงร่าเริงเป็นอย่างยิ่ง

จั่วเซียงขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

เสี่ยวเหยียนก็อยู่ในอาการเดียวกัน

เจ้าเด็กคนนี้เพ้อฝันอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนสีหน้ากลับมาทำเป็นจริงจังขึงขัง “ข้ากำลังพูดจริง ๆ นะขอรับ พวกท่านไม่ได้ยินหรืออย่างไร? ธนูคันนี้กำลังเรียกร้องหาข้า… อ้าาา ฟังดูให้ดีสิขอรับ มันกำลังร้องเรียกว่าคุณชายหลินเป่ยเฉิน ข้าอยู่ที่นี่ รีบพาข้าไปอยู่กับท่านเร็วเข้า ข้าเกิดมาเพื่อเป็นของท่าน… ข้าไม่อยากอยู่กับนางแล้ว”

จั่วเซียงกับเสี่ยวเหยียนพร้อมใจกันเบือนหน้าหนี

พวกเขาไม่ให้ความสนใจกับหลินเป่ยเฉินอีก

“คราวนี้เกาเฉิงฮั่นมีปัญหาแล้ว”

จั่วเซียงจ้องมองไปที่สังเวียนเฟิงอวิ๋นอีกครั้ง ดวงตาของเขาเป็นประกายเคร่งเครียด ในสมองกำลังร่างแผนการแก้ไขสถานการณ์โดยเร็ว

แต่คงไม่มีทางหยุดยั้งการประลองครั้งนี้ได้อีก

ขอเลื่อนการประลองก็คงไม่เป็นผล

อาวุธที่จะใช้ต่อกรกับคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้นั้นใช่ว่าจะไม่มี

เพียงแต่มันไม่ได้อยู่ในมือเกาเฉิงฮั่นเท่านั้นเอง

จะหามาให้บัดนี้ก็ช้าเกินไปแล้ว

ก็ใครจะไปคิดเลยว่าจักรวรรดิจี้กวงถึงกับยอมส่งมอบอาวุธประจำชาติให้แก่อวี้ซือไป๋พกพามาที่นครหลวงของฝ่ายศัตรูเยี่ยงนี้?

พวกนั้นไม่กลัวอาวุธถูกขโมยไปหรืออย่างไร?

หากอาวุธประจำชาติถูกขโมย จักรวรรดิจี้กวงก็แทบล่มสลายแล้ว

“บัดซบที่สุด”

“ที่มั่นใจขนาดนี้ก็เพราะอวี้ซือไป๋มีของดีอยู่ในมือนี่เองสินะ”

“ความยุติธรรมอยู่หนใด? หน้าไม่อาย…”

ในห้องรับรองขณะนี้ ผู้คนจำนวนมากมีความรู้กว้างขวางและมีสายตาเฉียบแหลม พวกเขาย่อมจดจำได้ว่าคันธนูผลึกน้ำแข็งนี้คืออาวุธระดับสูง จึงอดระบายอารมณ์ออกมาไม่ได้

เพราะมันเป็นอาวุธที่ไม่ควรใช้ในการประลองตัวต่อตัว

ความน่ากลัวของคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้นั้น เมื่อตกไปอยู่ในมือของผู้มีพลังระดับเซียน มันก็มีอานุภาพการทำลายล้างรุนแรงมากพอที่จะกวาดล้างจักรวรรดิเล็ก ๆ ได้เลยทีเดียว

เมื่อถูกนำมาใช้ในสังเวียนการประลอง ต่อให้อีกฝ่ายมีระดับพลังเท่ากัน ก็หาใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไปไม่

บัดนี้ บรรดาขุนนางใหญ่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ต่างก็แสดงสีหน้าวิตกกังวลชัดเจน

ส่วนผู้คนที่มาจากจักรวรรดิจี้กวง อย่างเช่นองค์ชายอวี่ขณะนี้ย่อมมีสีหน้าคาดหวัง

นี่คือโอกาสที่พวกเขารอคอยมานานแล้ว

“เพราะแบบนี้เองสินะ อวี้ซือไป๋ถึงใจกล้ามาท้าเกาเฉิงฮั่นต่อสู้ ทั้ง ๆ ที่ตนเองกำลังจะต้องประลองกับหลินเป่ยเฉินในอีกสามวันข้างหน้า”

สมองของจั่วเซียงทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วไว เขาหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “สตรีนางนี้นางตั้งใจฆ่าเกาเฉิงฮั่นก่อนแล้วค่อยฆ่าท่านทีหลัง นางตั้งใจจะฆ่าผู้มีพลังระดับเซียนของจักรวรรดิเป่ยไห่ถึงสองคน… ช่างทะเยอทะยานและใจกล้านัก”

ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ปัจจัยสำคัญคืออวี้ซือไป๋มีคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้อยู่ในมือ

เพราะฉะนั้น การสังหารเกาเฉิงฮั่นก่อน แล้วตามด้วยการสังหารหลินเป่ยเฉินทีหลัง ย่อมไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกแล้ว

มันแทบจะกลายเป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง

เพราะการต่อสู้ในวันนี้ เกาเฉิงฮั่นคงไม่สามารถหลีกหนีความพ่ายแพ้ได้เลย

และในการประลองเดิมพันชีวิตอีกสามวันข้างหน้า ต่อให้จักรวรรดิเป่ยไห่มอบกระบี่ประจำชาติให้แก่หลินเป่ยเฉิน มันก็คงแก้ไขสถานการณ์อะไรไม่ได้อีกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น หลินเป่ยเฉินคือผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองแดงหน้าใหม่

ในขณะที่อวี้ซือไป๋เป็นผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญเงินมากประสบการณ์

ช่องว่างของระดับพลังและประสบการณ์ต่อสู้ยังห่างชั้นกันมากเกินไป

สำหรับจักรวรรดิเป่ยไห่ ความตายของผู้มีพลังระดับเซียนสองคนในเวลาที่ห่างกันเพียงไม่กี่วัน ย่อมกลายเป็นหายนะใหญ่หลวง เมื่อการจัดลำดับจักรวรรดิมาถึงในอนาคตข้างหน้า พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ต่อรองแย่งชิงอำนาจอีกแล้ว

หายนะครั้งใหญ่กำลังจะมาเยือน

ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในสมองของจั่วเซียง

แต่ลมหายใจต่อมา เขากลับต้องหยุดชะงัก

เนื่องจากว่าบนสังเวียนเฟิงอวิ๋น กระบี่สีม่วงเล่มหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในมือของเกาเฉิงฮั่น

“นั่นมัน… กระบี่สายฟ้าไม่ใช่หรือ?”

จั่วเซียงอุทานออกมาด้วยความแตกตื่น

ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาในทันใด

สีหน้าของชายชราปรากฏความหวัง เขาหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อ “เป็นฝีมือของคุณชายหรือ?”

จั่วเซียงทราบถึงที่มาที่ไปของกระบี่สายฟ้าเป็นอย่างดี

เดิมทีมันเป็นอาวุธของขุนนางตระกูลเว่ย ซึ่งถูกส่งมอบให้กลายเป็นอาวุธคู่กายของจูปี้ฉี เนื่องจากชายชรามีพลังปราณธาตุเหมาะสมกับกระบี่เล่มนี้ ภายหลังจูปี้ฉีพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉิน กระบี่สายฟ้าจึงตกมาอยู่ในมือของเด็กหนุ่มนับจากนั้นเป็นต้นมา

ถึงกระบี่เล่มนี้จะเทียบไม่ได้กับอาวุธประจำชาติ แต่ก็นับว่าเป็นกระบี่ที่ทรงพลังเล่มหนึ่ง

เมื่อมีกระบี่เล่มนี้อยู่ในมือ ผู้ใดจะกล้าบอกว่าเกาเฉิงฮั่นไม่มีหวังที่จะชนะ?

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่แล้ว”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก พูดว่า “ข้าใช้กระบี่เล่มนี้ซื้อใจพี่ใหญ่เกา”

พี่ใหญ่เกา?

เมื่อได้รับฟังดังนั้น จั่วเซียงก็ต้องหัวเราะออกมาอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินนับเป็นเด็กหนุ่มสมองเสื่อมจริง ๆ และนั่นก็หมายความว่าเขาแยกความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ไม่ได้อีกแล้ว

บนสังเวียนเฟิงอวิ๋น

“ชักกระบี่ออกมา คันธนูอยู่ในมือข้าแล้ว ข้าจะให้โอกาสท่านชักกระบี่”

อวี้ซือไป๋ค่อย ๆ ดึงสายตาออกมาจากกระบี่สายฟ้าในมือเกาเฉิงฮั่น สีหน้าของนางยังคงเยือกเย็น น้ำเสียงบอกชัดถึงความเวทนา

เกาเฉิงฮั่นชักกระบี่ออกมาด้วยมือซ้าย

มือขวายกขึ้นจรดหน้าอก

วูบ!

กระบี่สายฟ้าสั่นไหวเล็กน้อย

วูบบบ!

กระบี่เงิน 16 เล่มพลันปรากฏขึ้นในอากาศ

กระบี่ทั้ง 16 เล่มนี้ลอยฉวัดเฉวียนมาเรียงแถวอยู่เบื้องหน้าแม่ทัพหนุ่มใหญ่และปลายกระบี่ก็ชี้ไปหาอวี้ซือไป๋เป็นจุดเดียว

“กระบี่ 16 เล่ม? นี่ท่านเลื่อนระดับพลังได้แล้วหรือ?”

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอวี้ซือไป๋ “เหอเหอเหอ คิดไม่ถึงเลยว่าท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น กลับยังสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้อีกหนึ่งขั้น ถึงขนาดควบคุมกระบี่ได้ตั้ง 16 เล่ม ดูเหมือนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านคงต้องเหนื่อยหนักมากทีเดียว… ประเสริฐ ในที่สุดการต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป”

เกาเฉิงฮั่นมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ตอบรับคำใด

นิ้วมือขวาของเขาเคลื่อนไหวตลอดเวลาราวกับกลีบดอกบัวที่บานเข้าบานออก

ช่องว่างระหว่างนิ้วมือของแม่ทัพใหญ่ปรากฏแสงสว่างวิบวับแวววาว และเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น กระบี่ทั้ง 16 เล่มที่กำลังสั่นไหวอยู่ในอากาศก็ตกอยู่ในสภาพหยุดนิ่งไม่ไหวติง

แต่พลังคุกคามยังแผ่ออกมาจากตัวกระบี่อย่างชัดเจน

บัดนี้ คนดูกว่า 500,000 ชีวิตรอบสังเวียนเฟิงอวิ๋นรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ร่างกายของพวกเขาถึงกับสั่นเทาเล็กน้อย ราวกับว่าชายวัยกลางคนในชุดขาวผู้นี้คือเทพเจ้าที่โบยบินลงมาจากสรวงสวรรค์

ทักษะการควบคุมกระบี่?

“นี่หรือคือทักษะประจำตัวของพี่ใหญ่เกา?”

หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

การต่อสู้ในวันนี้ เพียงเริ่มต้นเคลื่อนไหวกระบวนท่าแรก เกาเฉิงฮั่นก็ถึงกับแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองออกมา

ในวันนั้นตอนที่ต่อสู้กับเหลียงหยวนเตา ตัวประหลาดจากเผ่าพันธุ์มารโลหิต เกาเฉิงฮั่นก็เคยใช้กระบวนท่าที่คล้ายคลึงกันนี้ออกมาแล้วเช่นกัน

หากวันนี้ใช้กระบวนท่าเดียวกัน ไม่ทราบว่าจะสามารถเอาชนะอวี้ซือไป๋ ผู้มีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับสามได้หรือไม่?

หัวใจของทุกคนเต้นระทึกจนแทบจะกระดอนออกมาอยู่นอกหน้าอก

“โจมตี!!”

เกาเฉิงฮั่นออกคำสั่ง น้ำเสียงหนักแน่น

วูบ! วูบ! วูบ!

พลัน กระบี่ทั้ง 16 เล่มของเขาพุ่งแหวกอากาศออกไป