บทที่ 918 ไม่มีใครสามารถเอาชนะข้าได้

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 918 ไม่มีใครสามารถเอาชนะข้าได้

ในห้องรับรอง

จั่วเซียงกับเสี่ยวเหยียนสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครหลวงมองช่องว่างที่ปรากฏขึ้นบนผนังห้องอย่างพูดอะไรไม่ออก ดวงตาของพวกเขาจับจ้องไปที่สังเวียนเฟิงอวิ๋นหมายเลขหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองท่านจะหันมองหน้ากันเล็กน้อย และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจที่หลินเป่ยเฉินไปปรากฏตัวอยู่บนเวทีประลองขณะนี้

เกาเฉิงฮั่นแค่คนเดียวก็พอแล้ว

จักรวรรดิเป่ยไห่ไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้มากไปกว่านี้อีก

แต่เสียงโห่ร้องเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินจากกลุ่มคนดูนั้นเองที่ทำให้สีหน้าของสองชายชราและเหล่าขุนนางใหญ่ในห้องรับรองต้องเปลี่ยนไป

เด็กหนุ่มสมองเสื่อมจากเมืองหยุนเมิ่งกลายเป็นขวัญใจประชาชนไปตั้งแต่เมื่อไหร่?

องค์ชายอวี่มองช่องว่างบนผนังห้องที่เป็นรูปร่างมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาได้ยินเสียงตะโกนของคนดูจากด้านนอก และสีหน้าขององค์ชายอวี่ก็แปรเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินเพิ่งมาถึงนครหลวงได้กี่วัน?

เหตุไฉนเขาถึงครองใจผู้คนได้เป็นจำนวนมาก?

ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน

เอกอัครราชทูตเว่ยชงเฟิงพลันฉีกยิ้มเย็นชา

เขามองผู้คนเรือนแสนของชาวจักรวรรดิเป่ยไห่ที่กำลังส่งเสียงร้องด้วยความคึกคักบนอัฒจันทร์ด้านนอก แววตาบอกชัดถึงความขบขันเป็นอย่างยิ่ง “ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ จักรวรรดิเป่ยไห่ขาดแคลนวีรบุรุษมากเกินไป หลินเป่ยเฉินเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายของพวกเขา นี่สิถึงเรียกว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลาเบาปัญญาและน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ในอีกสามวันต่อจากนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างจะต้องซ้ำรอยเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากร่างของเกาเฉิงฮั่นมาเป็นหลินเป่ยเฉินแทนเท่านั้น และเมื่อถึงตอนนั้น ชาวเป่ยไห่ก็คงไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะมาโห่ร้องได้อีกแล้ว!”

เสียงพูดของเว่ยชงเฟิงไม่ดังมาก แต่ก็ดังพอที่ผู้คนในห้องรับรองจะได้ยินกันอย่างทั่วถึง

หลายคนจ้องมองตาขวาง

เว่ยชงเฟิงยิ้มตอบกลับไปปราศจากความหวาดกลัว

องค์หญิงอวี่เค่อยังคงกอดตุ๊กตาหมีอยู่ในอ้อมแขนระหว่างที่พูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ท่านลุงเว่ยก็นำความจริงมาพูดเล่น แต่ท่านพี่เป่ยเฉินมีฝีมือดีเช่นกัน เห็นทีข้าคงต้องขอร้องท่านป้าไป๋ให้ออมมือสักหน่อยแล้ว มิฉะนั้น ท่านพี่เป่ยเฉินคงไม่อาจรอดชีวิตได้อีก…”

บางคนถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินประโยคนั้น

บนอัฒจันทร์ฝั่งตะวันตก

เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานนั่งอยู่ในกลุ่มคนดู

พวกเขาเองก็แอบมารับชมการประลองเช่นกัน

จังหวะที่หลินเป่ยเฉินปรากฏตัว แววตาของจูจวิ้นหลานก็เต็มไปด้วยประกายความเกลียดชัง

“เหตุไฉนเจ้าลูกเต่าตัวนี้ถึงยังไม่ตายอีก”

เขากัดฟันกรอด

เกออู๋โหยวถามด้วยความสงสัยใจว่า “ท่านอุตส่าห์ว่าจ้างผู้มีพลังระดับเซียนเหล่านั้นให้ไปลอบสังหารหลินเป่ยเฉินไม่ใช่หรือ? เหตุไฉนถึงไม่มีสิ่งใดคืบหน้า? ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ข้าไม่เคยได้รับทราบข่าวว่าหลินเป่ยเฉินจะถูกลอบสังหารเลยสักครั้ง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จูจวิ้นหลานก็ยิ่งกัดฟันด้วยความเคียดแค้นมากกว่าเดิม

“นับตั้งแต่ที่เจ้าตัวบัดซบทั้งสามนั่นรับศิลาบูชาของข้าไป พวกมันก็หายลับเข้ากลีบเมฆ ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย” จูจวิ้นหลานตอบด้วยความขมขื่น “หลายวันที่ผ่านมา ข้าพยายามทำทุกวิธีเพื่อติดต่อพวกมัน แต่ก็หาได้เป็นผลไม่ ข้าถึงกับส่งข้อความไปในป้ายประจำตัว แต่พวกมันก็ไม่ตอบกลับมา”

“ว่าอย่างไรนะ?”

เกออู๋โหยวขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “หรือว่าท่านจะ…”

ถูกผู้มีพลังระดับเซียนเหล่านั้นหลอกเอาเสียแล้ว?

แต่เด็กหนุ่มพูดไม่จบประโยค

เพราะเขานึกขึ้นมาได้เสียก่อนว่าหากพูดสิ่งที่ตนคิดออกไป จูจวิ้นหลานย่อมต้องสติแตกเป็นแน่แท้ และนั่นก็จะทำให้อาการบาดเจ็บภายในของผู้มีพลังระดับเซียนผู้นี้รักษายากมากยิ่งขึ้น

“… รอต่อไปอีกสักหน่อย ถึงอย่างไรพวกเขาก็รับศิลาบูชาจากท่านไปแล้ว และอีกไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวผู้มีพลังระดับเซียนทั้งสามนั้นก็ต้องแวะมารับเงินเดือนที่เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะลองถามไถ่ดูให้ก็แล้วกัน”

เกออู๋โหยวพยายามสรรหาถ้อยคำปลอบโยนอย่างสุดความสามารถ “อีกอย่าง ท่านไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่แน่นอน บางทีพวกเขาอาจกำลังเตรียมแผนการลอบสังหารอยู่ก็เป็นได้”

จูจวิ้นหลานสูดหายใจลึก ตอบว่า “ข้าเองก็พยายามคิดเช่นนั้น มิฉะนั้นแล้ว ข้าก็คงจะต้องทำให้พวกมันรู้ว่าไม่ใช่ผู้ใดจะมาหลอกเอาศิลาบูชาของตระกูลจูไปได้ง่าย ๆ เด็ดขาด”

บนสังเวียนเฟิงอวิ๋น

“นี่ เจ้าทำกระบี่ของข้าหัก”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความโกรธแค้น “หากเจ้าชดใช้ด้วยคันธนูในมือ บางทีข้าอาจจะไม่ฆ่าเจ้าในการประลองอีกสามวันหลังจากนี้ก็ได้”

อวี้ซือไป๋หยุดชะงัก

ก่อนยิ้มออกมาเล็กน้อย

รอยยิ้มบนใบหน้าของนางคือสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง

แน่นอนว่าสำหรับในสายตาของอวี้ซือไป๋ เด็กหนุ่มผู้นี้มีความน่าสนใจมากขึ้นแล้ว

“เจ้ากำลังหมายถึงคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้?”

อวี้ซือไป๋หัวเราะในลำคอและเสกคันธนูสีเงินขึ้นมาจากกลางอากาศอีกครั้ง

“ใช่ ย่อมเป็นคันธนูนั้น”

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายแวววาว

คันธนูนี้มีสถานะเป็นอาวุธประจำชาติ นั่นหมายความว่าย่อมมีมูลค่าสูงส่ง

คงสามารถเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นศิลาบูชาได้สักหลายพันหรือหลายหมื่นก้อนกระมัง?

หากสามารถแย่งชิงมาได้ จักรวรรดิจี้กวงก็แทบจะล่มสลายแล้ว

อวี้ซือไป๋มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเหยียดหยาม

หลังจากนั้น มือธนูจ้าวอินทรีก็ยกมือขวาขึ้นทำท่าใช้นิ้วดึงสายธนูล่องหนไปทางด้านหลัง ก่อนจะปล่อยมือและให้สายธนูนั้นดีดตัวส่งเสียงดัง ‘ผึง’

เกิดคลื่นแรงสั่นสะเทือนแผ่กระจาย

และในลมหายใจต่อมา คลื่นแรงสั่นสะเทือนนั้นก็ส่งเสียงดังกัมปนาทราวกับฟ้าคำรามยามพายุคุ้มคลั่ง

นี่คือพลังแห่งคลื่นเสียง!

เพียงพริบตาเดียว กลุ่มผู้คนที่กำลังส่งเสียงตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินก็ต้องรีบยกมืออุดหู เลือดลมในร่างกายพลุ่งพล่าน หัวใจเต้นผิดจังหวะ

ความเงียบปกคลุมบรรยากาศ

บรรยากาศแห่งความหมดหวังหวนกลับคืนมา

เสียงตะโกนของผู้คนนับแสนรอบอัฒจันทร์ถูกกดทับด้วยเสียงการดีดตัวของสายธนูเพียงครั้งเดียว…

อวี้ซือไป๋ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาราวกับว่าตนเองไม่ได้ทำสิ่งใดที่ผิดปกติไปจากเดิม

“คันธนูนี้ชาวเป่ยไห่ไม่มีค่ามากพอที่จะคู่ควร”

อวี้ซือไป๋มองหน้าหลินเป่ยเฉินพูดน้ำเสียงเย็นชา แววตาบอกชัดถึงความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตน และแน่นอนว่านางกำลังเหยียดหยามฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผย

หลินเป่ยเฉินยักไหล่ไม่แยแส ตอบเสียงเรียบว่า “คันธนูนี้ต้องเป็นของข้า อีกสามวันข้างหน้า มันจะไม่ใช่ของเจ้าอีกต่อไป”

“กร๊าซซซ…!”

พลัน เสียงร้องแสบแก้วหูดังขึ้นในอากาศ

เงาดำขนาดใหญ่ยักษ์ทาบทับพื้นดินอีกครั้ง

อินทรีอสูรปีกมรกตบินกลับมาแล้ว

พลังกดดันจากสัตว์อสูรร่างยักษ์แผ่ครอบคลุมรอบบริเวณ

อวี้ซือไป๋ดีดตัวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

“เกาเฉิงฮั่นแห่งเป่ยไห่อ่อนแอมากเกินไป ทำให้ข้าผิดหวังนัก”

นางทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนหลังอินทรีอสูรและก้มมองลงมาจากที่สูง กล่าวเสียงดังกังวานสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

“หลินเป่ยเฉิน เจ้ากลับไปเตรียมงานศพเอาไว้ให้ดี สามวันหลังจากนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยลูกศรดอกเดียว”

พูดจบ

อินทรีอสูรปีกมรกตก็กลายร่างเป็นลำแสงสีเขียวหายลับไปในอากาศ

รอบสังเวียนต่อสู้เกิดความเงียบงันพักใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสบถก่นด่าอื้ออึง

อวี้ซือไป๋โอหังมากเกินไปแล้ว

นางกล้าดีอย่างไรถึงพูดเช่นนี้ออกมา?

แต่ระดับพลังของนางนั้นก็น่ากลัวจริง ๆ

พลังของคันธนูในมือนางไม่ต่างจากภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับจิตใจทุกผู้คนอย่างหนักหน่วง

ใช่แล้ว

เกาเฉิงฮั่นยอดฝีมือระดับเซียนของพวกเขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

แล้วหลินเป่ยเฉิน ยอดฝีมือระดับเซียนหน้าใหม่ จะสามารถเอาชนะนางได้หรือไม่?

ดวงตาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องมองไปที่ร่างของเด็กหนุ่มในชุดขาว ซึ่งกำลังช่วยประคองเกาเฉิงฮั่นที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่บนเวทีประลอง

พวกเขาต้องการปฏิกิริยาตอบรับจากเด็กหนุ่มผู้นี้

ขอเพียงประโยคเดียว หรือคำเดียวก็ได้

อย่างน้อย ช่วยแสดงสีหน้ามั่นใจออกมาสักหน่อยก็ยังดี

พวกเขากำลังคาดหวังปฏิกิริยาเหล่านั้นจากหลินเป่ยเฉิน เพื่อให้ตนเองได้มีความหวังในการประลองอีกสามวันข้างหน้าต่อไป

และหลินเป่ยเฉินก็ไม่ทำให้ผู้ใดต้องผิดหวัง

“ไม่มีใครสามารถเอาชนะข้าได้ทั้งนั้น”

หลินเป่ยเฉินประกาศกร้าว

ร่างของเขาพลิ้ววูบ

เด็กหนุ่มกับเกาเฉิงฮั่นหายลับไปจากเวทีประลองแล้ว

แต่เสียงพูดด้วยความมั่นใจของเขายังคงก้องกังวานอยู่ในอากาศ