มีเรื่องสนุกๆ แล้ว!
ภายในลานกว้างนั้นสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองไปยังเย่หยวน
“นั่นมันเทพสวรรค์เหวินหลาน! เขานั้นมีฝีมืออยู่ในอันดับที่ห้าในหมู่เทพสวรรค์ทั้งหลาย จะให้เขายอมรับตำแหน่งของเย่หยวนแล้วมันคงไม่ง่ายแน่!”
“ไม่นึกเลย! งานชุมนุมโอสถเมฆานี้เพิ่งจะเริ่มแต่บรรยากาศกลับคุกรุ่นกันเสียแล้ว!”
“ข้าได้ยินมาว่าเทพสวรรค์เหวินหลานนั้นเป็นสหายกับบรรพบุรุษตระกูลเจิ้ง บางทีนี้มันอาจจะเป็นการทวงถามแค้นให้เขาก็ได้!”
…
เทพสวรรค์เหวินหลานที่พูดอยู่นี้เป็นถึงอันดับห้าในหมู่เทพสวรรค์
นั่นมันหมายความว่าภายใต้ปรมาจารย์ทั้งหลายนั้นเขาเก่งกาจเป็นอันดับห้า!
หมายความว่าฝีมือของเขานี้ไม่ได้ต่ำต้อยกว่าเหล่าปรมาจารย์เลย
เมื่อเขาคนนี้เปิดปากขึ้นพูดมาเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างก็หันมามองเย่หยวนด้วยสีหน้าเย้ยหยัน คิดอยากเห็นว่าเย่หยวนนี้จะหลบรอดหายนะไปได้อย่างไร
เหล่าคนทั้งหลายที่มาร่วมงานวันนี้มันคงนับได้ว่าเป็นคนในวงการโอสถของแดนใต้ทั้งหมดทั้งสิ้น
หากเย่หยวนมาเผยธาตุแท้ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ วันหน้าเขาคงจะไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว
ในเวลานั้นเองที่เกิดอีกเสียงหนึ่งขึ้นมา “ที่พี่เหวินหลานว่ามันก็ถูก หากแม้แต่เทพถ่องแท้ยังขึ้นมาขี่หัวเราได้ เราเหล่าคนเฒ่าคนแก่ทั้งหลายจะเอาหน้าที่ไหนกลับไปหาลูกหลานกัน?”
เมื่อเทพสวรรค์ผู้นี้เปิดปากกล่าวขึ้นก็มีเสียงคนโห่ร้องขึ้นทันที “นั่นมันเทพสวรรค์ต้าวเฉียน อันดับที่แปด! มีเรื่องสนุกๆ ให้ดูเสียแล้ว!”
ไม่มีใครคาดคิดว่าคนทั้งหลายจะเริ่มโจมตีตั้งแต่เปิดงานเช่นนี้
ที่สำคัญเหล่าคนทั้งหลายยังเข้าใจแจ่มชัดในวินาทีที่เทพสวรรค์ดันหยู่แนะนำตัวเย่หยวนว่ามันแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างชัดเจน
เขานั้นบอกว่าเย่หยวนนั้นเป็นอัจฉริยะที่เทพสวรรค์เปียวหยูเชิญมา เช่นนี้มันย่อมจะเป็นการปัดภาระใดๆ ทิ้งว่าไม่เกี่ยวกับตัวเขาแล้ว
มันเทพสวรรค์เปียวหยูที่ล้อเล่นทุกผู้คน ไม่เกี่ยวใดๆ กับยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา นั่นคือความหมายในคำพูดแนะนำของเทพสวรรค์ดันหยู่
ในเวลานั้นเองที่ชายแก่ที่นั่งอันดับสามก็กล่าวขึ้นตาม “เจ้าเด็กโอหัง เจ้ามีความสามารถอันใดกันถึงขั้นไปนั่งบนตำแหน่งปรมาจารย์ได้? พี่เปียวหยู ท่านคิดจะล้อเล่นกับวงการโอสถแห่งแดนใต้หรืออย่างไร?”
‘ซี้ด!’
เสียงสูดหายใจเข้าลึกดังขึ้นพร้อมๆ กัน
“อันดับสามเทพสวรรค์เหยาเย่ อันดับห้าเทพสวรรค์เหวินหลาน อันดับแปดเทพสวรรค์ต้าวเฉียน พระเจ้าช่วย เย่หยวนเจอปัญหาใหญ่แล้ว!”
งานชุมนุมโอสถเมฆาเพิ่งจะเริ่มขึ้นแต่เย่หยวนยังไม่ทันจะได้นั่งเหล่าเทพสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก็หาเรื่องเขาอย่างหนักหน่วงเสียแล้ว
ที่ด้านข้างนั้นเทพสวรรค์ดันหยู่เองก็ได้แต่นั่งมองดูผู้คนราวกับว่าเรื่องราวนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวเขาใดๆ
เทพสวรรค์เปียวหยูที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นจึงยิ้มตอบกลับไป “ทำไมพี่เหยาเย่ว่าเช่นนั้นเล่า? ในเมื่อเทพสวรรค์ผู้นี้มอบเหรียญปรมาจารย์ให้แก่เย่หยวนมันก็ย่อมจะหมายความว่าข้ายอมรับในฝีมือของเขาจริงๆ”
เทพสวรรค์เหยาเย่จึงยิ้มตอบกลับไป “แค่เด็กอายุพันกว่าปีมันจะมีฝีมือใดได้? ข้าได้ยินมาว่ามันนั้นได้ช่วยแก้ไขสูตรโอสถโบราณให้พี่เหลียวหมิง เพียงแค่ว่า… เท่านั้นมันจะพอพิสูจน์ฝีมือมันหรือ? ที่สำคัญข้ายังได้ยินมาว่ามันนั้นไม่กล้าจะรับคำท้าเหล่าเด็กน้อยทั้งหลายเสียด้วยซ้ำ มีหรือที่คนเช่นนี้จะมีค่าพอนั่งตำแหน่งปรมาจารย์?”
เทพสวรรค์เหวินหลานกล่าวขึ้นตาม “หากคิดอยากครองตำแหน่งปรมาจารย์คนผู้นั้นย่อมจะต้องมีฝีมือมากพอ ดูจากอายุของมันแล้วแค่หลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าได้ข้าก็ว่ามันเก่งมากแล้ว”
เทพสวรรค์ต้าวเฉียนหัวเราะลั่นขึ้น “เด็กน้อย เจ้ากล้าจะรับคำท้าของเทพสวรรค์ผู้นี้หรือไม่? หากเจ้าไม่กล้าก็ลงไปเสีย! ตำแหน่งปรมาจารย์นั้นมันมิใช่ของเล่น!”
“ใช่ ขนาดพวกเราทั้งหลายยังไม่อาจนั่งได้ แล้วเจ้ามีปัญญาใดจะไปนั่งบนนั้นกัน?”
เมื่อสามเทพสวรรค์นำมาเช่นนี้แล้วเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวคนอื่นๆ ก็เริ่มเข้าร่วมว่าเย่หยวนไป
แม้ว่าเทพสวรรค์เหลียวหมิงจะไปเที่ยวบอกผู้คนว่าเย่หยวนทำอะไรไว้อย่างเก่งกาจแค่ไหน แต่ตัวเย่หยวนนั้นกลับไม่ทำอะไรเอาแต่นั่งนิ่ง
การที่จะทำให้เหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายนั้นยอมรับเทพถ่องแท้มาอยู่บนหัวนั้นมันย่อมมิใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายดาย
ในเวลานั้นเทพสวรรค์ดันหยู่ก็เปิดปากพูดขึ้นในที่สุด “ปรมาจารย์เย่ ดูท่าทุกคนจะยังสงสัยในฝีมือของท่าน ทำไม… ไม่ลองแสดงออกมาหน่อยเล่า?”
คำพูดนี้ของเทพสวรรค์ดันหยู่นั้นมันยิ่งทำให้สายตาทุกคู่จับต้องมองมาที่เย่หยวนหนักกว่าเก่า
ตอนนี้หลายๆ คนแสดงสีหน้าเย้ยหยัน คิดว่าเย่หยวนจะแก้ตัวหาข้ออ้างหนีไปอย่างไร
ภายใต้สายตาของทุกผู้คนนี้เย่หยวนจะตอบกลับไปอย่างไร?
เพราะตั้งแต่เดินขึ้นมาจนถึงตอนนี้ เย่หยวนก็ยังเอาแต่ยืนนิ่งไม่ได้ตอบกลับใดๆ ไป
เมื่อตอนนี้เทพสวรรค์ดันหยู่ถามขึ้นมาเย่หยวนจึงหรี่ตาลงหันไปมองเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายที่ด้านล่าง
“เจ้า เจ้า และเจ้า เมื่อสักครู่นี้เจ้าบอกว่าจะท้าทายข้าใช่หรือไม่?” เย่หยวนชี้นิ้วไปยังเหล่าเทพสวรรค์ที่พูดเสียงดังที่สุด
“ฮ่าๆ เป็นเทพสวรรค์ผู้นี้เอง! ทำไม? ปรมาจารย์เย่จะรับคำท้าของเทพสวรรค์ผู้นี้หรือ?” เทพสวรรค์ผู้หนึ่งหัวเราะขึ้นมา
เย่หยวนไม่คิดสนใจคำเย้ยเยาะใดๆ และถามขึ้น “มีใครอีก? ในเมื่อทุกผู้คนสงสัยในฝีมือของเย่ผู้นี้ ข้าก็จะให้โอกาสพวกเจ้าทั้งหลาย! พวกเจ้าคนใดที่คิดท้าทายข้า เย่ผู้นี้จะรับมันไว้ให้หมด! หากเย่ผู้นี้แพ้แม้สักครั้ง ข้าจะคืนเหรียญปรมาจารย์และถอนตัวจากงานชุมนุมโอสถเมฆาทันที!”
คำพูดเดียวนี้มันทำให้ทุกผู้คนมึนงง
“ช่างเป็นคำกล่าวที่โอหังนัก! เขาคิดจะท้าทายจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายที่อยู่ใต้แค่ปรมาจารย์ด้วยตัวคนเดียว!”
“หึๆ จะโอหังใดๆ มันก็ต้องมีฝีมือมาสนับสนุน! ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนระดับล่างๆ เทพสวรรค์ที่อยู่ระดับบนๆ นั้นมันไม่ได้อ่อนแอกว่าปรมาจารย์มากนัก มีหรือที่คนอย่างเขาจะมีปัญญาสู้กับเทพสวรรค์ทั้งหลายนั้นได้?”
…
จอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งร้อยคนนี้มีพลังฝีมือความเก่งกาจแตกต่างกันไป
คนผู้อ่อนแอจะอยู่ในระดับเจ็ดขั้นต้นมีความรู้แค่อาณาจักรเต๋าขั้นต้นเท่านั้น
ส่วนพวกที่เก่งกาจอย่างเทพสวรรค์เหยาเย่นั้นมีพลังฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายเลย
เย่หยวนที่เป็นแค่จอมเทพโอสถหกดาวนั้นย่อมจะกล่าวคำอย่างไม่ลืมหูลืมหาแล้วใช่หรือไม่?
“ฮ่าๆๆ ช่างเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความจริงๆ! วงการโอสถแดนใต้เรามันให้กำเนิดเด็กน้อยแสนโอหังเช่นนี้ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดกัน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนทั้งหลายที่ได้มานั่งอยู่ที่แห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นยอดคนในวงการโอสถแดนใต้? เจ้ากลับกล้าท้าทายทุกผู้คนพร้อมๆ กัน?” เทพสวรรค์เหยาเย่หัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน
เย่หยวนจึงตอบกลับไป “ในฐานะปรมาจารย์แล้วหากเย่ผู้นี้ไม่อาจเอาชนะได้แม้แต่กับพวกเจ้า ข้าจะมีสิทธิ์ใดมานั่งในตำแหน่งนี้เล่า?”
เทพสวรรค์เหยาเย่ที่ได้ยินจึงขมวดคิ้วแน่น “เป็นเด็กที่อวดดีนัก! การประลองโอสถนี้เทพสวรรค์ผู้นี้ย่อมจะร่วม! เทพสวรรค์ผู้นี้อยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์เหนือฟ้าอย่างที่ว่าจริงไหม!”
เย่หยวนจ้องมองไปอย่างไม่คิดกะพริบตา “ได้ เย่ผู้นี้รับคำท้า! มีใครอีก?”
“ข้า!”
“เทพสวรรค์ผู้นี้ขอท้าเจ้า!”
“หึ! เด็กโอหัง เทพสวรรค์ผู้นี้จะทำให้เจ้าได้รู้เองว่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวนั้นมันไม่อาจลบหลู่ได้!”
…
มีหรือที่เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายจะทนความอวดดีมั่นหน้านี้ของเย่หยวนได้? พวกเขาทั้งหลายต่างก้าวออกมาท้าทายเย่หยวนกันอย่างไม่ขาดสาย
บนที่นั่งตำแหน่งอันดับสองเทพสวรรค์ซืออี้จึงขมวดคิ้วแน่นออกมาก่อนจะหันไปพูดกับเทพสวรรค์เปียวหยู “พี่เปียวหยู นี่มัน… คงไม่เหมาะหรอกมั้ง?”
แต่เทพสวรรค์เปียวหยูกลับยิ้มตอบกลับมา “วางใจเถอะ เย่หยวนนั้นย่อมจะรู้ตัวเองดีที่สุด”
เทพสวรรค์ซืออี้ที่ได้ยินแทบจะสำลักออกมา ดูท่าความมั่นใจที่เทพสวรรค์เปียวหยูมีต่อเย่หยวนนี้มันจะสูงล้ำจนเกินไปแล้ว
ในเวลาสั้นๆ นี้เทพสวรรค์กว่าห้าสิบคนได้ขึ้นมาท้าทายเย่หยวนโดยมีตั้งแต่อันดับสามไปจนถึงอันดับร้อย
เหล่าเทพสวรรค์ที่ได้มานั่งในงานตอนนี้ล้วนแล้วแต่จะเป็นถึงยอดฝีมืออาณาจักรเต๋าสิ้น
เหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวชั้นรองย่อมจะไม่มีที่ยืนในงานชุมนุมโอสถเมฆา
เพราะฉะนั้นแม้พวกเขาจะมีอันดับที่นับว่าต่ำ แต่ฝีมือของพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ได้ต่ำต้อยเลย
ในเวลานั้นเองที่ชายแก่ร่างผอมแห้งผู้นั่งอยู่ข้างเทพสวรรค์ซืออี้ก็พูดขึ้นมา “ทำไมไม่นับรวมเฒ่าคนนี้ไปด้วยเสียหน่อยเล่า?”
………………….