ตอนที่ 2213

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,213 : โชคชะตามักเล่นตลกกับผู้คน

 

 

“ใต้เท้า ท่านมิคิดไปทักทายมันจริงๆหรือ?”

 

ภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ผู้เฒ่าหั่วยิ้มเจื่อนๆขณะส่งเสียงไปกล่าวถามชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนก

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่ต้วนหลิงเทียนเผชิญหน้ากับถังซวนจ้าวลัทธิบูชาไฟ และกำลังตกอยู่ในอันตราย ชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกคนนี้ก็ได้สั่งให้มันหลอกต้วนหลิงเทียนให้นำยอดสมบัติสวรรค์ทั้ง 2 ชิ้นอย่าง กระบี่นิลสวรรค์ และ บรรทัดจักรวาลกลับเข้ามาเก็บไว้ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ…

 

และเรื่องที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวว่าจะส่งต้วนหลิงเทียนไปยังภูมิภาคเบื้องล่าง ก็เป็นการชี้นำจากชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผู้นี้เหมือนกัน

 

ผู้ที่สร้างม่านพลังกั้นขวางการโจมตีของถังซวน ทั้งเปิดรอยแยกมิติรวมถึงใช้พลังผลักร่างพวกต้วนหลิงเทียนเข้าไปก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผู้นี้เหมือนเดิม!

 

ที่สำคัญชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผู้นี้ ก็เป็นคนที่สะบั้นพันธะระหว่างต้วนหลิงเทียนกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ! ทำให้ต้วนหลิงเทียนสูญเสียการครอบครองเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไป!!

 

ผู้เฒ่าหั่วสามารถจินตนาการได้เลย

 

หากต้วนหลิงเทียนพบว่าพันธะระหว่างตัวเองกับเจดีย์ขาดสะบั้นลงหลังไปถึงภูมิภาคเบื้องล่าง ไม่ทราบว่าจะคิดไปในแง่ร้ายถึงขนาดไหน…

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้มันกล่าวถามชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกออกมา

 

และชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกผู้นี้ก็คือ วิญญาณกระบี่กวงหลิง! จิตวิญญาณสถิตย์กระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ!

 

“ข้ามีแผนของข้า…”

 

ได้ยินเสียงผ่านพลังจากผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์ วิญญาณกระบี่กวงหลิง ตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นร่างก็เหินทะยานขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่จะอันตรธานหายไป

 

ไม่ทราบว่าเวลามันผ่านไปนานเพียงใด หรือเหินร่างขึ้นไปสูงเพียงใด

 

แต่ในที่สุดชายหนุ่มในชุดแดงเลือดนกก็หยุดลง

 

ครู่ต่อมา

 

วู้มมม!

 

วิญญาณกระบี่กวงหลิงโบกมือส่งๆตามอำเภอใจคราหนึ่ง ปรากฏเป็นพลังกระบี่สีเลือดพุ่งทะยานออกมาจากปลายนิ้ว ฉีกทะลวงความว่างเปล่าจนบังเกิดเป็นรอยแยกอันน่ากลัว!

 

เป็นรอยแยกที่เปิดกว้างถึง 10 หมี่ ใหญ่โตจนน่ากลัวราวกับปากของอสูรกายตัวเขื่อง+

 

จากนั้นร่างวิญญาณกระบี่กวงหลิง ก็เหินเข้าสู่รอยแยกกนั่นไปพร้อมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ

 

หลังวิญญาณกระบี่กวงหลิงพร้อมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติจมหายเข้าไปในรอยแยกแล้ว รอยแยกดังกล่าวก็เริ่มปิดตัวลง

 

เพียงชั่วพริบตารอยแยกก็ปิดสนิท คล้ายไม่เคยมีมาก่อน

 

บรรยากาศรอบรอยแยกก็หวนคืนสู่ความปกติ

 

นอกเขตลัทธิบูชาไฟ ห่างออกไปทางฝั่งตะวันออก…

 

เหล่าระดับสูงของลัทธิบูชาไฟพากันเหินร่างกลับมาด้วยสีหน้าหม่นหมอง

 

ระดับสูงของลัทธิบูชาไฟเหล่านี้นำมาโดยรองจ้าวลัทธิบูชาไฟ 2 คน ส่วนที่เหลือก็เป็นผู้อาวุโสเพลิงทอง ที่เป็นจ้าวแท่นบูชาต่างๆรวมถึงชนชั้นรองจ้าวหอคุมกฏ

 

“ให้ตายเถอะ…พวกเรางมหากันอยู่นานแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของพลองธัมมะ…สงสัยในบรรดาท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 4 คงมีคนใดที่พบเจอและเก็บมันไปแล้วแน่ๆ”

 

ทันใดนั้นอาวุโสเพลิงทองคนหนึ่งพลันกล่าวคาดเดาออกมา

“อาจเป็นได้…ท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 4 เร็วกว่าพวกเรามาก และพวกเราก็ไม่พบเจอพวกท่านเลยตลอดทาง…9 ใน 10 ไม่พ้นยอดศาสตราเซียนพลองธัมมะคงตกไปอยู่ในมือท่านใดสักท่านแล้วล่ะ”

 

อาวุโสเพลิงทองอีกคนพยักหน้า กล่าววาจาเห็นด้วยกับอาวุโสคนก่อน

 

“โอย ท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ก็จริงๆเลย เจอพลองธัมมะแล้วก็น่าจะบอกพวกเรากันบ้าง…เงียบไปเช่นนี้พวกเราก็หากันไปเถอะ! วิ่งวุ่นหากันราวตัวโง่งมแต่สุดท้ายก็ไม่เจออะไร…”

 

วาจากล่าวบ่นนี้ของมัน ยังนับว่าโดนใจใครหลายคนๆ

 

กระทั่งรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 เองก็เห็นด้วย

 

“แต่ไม่รู้ว่าท่านผู้พิทักษ์คนใดจะโชคดีได้รับพลองธัมมะไป…”

 

หลังเหินร่างกันกลับมาถึงเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว อาวุโสเพลิงทองอีกคนก็ถามเปิดประเด็นขึ้นมา

 

ทันใดนั้น อาวุโสทั้งหลายที่เหินมาตามๆกันก็เริ่มทยอยกันออกความเห็น “ข้าว่าไม่พ้นท่านผู้พิทักษ์สื่อเฟิง!”

 

“นั่นสิ ข้าก็คิดว่าสมควรเป็นท่านผู้พิทักษ์สื่อเฟิง! สุดท้ายแล้วหากไม่นับผู้พิทักษ์หลิงเทียน ในบรรดาคนที่เหลือ ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงก็ร้ายกาจที่สุด พลองธัมมะไม่พ้นอยู่ในมือท่านแล้วล่ะ…”

 

“ข้ากลับไม่คิดแบบนั้นนะ…ถึงแม้ผู้พิทักษ์สื่อเฟิงจะร้ายกาจที่สุด ทำให้มีความเร็วสูงสุดจึงได้เปรียบผู้อื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้โชคดีพบพลองธัมมะ เพราะอย่างไรของแบบนี้ก็อยู่ที่ว่าใครโชคดีกว่ากัน”

 

“จะว่าแบบนั้นมันก็ใช่”

 

……

 

แม้พวกมันจะคาดว่าพลองธัมมะสมควรอยู่ในมือ 1 ใน 4 ผู้พิทักษ์ แต่ความเป็นจริงพลองธัมมะใช่อยู่ในมือของ 4 ผู้พิทักษ์แน่หรือ?

 

คำตอบก็คือ ไม่ เป็นธรรมดา!

 

ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ที่เร่งรุดเหินร่างออกไปตามหาพลองธัมมะที่หลุดมือเหาฉ่วงไปนั้น แม้จะบินว่อนปูพรมค้นหาอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครพบพลองธัมมะสักคน!

 

พวกมันถึงกับสงสัยกันว่าใช่เหาฉ่วงวกกลับมาเก็บพลองธัมมะกลับไปแต่แรกแล้วหรือไม่…เพราะอย่างไรเหาฉ่วงก็ได้เปรียบตรงที่สามารถระบุตำแหน่งพลองธัมมะได้ชัดเจนจากพันธะสัญญา!

 

สุดท้ายพวกมันก็ได้แต่กลับมามือเปล่า

 

หลังจากที่พวกมันกลับมาถึงเขตแท่นบูชาพยัคฆ์ขาว พวกมันก็ได้ยินเสียงเหล่าศิษย์พูดคุยกันถึงเรื่องที่มีคนสู้กันใหญ่โตที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์

 

“หือ? มีคนสู้กันในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ?”

 

พอได้ฟังทั้งหมดก็ชักหน้าเครียด พากันคิดไปว่าไม่พ้นถังซวนที่สู้กันจนลุกลามไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์!

 

ทั้งหมดจึงเร่งรุดเดินทางกกลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่กล้ารอช้า

 

ทว่าหลังมาถึงเกาะหลักแล้ว พวกมันก็พบว่าที่แท้ความเคลื่อนไหวใหญ่โตนั้น เป็นการระเบิดที่บังเกิดขึ้นเหนือฟ้าสูงแค้ครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้ทั้งหมดเหินร่างทะยานฝ่าหมู่เมฆจนมาถึงเกาะสูงสุด

 

“นี่มัน…”

 

พอสายตาทั้ง 4 ตกไปยังเกาะสูงสุด พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

 

เพราะพวกมันได้เห็นชัดถนัดตา

 

ว่าตอนนี้สถานที่บ่มเพาะของถังซวนนั้นยับเยินปานใด คฤหาสน์หลังใหญ่พังทลายไปกว่าครึ่ง สภาพราวกับถูกคลื่นพลังซัดกวาดอย่างแรง!

 

นอกจากนี้ถังซวน จ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกมัน ก็ลอยร่างแน่นิ่งเหนือฟ้าท่ามกลางซากปรักหักพัง ทีท่าขึงขังแววตาจริงจัง ไม่ทราบครุ่นคิดอันใดอยู่

 

“คารวะท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 4”

 

ตอนนี้เองพลันมีร่างหนึ่งเหินทะยานขึ้นมาป้องมือประสานกล่าวคำทักทายต่อผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ที่กำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

 

ร่างดังกล่าวก็เป็นผู้อาวุโสเพลิงเงินที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนพื้นที่แถบนี้นั่นเอง

 

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

ผู้พิทักษ์เหลิ่งอิงมองถามอาวุโสเพลิงเงินผู้มาใหม่ทันที

 

ตอนนี้ไม่ว่าจะมันหรือผู้พิทักษ์คนอื่น ก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้คลุมเครือ

 

เหตุผลที่สถานที่บ่มเพาะของถังซวนพักไปครึ่งแถบแบบนี้ ไม่น่าจะใช่อะไรที่เกิดจากการประมือกับหล่างเชียนจินแน่นอน สมควรลงมือกับคนอื่น!

 

เพราะหากจ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกมันอย่างถังซวน ประมือกับหล่างเชียนจินแถวนี้จริง เกรงว่าคงไม่ใช่ครึ่งคฤหาสน์ที่จะพัง!

 

2 ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน หากปะทะกันขึ้นมา คลื่นพลังสะท้อนทั้งคลื่นกระแทกต้องรุนแรงเหนือจินตนาการ เกรงว่าเกาะทั้งเกาะคงหายไปสิ้น! ไม่น่าพังไปแค่ครึ่งเดียวแบบนี้!!

 

“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น…”

 

อาวุโสเพลิงเงินได้แต่กล่าวตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ข้ารู้เพียงว่า…ไม่นานหลังจากที่ท่านผู้พิทักษ์หลิงเทียนกลับมา ก็เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นที่นี่…พอข้ามาถึงทุกอย่างก็อยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว”

 

“แถมใต้เท้าจ้าวลัทธิเองก็ลอยร่างเหม่อเช่นนั้นมาพักใหญ่…”

 

อาวุโสเพลิงเงินมองไปยังร่างที่ลอยล่องอยู่บนฟ้าเหนือซากปรักหักพัง ถังซวน จ้าวลัทธิบูชาไฟ

 

“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน?”

 

ได้ยินคำของอาวุโสเพลิงเงิน ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 อดขมวดคิ้วไม่ได้

 

หลังจากโบกมือให้อาวุโสเพลิงเงินจากไป ทั้ง 4 ก็เหินร่างเข้าไปหาถังซวนพร้อมๆกัน

 

“ท่านจ้าวลัทธิ…ที่แท้เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?”

 

การมาถึงของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ทำให้ถังซวนที่อยู่ในอาการเหม่อลอยดึงสติกลับมา ก่อนที่สีหน้าตึงเครียดจะค่อยๆผ่อนคลายลง

 

เพราะก่อนหน้านี้ถังซวนตระหนักได้ว่าสมควรมียอดฝีมือที่ทรงพลังเหนือระนาบโลกียะมาช่วยพวกต้วนหลิงเทียนไป และไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะยังซ่อนตัวอยู่ ทำให้มันได้แต่เร่งเร้าสำนึกเทวะระวังตัว ไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า

 

แต่หลังจากมันลอยร่างแน่นิ่งมาพักใหญ่ แต่ยังไร้ความเคลื่อนไหวอะไร

 

กอปรด้วยเห็นว่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 กลับมาแล้ว มันก็พอได้โล่งใจลง และตระหนักได้ว่า 9 ใน 10 ยอดฝีมือผู้นั้นสมควรจากไปแล้วจริงๆ…

 

“ไม่มีอะไรหรอก…”

 

ถังซวนส่ายหน้าไปมา เมื่อถูกผู้พิทักษ์ทั้ง 4 มองถาม

 

ไม่ใช่ว่ามันคิดจะปกปิด เพียงแต่มันไม่รู้ว่าจะเล่าอย่างไรดี..

 

เพราะสุดท้ายแล้วหากไม่ได้มาเห็นกับตา คงไม่มีใครเชื่อได้ลงคอว่าในระนาบโลกียะแห่งนี้จะมีตัวตนที่ทรงพลังถึงขนาดนั้นดำรงอยู่

 

“ว่าแต่…พวกเจ้าพึ่งกลับมาหรือ?”

 

ครู่ต่อมาถังซวนก็พบว่าสารูปของผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ค่อนข้างอิดโรยอยู่บ้าง ราวกับพึ่งกลับมาจากการเดินทางไกล

 

“ค่ะ ท่านจ้าว”

 

ผู้พิทักษ์หงอวิ๋นกล่าวตอบออกมาก่อนใคร ต่อมาก็เริ่มเล่าเรื่องราวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “พวกเรามัวแต่ไปตามหายอดศาสตราเซียนอย่างพลองธัมมะกันอยู่ จึงกลับมาช้า…”

 

“หืม? ยอดศาสตราเซียน พลองธัมมะ รึ?”

 

ลูกตาถังซวนทอประกายจ้าขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินหงอวิ๋นกล่าวถึงพลองธัมมะ “แล้วนี่พวกเจ้าไปได้ข่าวของพลองธัมมะมาจากที่ใด?”

 

“ไม่ใช่ข่าวจากที่ใดหรอกท่านจ้าว…แต่พลองธัมมะนั่นมันอยู่ในมือเหาฉ่วง”

 

หลังจากนั้นเหล่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ก็เริ่มผลัดกันพูด ค่อยๆเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ถังซวนฟัง

 

ในบรรดาเรื่องเล่านั้นแน่นอนว่าย่อมมีเรื่องเหาฉ่วง ที่ปรากฏตัวในฐานะผู้ช่วยของลัทธิอารามทมิฬ

 

นอกจากนั้นยังรวมไปถึงกระบวนท่าไม้ตายของต้วนหลิงเทียน ที่สามารถสยบเหาฉ่วงได้ในกระบี่เดียว…

 

พวกมันกล่าวเล่าทุกอย่างที่เห็นมาให้ถังซวนฟังอย่างไม่มีตกหล่น

 

พอได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถังซวน ที่อึ้งไปขณะฟังเรื่องราวก็ดึงสติกลับมา พร้อมกล่าวออกด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “เจ้านั่น…ถึงขั้นเอาชนะเหาฉ่วงได้ในกระบวนท่าเดียวเลยหรือ?!”

 

สีหน้าถังซวนยิ่งมายิ่งเผยความซับซ้อน

 

หากไม่มี ‘ภัยคุกคาม’ จากยอดฝีมือที่แข็งแกร่งปานเทพเจ้าอย่าง ‘ท่านผู้นั้น’ ยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนอย่างต้วนหลิงเทียน ไม่พ้นเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญที่สุดของลัทธิบูชาไฟ!

 

กำลังรบโดยรวมของลัทธิบูชาไฟจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล หากในลัทธิบูชาไฟมีผู้พิทักษ์หลิงเทียนอยู่ด้วย!

 

“โชคชะตานับว่าเล่นตลกกับผู้คนนัก…”

 

ถังซวนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงต้วนหลิงเทียน ที่ถูกยอดคนไม่ทราบที่มาช่วยเหลือจนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย มันทำได้แค่ระบายลมหายใจหนักอึ้งออกมาอย่างทอดถอนเท่านั้น

 

“ท่านจ้าวลัทธิ…”

 

เห็นสีหน้าท่าทีดังกล่าวของถังซวน ทำให้เหล่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 พากันแปลกใจสงสัย

 

“ผู้พิทักษ์หลิงเทียน ที่แท้เป็นคนบาปที่ธิดาเทพพบเจอในภูมิภาคเบื้องล่าง…ลูกสาวของธิดาเทพ ก็เป็นลูกสาวของมัน”

 

ถังซวนกล่าวออกเสียงหนัก

 

ได้ยินวาจานี้ของถังซวนเหล่าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ถึงกับตกตะลึงไปทันใด

 

ผู้พิทักษ์หลิงเทียนน่ะหรือ…คนบาปในภูมิภาคเบื้องล่างที่มีสัมพันธ์กับธิดาเทพ?

 

“นี่…เรื่องนี้…”

 

หลังดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว สีหน้าผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ก็แลดูเหรอหรานัก