ตอนที่ 897 ออกเดินทาง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

หลิ่วหมิงสัมผัสกลิ่นอายป่าเถื่อนดุดันสายหนึ่งที่โถมเข้าใส่ใบหน้าได้แต่ไกล

“ผู้นี้คือ…” ม่านตาหลิ่วหมิงหดเล็กลงทันที

“อ้อ ศิษย์น้องฉิวมาแล้ว พี่หลิ่วอาจไม่รู้จัก คนผู้นี้คือศิษย์ลับคนหนึ่งในนิกาย เป็นผู้นำคณะเดินทางระดับแก่นแท้อีกคนหนึ่งของการเดินทางไปเศษซากของโลกบนครั้งนี้” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นเรียบๆ ประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นก้าวเข้าไปทันที

บุรุษเคราเฟิ้มมาถึงก็ดึงความสนใจของศิษย์ที่เหลือไปในทันใด สายตาของทุกคนพากันมองไป พร้อมกับที่บนใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

ยามหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘ศิษย์น้องฉิว’ ในใจเขาก็ตกตะลึง เมื่อเห็นหน้าตาของผู้ที่มาชัดแล้ว เขาก็แน่ใจในสิ่งที่คาดเดาทันที

บุรุษเคราเฟิ้มก็คือฉิวหลงจื่อที่เคยดูแลเขาตอนอยู่ในวิหารวิญญาณกระบี่เมื่อครั้งนั้นนั่นเอง

เทียบกับเมื่อตอนนั้นแล้วปราณบนร่างบุรุษเคราเฟิ้มมหาศาลยิ่งกว่าเดิม จิตกระบี่เลือนรางที่แผ่ออกมาก็ยิ่งน่ากลัว ศิษย์สายในที่นั้นส่วนใหญ่ล้วนถูกจิตกระบี่สายนี้ดึงความสนใจ

ฉิวหลงจื่อเหมือนจะค่อนข้างรู้จักมักคุ้นกับจินเทียนชื่อ หลังทั้งสองคนทักทายกันก็สนทนาเสียงดังประหนึ่งด้านข้างไร้ผู้คน

“พี่หลิ่ว”

เวลานี้เองข้างหูหลิ่วหมิงก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้ว่าสองพี่น้องโอวหยางเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร

“แม่นางโอวหยางทั้งสอง หลายวันนี้คุ้ยเคยกับการพักอยู่ที่นี่หรือยัง?” หลิ่วหมิงหันหน้ามาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

“ก็พอใช้ได้ แต่คำพูดตามมารยาทคงไม่จำเป็น รออีกเดี๋ยวทางเชื่อมก็จะเปิดออกแล้ว ไม่ทราบพี่หลิ่ววางแผนไว้อย่างไร?” โอวหยางเชี่ยนกำลังจะเอ่ยปากพูด โอวหยางฉินกลับชิงพูดก่อนด้วยวาจาแสบร้อน

“ข้ารู้เกี่ยวกับเศษซากของโลกบนน้อยนัก ถึงเวลาคงได้แต่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ยามเคลื่อนย้าย ทั้งสองท่านดีที่สุดอย่าอยู่ห่างจากข้า หากพบอันตรายข้าจะคิดหาวิธีปกป้องความปลอดภัยของทั้งสองท่านเอง” หลิ่วหมิงคุ้นชินกับวิธีการพูดของสตรีนางนี้แล้วจึงยิ้มน้อยๆ ไม่โกรธ

“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพี่หลิ่วแล้ว” โอวหยางเชี่ยนฟังแล้วก็เอ่ยขึ้นช้าๆ เมื่ออยู่ในศิษย์กลุ่มนี้ของนิกายยอดบริสุทธิ์พลังของพวกนางสองคนแทบจะอยู่ต่ำสุดจึงได้แต่วางแผนไปทีละก้าวเท่านั้น

ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อก็เดินเคียงไหล่กันเข้ามา ทั้งสองคนล้วนพลังระดับแก่นแท้ เมื่ออยู่ด้านในวิหารจึงให้ความรู้สึกโดดเด่นออกจากกลุ่ม

โอวหยางเชี่ยนเหมือนจะไม่อยากสานสัมพันธ์กับคนของนิกายยอดบริสุทธิ์มากเกินไป เมื่อเห็นเช่นนี้จึงดึงโอวหยางฉินถอยไปด้านข้าง

“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าจริงๆ ด้วย ไม่เลว! ไม่เลว!” สายตาของฉิวหลงจื่อจับจ้องอยู่บนร่างของหลิ่วหมิง หลังจากสายตาทอประกายวูบหนึ่งก็เอ่ยว่า ‘ไม่เลว’ ออกมาติดกันสองคำ

“ศิษย์พี่ฉิว นับแต่จากกันครั้งนั้น ไม่ได้พบกันนานจริงๆ” หลิ่วหมิงประสานมือ คำนับกลับอย่างนอบน้อม

“อะไรกัน ทั้งสองคนรู้จักกันหรือ?” จินเทียนชื่อมองหลิ่วหมิงอย่างประหลาดใจ แล้วอ้าปากเอ่ยถาม

“ฮ่าๆ! นี่มีสิ่งใดประหลาด ก่อนหน้านี้ข้าเคยมีวาสนาพบหน้ากับศิษย์น้องหลิ่วที่วิหารวิญญาณกระบี่ครั้งหนึ่ง ยามนั้นรู้สึกว่าศิษย์น้องไม่ใช่คนธรรมดา ระยะนี้ศิษย์น้องหลิ่วชื่อเสียงโด่งดังจนเล่าลือไปถึงวังเจดีย์ บ่งบอกว่าข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ” ฉิวหลงจื่อยังคงทำท่าสบายๆ หัวเราะลั่นราวกับด้านข้างไม่มีคน

หลิ่วหมิง จินเทียนชื่อ ฉิวหลงจื่อ ทั้งสามคนเป็นผู้ที่สะดุดตาที่สุดในที่แห่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อทั้งสามคนมารวมตัวกันแล้ว สายตาของคนในวิหารมากกว่าเก้าส่วนล้วนรวมกันอยู่ที่นี่

หลัวเทียนเฉิงยืนอยู่ตรงมุมวิหาร เขาเห็นภาพหลิ่วหมิงกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองคนสนทนากันอย่างรื่นเริงก็แค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วหันหน้าหนี

สายตาของเวินเจิงทอประกายเล็กน้อย หยุดอยู่บนร่างหลิ่วหมิงพักหนึ่งก่อนจะผละออกไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้เองเสียงระฆังดังสนั่นครั้งหนึ่งก็ลอยมาจากนอกวิหาร เสียงดังอื้ออึงทะลวงแก้วหู สะเทือนจนใต้เท้าทุกคนสั่นไหวแผ่วเบา

ทุกคนที่นั่นฉับพลันหยุดสนทนาแล้วพากันเอี้ยวศีรษะมองไปนอกประตูวิหาร

ครู่ต่อมาบุรุษวัยกลางคนผู้สวมกวานหยกบนศีรษะ ร่างกายสวมชุดสีเหลือง บรรยากาศไม่ธรรมดาคนหนึ่งก็ก้าวเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เขาก็คือเทียนเกอเจินเหรินประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง

แม้เขาจะเก็บงำกลิ่นอายจนแทบสัมผัสไม่ได้ แต่ยังคงมีความน่าเกรงขามที่บอกไม่ถูกสายหนึ่งท่วมท้นทั้งวิหาร

ด้านหลังเขามีบุรุษวัยกลางคนชุดเทาคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขาก็คือผู้อาวุโสแซ่หานผู้นั้น

“คารวะท่านประมุข ผู้อาวุโสหาน!” ผู้คนที่นั่นพากันประสานมือคำนับพร้อมขานเรียกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมโดยมีจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่ออยู่ด้านหน้า

“ดีมาก คนมาพร้อมแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่พร่ำพูดอะไรที่นี่อีก หลังจากนี้อีกสักพัก นิกายจะเปิดทางเชื่อมสู่เศษซากของโลกบนอย่างเป็นทางการเพื่อส่งพวกเจ้าเข้าไปในเศษซากของโลกบน แต่ก่อนหน้านั้นมีหลายเรื่องต้องกำชับพวกเจ้าให้ชัดเจน” เทียนเกอเจินเหรินกวาดสายตาวนรอบหนึ่งแล้วเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าไป

ศิษย์ที่นั่นล้วนสีหน้าเคร่งขรึม ตั้งใจฟังอย่างนิ่งสงบ

“ทุกสามหมื่นปี พลังที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับซากปรักหักพังจะอ่อนแอลงอย่างมาก ดังนั้นนิกายแต่ละแห่งจึงมีโอกาสยืมพลังจากอาวุธเวทฝืนเปิดทางเชื่อมขึ้น เวลาที่พลังอ่อนแอลงแต่ละครั้งจะกินเวลาเพียงหนึ่งปี ดังนั้นหลังจากพวกเจ้าเข้าไปในเศษซากของโลกบนแล้วจะต้องจดจำสถานที่ตั้งต้นยามเคลื่อนย้ายไปถึงให้แม่น ภายในเวลาหนึ่งปีต้องกลับมายังที่เดิม นิกายจะเปิดทางเชื่อมขึ้นอีกครั้งเพื่อรับพวกเจ้ากลับมา หากกลับมาไม่ทัน ผลลัพธ์ที่ตามมาพวกเจ้าคงรู้ชัด” เทียนเกอเจินเหรินเอ่ยเรียบๆ

เสียงของเทียนเกอเจินเหรินไม่ดังแต่ชัดเจนอย่างยิ่ง มันดังตรงเข้าไปในหูของทุกคนที่นั่นจนเกิดเสียงดังวิ้ง

เวลานี้คนทั้งหมดในที่แห่งนั้นรวมถึงหลิ่วหมิงล้วนตั้งใจฟังคำพูดของเทียนเกอเจินเหรินด้วยกลัวว่าจะพลาดสักคำสักประโยคไป อย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็ล้วนเกี่ยวพันกับชีวิตของตน

เทียนเกอเจินเหรินเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อว่า

“อันตรายกับโอกาสมักอยู่เคียงคู่กันเสมอ ในเศษซากของโลกบนไม่เพียงมีสมบัติแห่งฟ้าดินมากมายที่โลกมนุษย์ไม่มี แต่ยังเต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่รู้จักนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้นิกายจึงตัดสินใจมอบของจำเป็นจำนวนหนึ่งแก่พวกเจ้า”

ขณะที่พูด เขาก็พยักหน้าให้ผู้อาวุโสแซ่หานด้านข้าง

ผู้อาวุโสหานเข้าใจเจตนาจึงยกแขนเสื้อขึ้น ทันใดนั้นเบื้องหน้าร่างพลันทอแสงจิตวิญญาณเลือนราง ยันต์เก็บของสิบกว่าแผ่นลอยออกมาทันที

แขนเสื้อของเขาสั่นอีกครั้งหนึ่ง ยันต์เก็บของทั้งหมดก็ทยอยบินออกมา แต่ละแผ่นบินไปยังคนแต่ละคนที่อยู่ที่นั่นอย่างแม่นยำไม่มีพลาด

ส่วนพี่น้องโอวหยางรวมถึงอีกสามคนที่ดูไม่เหมือนคนของนิกายยอดบริสุทธิ์ย่อมไม่ได้รับยันต์เก็บของ

แม้เวลานี้พวกเขาล้วนเผยสีหน้าประหลาดใจ แต่ย่อมไม่สะดวกเอ่ยปากอะไรมาก

หลิ่วหมิงรับยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งไว้ เมื่อจิตสัมผัสแทรกเข้าไปในยันต์เก็บของ เขาก็พบว่าด้านในมีของวางไว้หลายอย่าง

แผนที่แผ่นหนึ่ง มุกกลมสีน้ำเงินขมุกขมัวเม็ดหนึ่งแล้วยังมีขวดหยกสีแดงฉานอีกหนึ่งใบ

“เศษซากของโลกบนกว้างขวางอย่างยิ่ง แผนที่แผ่นนั้นเป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนที่ได้เข้าไปในเศษซากของโลกบนครั้งก่อนวาดเอาไว้ คงพอนำทางให้พวกเจ้าได้คร่าวๆ ส่วนมุกสีน้ำเงินนั่นมีชื่อว่า ‘มุกสนองตอบ’ ในบริเวณหมื่นลี้ใช้สัมผัสตำแหน่งของสหายร่วมสำนักได้ ส่วนในขวดหยกคือโอสถสลายภัยระดับพสุธาหนึ่งเม็ด เป็นโอสถวิเศษรักษาอาการบาดเจ็บระดับสุดยอดชนิดหนึ่ง แม้ได้รับบาดเจ็บถึงชีวิต ขอเพียงยังมีลมหายใจอยู่และกินโอสถนี้ลงไปทันเวลาก็จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้” ขณะที่ทุกคนก้มศีรษะสำรวจดู เสียงของเทียนเกอเจินเหรินก็ดังขึ้นอีกครั้ง อธิบายประโยชน์อันยอดเยี่ยมของทั้งสามสิ่งในยันต์เก็บของ

หลิ่วหมิงได้ยินก็ลอบพยักหน้า ของเหล่านี้ล้วนเป็นของจำเป็นจริงๆ

แผนที่กับมุกสนองตอบย่อมไม่ต้องพูดถึง โอสถสลายภัยโอสถเช่นนี้หลิ่วหมิงเคยเห็นแต่ในบันทึกที่หอเก็บคัมภีร์ จัดว่าเป็นโอสถในตำนาน คิดไม่ถึงว่านิกายกลับมอบให้คนละเม็ด เรียกได้ว่าทุ่มเทอย่างยิ่ง

แต่คิดดูแล้วก็ปกติ ศิษย์ที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์แกนนำของยอดเขาต่างๆ คนใดคนหนึ่งสิ้นชีวิตลงล้วนเป็นความเสียหายใหญ่หลวงที่ไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้สำหรับทั้งนิกายยอดบริสุทธิ์

“ของที่พวกเจ้าได้มาจากเศษซากของโลกบนครั้งนี้ นิกายจะเก็บไว้สองในสามส่วน เพราะอย่างไรทรัพยากรมหาศาลที่ใช้เปิดทางเชื่อมเส้นนี้นิกายก็เป็นคนเสีย ส่วนสมบัติแห่งฟ้าดินที่นิกายต้องการอย่างยิ่งยวดบางอย่าง นิกายจะมอบรางวัลอื่นชดเชยให้ตามสมควร ไม่ให้พวกเจ้าขาดทุน” เทียนเกอเจินเหรินเอ่ยเรียบๆ

ได้ยินคำนี้ศิษย์ทั้งหลายด้านล่างพลันส่งเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นพักหนึ่ง

สายตาของหลิ่วหมิงทอประกาย ในดวงตาฉายแววคิดไม่ถึงจางๆ

เขาไม่แปลกใจสักนิดที่เทียนเกอเจินเหรินตัดสินใจเช่นนี้ กระทั่งตระกูลโอวหยางที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ยังไม่อาจเปิดทางเชื่อมเส้นนี้ได้ตามลำพัง ย่อมจินตนาการได้ถึงความยากลำบากในการเปิดทางเชื่อมเส้นนี้ นิกายจะหักทรัพยากรที่ได้มาสองในสามก็สมเหตุสมผล

ต้องรู้ว่าโอกาสที่จะเดินทางผ่านทางเชื่อมเข้าไปยังโลกบนซึ่งเปิดออกสามหมื่นปีครั้งหนึ่ง ต่อให้เทียนเกอเจินเหรินบอกว่าจะหักสิ่งที่ได้มาแปดหรือเก้าส่วน เกรงว่าก็คงจะมีคนไม่รู้เท่าไรแห่แหนต้องการเข้าไป

ส่วนการจะลอบเก็บของไว้เอง เกรงว่าคงไม่มีใครทำเช่นนั้น แผ่นดินจงเทียนไม่ใช่อวิ๋นชวน นิกายยอดบริสุทธิ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่นิกายปีศาจจะเทียบได้ เกรงว่าผู้อาวุโสสูงสุดสักคนใช้วิชาเล็กน้อยก็ทำให้ของที่แอบซ่อนไว้เหล่านี้ไม่อาจหลบเร้นร่องรอยได้แล้ว

“เอาล่ะ สิ่งที่ควรพูดล้วนพูดไปหมดแล้ว การเดินทางค้นหาสมบัติครั้งนี้นิกายจัดสรรศิษย์พี่ซึ่งเป็นศิษย์ลับระดับแก่นแท้สองคนเป็นผู้นำคณะเดินทางของพวกเจ้า ตอนอยู่ในเศษซากของโลกบน จงเชื่อฟังทุกสิ่งที่พวกเขาสั่ง หากใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่ง หลังกลับมาถึงนิกายจะต้องรับโทษอย่างหนัก!” เทียนเกอเจินเหรินพูดถึงตรงนี้ เสียงก็เคร่งขรึมขึ้น แรงกดดันจิตวิญญาณยิ่งใหญ่สายหนึ่งแผ่ออกมาจากร่าง

“ศิษย์จะจดจำคำสั่งสอนของท่านประมุขให้มั่น!” คนที่นั่นหัวใจหนักอึ้งขึ้นประหนึ่งมีศิลายักษ์ก้อนหนึ่งทับอยู่ในทันที พวกเขาสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วตอบรับด้วยเสียงนอบน้อม

เทียนเกอเจินเหรินเห็นภาพนี้ บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย สายตาจับอยู่บนร่างจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อ

ฉิวหลงจื่อบุรุษร่างหนาผู้นี้ไม่กล้าละเมิดกฎระเบียบต่อหน้าเทียนเกอเจินเหริน เขาประสานมือคำนับอีกฝ่ายด้วยสีหน้านอบน้อมทันที

จินเทียนชื่อที่อยู่ด้านข้างกลับยังคงหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ประสานมือด้วยท่าทางเสแสร้ง

“เอาล่ะ พวกเจ้าตามข้ามาเถิด” เทียนเกอเจินเหรินตวัดตามองจินเทียนชื่ออย่างไม่สบอารมณ์ครั้งหนึ่งแล้วเดินนำเข้าไปในวิหารด้านข้างก่อน ผู้อาวุโสหานไม่พูดพร่ำตามไปด้านหลัง

ฉิวหลงจื่อมองจินเทียนชื่อครั้งหนึ่ง จากนั้นทั้งสองคนก็ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน

ผู้คนที่นั่นเห็นเช่นนี้ก็พากันเดินตามหลังทั้งสองคนไปติดๆ

หลังจากทะลุวิหารด้านข้างที่ไม่ใหญ่หลังหนึ่ง คณะเดินทางยี่สิบกว่าคนก็ติดตามเทียนเกอเจินเหรินที่อยู่ด้านหน้ามุ่งไปยังห้องลับห้องหนึ่ง

ในห้องลับมีทางเดินวนลึกลงไปใต้ดิน ขบวนคนเดินลงไปตามบันไดหินอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้ามากมายดังสะท้อน

ทุกครึ่งวงของทางเดินจะฝังหินจันทราที่ทอแสงสีขาวขมุกขมัวก้อนหนึ่งไว้ มันส่องสว่างทั่วทั้งทางเดินจนเกิดเงาคนมากมาย เนื่องจากมองสภาพด้านหน้าไม่ชัด จึงเพิ่มความรู้สึกลึกลับให้สถานที่แห่งนี้อยู่บ้าง

หลังจากเดินไปเช่นนี้เป็นเวลาชั่วหนึ่งมื้อกินข้าว หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่าง ห้องโถงใต้ดินพื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่งแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า กวาดตามองครั้งหนึ่งกว้างยาวถึงร้อยกว่าจั้ง สูงถึงสิบกว่าจั้ง

ตรงกลางห้องโถงใหญ่สลักค่ายกลมหึมาที่ซับซ้อนอย่างที่สุดขนาดสิบกว่าจั้งไว้ค่ายกลหนึ่ง ด้านบนสลักยันต์ลี้ลับที่สีสันแตกต่างกันมากมายไว้

รอบด้านของค่ายกลมีเสาศิลามังกรขดสีน้ำเงินสี่ต้นตั้งตระหง่านเห็นเด่นชัด บนเสาศิลาสลักลวดลายค่ายกลซึ่งสอดรับกับค่ายกลบนพื้นไว้นับไม่ถ้วน

เวลานี้บนเสาศิลาสีน้ำเงินสี่ต้นมีสองต้นในนั้นที่มีผู้เฒ่ากลิ่นอายสุขุมนั่งขัดสมาธิหลับตาเพ่งสมาธิอยู่โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับการมาถึงของศิษย์ทั้งหลายสักนิด

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ฉุกคิดขึ้นมา สองคนนี้เห็นชัดว่าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่พลังบรรลุระดับดาราพยากรณ์แล้วสองคน