บทที่ 525.2 เหตุผลของเฉินผิงอันและฉีจิ่งหลง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ฉีจิ่งหลงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มกล่าวว่า “เซี่ยสือเทียนจวินของอุตรกุรุทวีปพวกเราถูกท้ารบมาสามครั้งแล้ว”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ยากที่จะแพ้ได้”

ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนจริงๆ นั่นแหละ เพราะถึงอย่างไรฉีเทียนจวินของสำนักโองการเทพแห่งแจกันสมบัติทวีปก็ไม่มีทางลงมือ การประมือกันสามครั้ง เป็นการท้ารบของเซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะในช่วงแรกเริ่มสุดที่สะดุดตาที่สุด แม้ว่าเว่ยจิ้นจะแพ้แล้ว แต่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่เป็นเช่นนี้ วันหน้าจะต้องประสบผลสำเร็จสูงมาก สูงมากๆ! แต่ได้ยินมาว่าเขาไปที่ภูเขาห้อยหัว จะไปฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ ยิ่งประสบผลสำเร็จมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีมากเท่านั้น”

เฉินผิงอันหัวเราะ

ฉีจิ่งหลงถามอย่างประหลาดใจ “เคยเจอมาก่อน?”

เฉินผิงอันตอบ “เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว”

ตอนนั้นสายตาที่เว่ยจิ้นมองเฉินผิงอัน เฉยเมยอย่างยิ่ง

แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่านั่นคือคนดีและเซียนกระบี่ที่ดีคนหนึ่ง และเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของเว่ยจิ้นมากขึ้น

ฉีจิ่งหลงเงียบงันไปครู่หนึ่ง “ใช่แล้ว ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง นอกจากภูเขาพีอวิ๋นแล้ว ภูเขาใหญ่อีกสี่ลูกใหม่ของต้าหลีล้วนได้รับการแต่งตั้งเรียบร้อยแล้ว”

ในใจเฉินผิงอันสะท้านไหว

การหล่อหลอมวัตถุแห่งชีวิตที่เป็นห้าธาตุ

ชุยตงซานได้แบกจอบเล่มเล็กไปขุดเอาดินห้าสีของขุนเขาต้าหลีมาให้เขาห้าถุงใหญ่

ดินทับถมเป็นภูเขา ลมฝนจึงถือกำเนิด หากหล่อหลอมสำเร็จก็สามารถสร้างรูปแบบใหญ่ดีงามที่ภูเขาสายน้ำแอบอิงกันได้

ทางเลือกมากมายบนเส้นทางชีวิตคนมักจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ

ก็เหมือนกับเรื่องของการหล่อหลอมดินห้าสีของขุนเขาต้าหลีนี้ เดิมทีนี่เป็นความคิดแรกที่เฉินผิงอันล้มเลิกเลยด้วยซ้ำ ภายหลังได้พูดคุยอย่างเปิดใจกับชุยตงซานและชุยฉานมาสองครั้ง เฉินผิงอันกลับกลายเป็นว่ายิ่งยืนกรานในความคิดนั้น ต่อให้ระหว่างที่อยู่บนเรือข้ามฟากซึ่งมุ่งหน้ามายังอุตรกุรุทวีปจะได้เจอกับสตรีอำมหิตที่เปลี่ยนจากเหนียงเนียงต้าหลีมาเป็นไทเฮาของต้าหลีผู้นั้น เฉินผิงอันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงความคิด

ดังนั้นสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันในตอนนี้ก็คือทางเลือกสองอย่าง หนึ่งคือถือโอกาสนี้โดยสารเรือข้ามฟากของท่าเรือหัวมังกร คุ้มกันสุยจิ่งเฉิงไปส่งที่สำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูก แล้วหลอมดินห้าสีอยู่ที่นั่น ปลอดภัย แต่กลับเปลืองเวลา

อีกหนึ่งทางเลือกก็คือเพื่อไม่ให้การเดินทางไปเยือนลำน้ำสายใหญ่ถูกถ่วงเวลาล่าช้า ก็หาโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือหัวมังกร หรือไม่ก็เดินทางอ้อมไปอีกสักหน่อย ไปหาภูเขาห่างไกลเงียบสงบที่ไร้เงาผู้คนแล้วปิดด่าน

ดูเหมือนฉีจิ่งหลงจะจับสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของเฉินผิงอันได้ เขาลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าลงจากภูเขามาครั้งนี้ก็เพื่อมาพูดคุยกับท่าน พอได้พูดคุยกันแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำอีก”

คนบางคนที่ต้องช่วยเหลือคนอื่น กลับกลายเป็นเวลาจะต้องใช้เวลาครุ่นคิดทบทวนมากยิ่งกว่า

เฉินผิงอันก็เป็นเช่นนี้ไม่ต่างกัน

ความรู้เชื่อมโยงสื่อถึงได้กัน นิสัยใจคอก็คล้ายคลึง

นี่ก็คือคนบนเส้นทางเดียวกัน

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเปลี่ยนนิสัยที่ระมัดระวังรอบคอบมาโดยตลอดของตน ด้วยการถามว่า “หากข้าจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งที่ท่าเรือหัวมังกร ต้องการให้คนช่วยคุมหลังเฝ้าพิทักษ์ให้แก่ข้า ท่านหลิวจะยินดีหรือไม่?”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ได้สิ”

เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “ระหว่างที่ทำการหลอม อาจเกิดความเคลื่อนไหวไม่น้อย อีกอย่างข้าเองก็มีศัตรูอยู่ในอุตรกุรุทวีปด้วย ยกตัวอย่างเช่นตำหนักเกล็ดทองของราชวงศ์ต้าจ้วน”

ฉีจิ่งหลงกล่าว “เรื่องเล็ก”

เฉินผิงอันยกมือตบไหล่ฉีจิ่งหลงทันใด “คนอย่างเจ้าไม่ชอบดื่มเหล้า ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างจนใจ “การโน้มน้าวให้คนอื่นดื่มเหล้าเป็นเรื่องที่ทำลายภาพพจน์ของคนอย่างยิ่ง”

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ประโยคนี้ วันหน้าเจ้าเอาไปพูดกับอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งให้มากๆ แล้วกัน อืม หากมีโอกาส ยังมีมือดาบอีกคนหนึ่งด้วย”

ฉีจิ่งหลงโคลงศีรษะจนใจ

ไปถึงท่าเรือหัวมังกร เข้าพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ด้านหน้าแขวนกรอบป้ายคำว่า ‘นกกระเต็น’

เฉินผิงอันใช้เงินมือเติบเช่าเรือนพักอักษรตัวเทียนหลังหนึ่งมาจากโรงเตี๊ยมอย่างที่หาได้ยาก และในเรือนหลังนั้นยังมีบ่อดอกบัวอยู่บ่อหนึ่ง ใบบัวที่โผล่พ้นผิวน้ำใหญ่เท่ากระถาง หลังจากฝนตกผ่านพ้นไปบนใบบัวจึงยังมีหยดน้ำกลมๆ เหมือนไข่มุกสีขาวเกาะอยู่เต็มไปหมด ลมเย็นสดชื่นพัดพาความหอมลอยโชยมา ชวนให้จิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบาย

ทุกครั้งที่ฉีจิ่งหลงลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์จะต้องใช้นามแฝงในทำเนียบวงศ์ตระกูล พอไปถึงสถานที่ที่มีผู้คนจอแจก็จะร่ายเวทอำพรางตา

ตอนนี้ฉีจิ่งหลงยกม้านั่งยาวตัวหนึ่งมานั่งอยู่ริมสระดอกบัว สุยจิ่งเฉิงเองก็ทำตามเขา นางปลดหมวกคลุมหน้าลง ย้ายม้านั่งตัวยาวมา ในมือถือไม้เท้าเดินป่า นั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล แล้วก็เริ่มสูดลมหายใจทำสมาธิ

ริมสระดอกบัวมีเรือเล็กๆ ผูกไว้

ฉีจิ่งหลงทำเพียงแค่จ้องมองสระดอกบัวอย่างสงบนิ่ง มือทั้งคู่กำเป็นหมัดเบาๆ วางไว้บนหัวเข่า

เฉินผิงอันเริ่มปิดด่านแล้ว

ฉีจิ่งหลงเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิด อีกทั้งยังเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล นอกจากอ่านตำราทำความเข้าใจกับหลักการเหตุผลแล้ว ยามที่ฝึกตนอยู่บนภูเขา คำว่าแบ่งสมาธิไปทำเรื่องอื่นของฉีจิ่งหลงนั้นก็แค่เปรียบเทียบกับสองคนในอันดับแรกเท่านั้น

อันที่จริงฉีจิ่งหลงเล่าเรียนวิชาหลากหลาย แต่ทุกวิชาล้วนเชี่ยวชาญชำนาญ ปีนั้นลำพังเพียงแค่อาศัยค่ายกลแห่งหนึ่งที่วาดขึ้นอย่างง่ายๆ ก็สามารถทำให้หยางหนิงเจินแห่งตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนไม่อาจฝ่าทะลุค่ายกลออกมาได้ ต้องรู้ว่าขอบเขตและวิชาคาถาของหยางหนิงเจินในตอนนั้นเหนือกว่าน้องชายอย่างหยางหนิงซิ่งที่เป็นตัวอ่อนเต๋ามาตั้งแต่กำเนิดเหมือนกันมากนัก นั่นถึงทำให้หยางหนิงเจินเปลี่ยนเป็นหันมาเรียนวรยุทธ ขณะเดียวกันก็เท่ากับว่าละทิ้งอำนาจในการสืบทอดตำหนักนภากาศของหน่วยฉงเสวียนไป แต่หยางหนิงเจินกลับสามารถฝึกฝนจนมีเส้นทางวิถีวรยุทธที่อนาคตยาวไกลได้จริงๆ นี่ต้องเรียกว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย

ดังนั้นเกี่ยวกับเรื่องของการปิดด่าน ฉีจิ่งหลงจึงคุ้นเคยมากที่สุด

ไม่ว่าความเคลื่อนไหวของเฉินผิงอันจะรุนแรงมากแค่ไหน ริ้วคลื่นลมปราณจะกระเพื่อมแรงเท่าไร ก็ล้วนหนีออกไปจากเรือนหลังนี้ไม่พ้น

เพราะฉีจิ่งหลงคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง

มีเค้าลางว่าฝนจะตกลงมาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้น่าจะเป็นพายุฝนที่ตกกระหน่ำ

จิตใจของสุยจิ่งเฉิงไม่ใคร่จะสงบนิ่งนัก นางจึงหยุดการเข้าฌาน พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ หัวคิ้วขมวดมุ่น

ฉีจิ่งหลงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้

สุยจิ่งเฉิงพึมพำว่า “เคยได้ยินผู้อาวุโสเอ่ยคำสุภาษิตบอกว่า ฝนร้อนน้อยเหมือนเงิน ฝนร้อนใหญ่เหมือนทอง”

สุยจิ่งเฉิงยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ข้ารู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ต้องมาจากปากของบัณฑิต อีกทั้งยังต้องเป็นบัณฑิตประเภทที่เรียนหนังสือไม่ได้ดี เป็นขุนนางตำแหน่งไม่ใหญ่อย่างแน่นอน”

ฉีจิ่งหลงถึงได้เปิดปากเอ่ยว่า “มีเหตุผล”

สุยจิ่งเฉิงลุกขึ้นยืน วางไม้เท้าเดินป่าอิงไว้กับม้านั่งยาว แล้วมานั่งยองอยู่ข้างบ่อดอกบัว ถามว่า “ใบบัวที่อยู่ในสระ สามารถเด็ดออกมาได้ไหม?”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ควักเงินเกล็ดหิมะมากมายขนาดนั้นเพื่อเข้าพักที่นี่ เด็ดใบบัวแค่ไม่กี่ใบก็คงไม่มีปัญหาอะไรออก แต่ว่าปราณวิญญาณบางเบาที่อยู่ในใบบัว เมื่อเจ้าเด็ดออกมาแล้วก็จะรั้งไว้ไม่อยู่อีก”

สุยจิ่งเฉิงเด็ดใบบัวริมสระมาหนึ่งใบแล้วกลับมานั่งที่ม้านั่งตัวยาว นางบิดหมุนมันเบาๆ หยดน้ำฝนก็ปลิวกระจายไปรอบด้าน

ฉีจิ่งหลงกล่าว “ท่านเฉินสร้างภาพบรรยากาศได้สำเร็จแล้ว เรื่องของการหล่อมหลอมวัตถุก็น่าจะไม่มีปัญหามากนัก”

สุยจิ่งเฉิงหันหน้ามาถาม “จะไม่มีความผิดพลาดจริงๆ หรือ?”

ฉีจิ่งหลงรู้สึกระอาใจเล็กน้อย คำถามแบบนี้จะให้เขาตอบอย่างไร?

สุยจิ่งเฉิงจึงถามเบาๆ อีกว่า “ผู้อาวุโสหนุ่มขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”

สายตาของฉีจิ่งหลงทอดมองไปไกล ยิ้มกล่าวว่า “อายุที่แท้จริง แน่นอนว่าต้องหนุ่มมาก แต่หากเป็นอายุทางสภาพจิตใจกลับไม่หนุ่มแล้ว บนโลกนี้มีความแปลกพิสดารนับร้อยนับพัน ในบรรดานั้นก็เป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่แปลกประหลาดที่สุด กาลเวลายาวนาน ช้าเร็วไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนโลกมนุษย์ แต่กลับยิ่งเป็นโลกมนุษย์ ดังนั้นท่านเฉินบอกว่าตัวเองอายุสามร้อยปีก็ไม่ถือว่าหลอกลวงไปเสียทั้งหมด”

ฝนพลันตกกระหน่ำลงมา

สุยจิ่งเฉิงไปหยิบหมวกคลุมหน้าและชุดกันฝน แล้วนางก็ยืนตากฝนอยู่ริมสระทั้งอย่างนั้น

ส่วนฉีจิ่งหลงนั้นไม่จำเป็นต้องโคจรลมปราณ เม็ดฝนก็มิอาจกล้ำกรายอยู่แล้ว

จิตแห่งกระบี่ขยับเล็กน้อย ปณิธานแห่งกระบี่ก็ชักนำปราณกระบี่มาอย่างเป็นธรรมชาติ

ฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองกระทบลงบนใบบัวที่สุยจิ่งเฉิงวางไว้บนม้านั่งตัวยาวส่งเสียงดังเปาะแปะ

สุยจิ่งเฉิงพลันเบิกตากว้าง นางพอจะมองเห็นได้เลือนๆ ว่าในสระดอกบัวที่ห่างไปไกลมียวนยางจิ่นซิ่วคู่หนึ่งกำลังหลบฝนอยู่ใต้ใบบัว

อารมณ์ของสุยจิ่งเฉิงพลันดีขึ้นมา

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าวว่า “นั่นคือสัตว์วิเศษชนิดหนึ่งที่ขายอยู่ในเทือกเขาเจียมู่ของสวนน้ำค้างวสันต์ ไม่ใช่นกยวนยางปกติทั่วไป นิสัยดุร้าย หากนำมาเลี้ยงปล่อยไว้ตามภูเขาหนองน้ำก็จะสามารถปกป้องปลาล้ำค่าที่อยู่ในสระได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องถูกสัตว์ป่าคาบเอาไปกิน”

ช่างทำลายบรรยากาศยิ่งนัก

อารมณ์สุยจิ่งเฉิงดำดิ่งย่ำแย่ลงโดยพลัน

แม้ว่าฉีจิ่งหลงจะไม่เข้าใจว่าตนไปทำอะไรให้นางไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าตนคงพูดอะไรบางอย่างผิดไป จึงไม่เอ่ยอะไรอีก

ช่วงกลางดึก สุยจิ่งเฉิงได้ย้อนกลับไปที่ห้องพักของตัวเองแล้ว เพียงแต่ว่านางจุดตะเกียงไว้ทั้งคืน

ส่วนฉีจิ่งหลงกลับนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่บนม้านั่งตัวยาวตลอดเวลา

บางครั้งมีริ้วคลื่นลมปราณแผ่ออกมาก็ล้วนถูกปราณกระบี่สะเทือนให้แหลกสลาย กลับคืนสู่ฟ้าดินอีกครั้ง

ส่วนภาพบรรยากาศที่แสงอัญมณีศักดิ์สิทธิ์เรืองรองแผ่ออกมายามที่เฉินผิงอันหยิบวัตถุในการหล่อหลอมและวัตถุดิบวิเศษของฟ้าดินออกมา แน่นอนว่าฉีจิ่งหลงย่อมไม่ปล่อยให้คนนอกใช้กระแสจิตมาลอบมองได้

ผู้ฝึกตนที่หล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นเรื่องสำคัญในสำคัญอีกที เพราะเกี่ยวพันถึงชีวิต

ยามเที่ยงวันของวันต่อมา เฉินผิงอันที่สีหน้าซีดขาวก็เปิดประตูเดินออกมาจากห้อง

ฉีจิ่งหลงถอนหายใจ

ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตจะต้องเกินจริงขนาดนี้ด้วยหรือ?

ไม่ว่าจะเป็นระดับขั้นของเตาที่ใช้หลอม หรือระดับความล้ำค่าหายากของวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดิน รวมไปถึงระดับความยากในการหลอมวัตถุ ออกจะเกินจริงเหนือความคาดหมายไปหน่อยหรือเปล่า?

ไม่ใช่ผู้ฝึกตนขอบเขตคอขวดประตูมังกรที่ฝ่าทะลุสู่เซียนดินโอสถทองเสียหน่อย

ฉีจิ้งหลงยิ้มถาม “ไม่ดื่มเหล้าสักสองสามอึกระงับความตกใจหน่อยหรือ?”

“เดี๋ยวขอพักสักแปบค่อยดื่ม”

เฉินผิงอันมองไปเห็นว่ามีม้านั่งยาวที่ว่างเปล่าตัวหนึ่งตั้งอยู่ริมบ่อดอกบัวพอดีจึงเดินไปนั่ง แล้วหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว ยังมีโอกาสอีกสองครั้ง”

จากนั้นก็หยิบใบบัวใบหนึ่งที่ถูกเม็ดฝนซัดให้ตกลงไปจากม้านั่งขึ้นมา

ฉีจิ่งหลงชี้ไปที่หัวใจ “สำคัญที่ตรงนี้ อย่าให้มีปัญหา ไม่อย่างนั้นคำว่าโอกาสอีกสองครั้ง ต่อให้มีวัตถุดิบวิเศษมากมายแค่ไหนก็ล้วนเสียเปล่า”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน วัตถุน้อยนิดแค่นี้ข้ายังพอเอาออกมาได้”

ฉีจิ่งหลงเห็นว่าเขาไม่มีท่าทางทดท้อใจก็วางใจได้

สุยจิ่งเฉิงเดินออกมานอกห้อง เพียงแต่ว่าไม่มีที่ให้นางนั่ง เฉินผิงอันจึงขยับไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของม้านั่งยาว สุยจิ่งเฉิงถึงได้นั่งลงอีกฝั่ง

เฉินผิงอันถาม “เด็ดใบบัวออกมา หากต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็ให้ลงไว้ในบัญชี”

สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าว “ได้สิ แค่ไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น บันทึกลงบัญชีก็บันทึกสิ”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองฉีจิ่งหลง

ฉีจิ่งหลงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน

พวกเจ้าแง่งอนกันเองก็อย่ามาดึงข้าไปมีเอี่ยวด้วย

เฉินผิงอันจึงได้แต่อธิบายว่า “ท่านหลิว เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

ฉีจิ่งหลงคลี่ยิ้ม “ก็ได้ งั้นก็ถือว่าข้าเข้าใจผิดแล้วกัน”

เฉินผิงอันถอนหายใจ แล้วหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าเงียบๆ

เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ผู้ฝึกตนสามคนบนเรือแจวที่พบบนผิวน้ำตอนอยู่ในศาลาก่อนหน้านี้ มีชื่อเสียงในอุตรกุรุทวีปมากหรือ?”

ฉีจิ่งหลงกล่าว “เขาก็เหมือนกับเจี้ยนเวิงเซียนเซิงที่ปีนั้นชอบฟูมฟักกระบี่บินให้คนอื่น ต่างก็เป็นหนึ่งในสิบบุคคลประหลาดของอุตรกุรุทวีป คนผู้นี้ชอบท่วงทำนองดนตรี และยังเก็บสะสมสมบัติอาคมที่เป็นเครื่องดนตรีไว้หลายชิ้น นิสัยแปลกประหลาด เร่ร่อนไปทั่วไม่อยู่นิ่ง งานเลี้ยงฉลองของตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าจงอยู่ในชื่อหลายแห่งของอุตรกุรุทวีป ยกตัวอย่างเช่นงานพิธีเปิดขุนเขา หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนใหญ่คนใดฝ่าทะลุขอบเขตสำเร็จ หากสามารถเชื้อเชิญอาจารย์และศิษย์หลายสิบคนอย่างพวกเขาไปบรรเลงดนตรีในงานได้ก็จะถือว่าเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง ครั้งล่าสุดที่อาจารย์และศิษย์มารวมตัวกันครบถ้วนก็คือครั้งที่ถูกเจ้าสำนักที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีปเราเชื้อเชิญมา จึงได้ไปปรากฏตัวบนหน้าผาชิงหยาที่อยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กของสำนักชิงเหลียง (ชิงเหลียงจง)

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

—–