ตอนที่ 2181 เด็กน้อยโง่เง่า

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 2181 เด็กน้อยโง่เง่า

“กินเนื้อด้วยสิ!”

ชายหนุ่มฉีกขาหน้าข้างหนึ่งของละมั่งออกมาและยื่นให้จางเซวียน

จางเซวียนหิวโซอยู่แล้ว จึงไม่ลังเลที่จะกัดเนื้อละมั่งเต็มคำ

ต้องยอมรับว่าเนื้ออสูรสวรรค์มีความอร่อยเหนือชั้น เขาคิดว่าเนื้อละมั่งน่าจะเหนียวและเคี้ยวยาก แต่กลับตรงกันข้าม เนื้อนั้นดูจะละลายในปาก ปล่อยกระแสความอบอุ่นให้ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา

หลังจากกินเนื้อเสร็จและดื่มไวน์อีก 2-3 อึกใหญ่ จางเซวียนก็อิ่มแปล้ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันหายวับไป

จางเซวียนยิ้ม เขาลุกขึ้นจากด้านข้างกองไฟและยืดหลังบิดขี้เกียจก่อนจะพูดว่า “ผมขอรับเนื้อกับไวน์นี้เป็นค่าตอบแทนที่ช่วยชีวิตคุณก็แล้วกัน ผมยังมีธุระต้องไปจัดการ ขอตัวก่อน”

เมื่อพูดจบ ก็เดินเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา

การตัดสินใจช่วยชีวิตชายหนุ่มเป็นการตัดสินใจชั่ววูบ เป็นเพียงเรื่องที่เข้ามาขัดจังหวะชั่วคราว เขายังต้องหาตัวอสูรเกราะเรืองแสงให้เจอเพื่อจะได้รีบยกระดับวรยุทธ

ชายหนุ่มชำเลืองมองทิศทางที่จางเซวียนกำลังมุ่งหน้าไปและเปรย “นี่ก็กลางดึกกลางดื่นแล้ว คุณจะเข้าไปในภูเขาตอนนี้น่ะหรือ?”

อันตรายมากมายแฝงตัวอยู่ในหุบเขายามดึกดื่นแบบนี้ ทำไมชายหนุ่มถึงเลือกเดินทางต่อแทนที่จะรอจนรุ่งเช้า?

“บอกคุณตามตรงเลยนะ วรยุทธของผมน่ะมาถึงด่านคอขวดแล้ว ผมกำลังเสาะหาวิธีก้าวข้ามด่านคอขวดอยู่” จางเซวียนตอบ

“วิธีก้าวข้ามด่านคอขวด?” ชายหนุ่มพยักหน้า

เขาตรวจสอบวรยุทธของอีกฝ่าย และพบว่าใกล้จะได้เป็นเทพเจ้าขั้นกลางแล้ว พอเข้าใจได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงร้อนใจอยากก้าวข้ามด่านสุดท้ายให้สำเร็จ เพราะตอนนี้ก็ใกล้จะฝ่าด่านวรยุทธได้เต็มที

“ผมมาที่หุบเขานี้หลายครั้งแล้ว คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมดี บอกผมมาเถอะว่าคุณกำลังตามหาอะไร แล้วผมจะช่วย” ชายหนุ่มเสนอ

“เอ่อ เรื่องเป็นอย่างนี้…” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพูดความจริงกับชายหนุ่ม “ด้วยธรรมชาติเฉพาะตัวของเทคนิควรยุทธของผม ผมจึงต้องยกระดับวรยุทธของกายเนื้อและจิตวิญญาณให้ได้ก่อนที่จะยกระดับวรยุทธของพลังปราณ ซึ่งผมพบวิธียกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณแล้ว แต่ยังหาวิธีบ่มเพาะกายเนื้อไม่ได้”

“เมื่อกลางวัน ผมได้ยินว่ามีอสูรเกราะเรืองแสงตัวหนึ่งอยู่ที่นี่ เลือดของมันมีประโยชน์ในการบ่มเพาะกายเนื้อของนักรบ จึงตัดสินใจมาสำรวจดู”

“อสูรเกราะเรืองแสง? คุณอยากได้เลือดของมันหรือ?”

ชายหนุ่มประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เขายิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่คาดเดาได้ยากและตั้งคำถาม “คุณคิดว่านักรบที่มีประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับคุณจะรับมือกับอสูรสวรรค์ที่มีวรยุทธระดับเทพเจ้าขั้นสูงได้หรือ?”

“ผมก็สงสัยอยู่” จางเซวียนตอบอย่างกระอักกระอ่วน

เขามีทั้งเทคนิควรยุทธเวทนาสวรรค์และศิลปะเพลงดาบ จึงเอาชนะนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลางได้สบาย แต่คงไม่ง่ายหากต้องรับมือกับนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง

แถมอีกฝ่ายยังเป็นอสูรสวรรค์ผู้ทรงพลังด้วย!

แน่นอนว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่การสังหารอสูรเกราะเรืองแสง แต่เพื่อให้ได้เลือดบางส่วนของมันมา ด้วยศักยภาพของหอสมุดเทียบฟ้าและการพูดจาหว่านล้อมของเขา จางเซวียนมั่นใจว่าเขาน่าจะกล่อมให้อสูรเกราะเรืองแสงยอมให้เลือดของมัน หรือแม้แต่ยอมจำนนต่อเขาได้เลยทีเดียว!

เพราะถึงอย่างไร หัวใจของทักษะการฝึกอสูรของเขาก็ไม่ใช่ประสิทธิภาพการต่อสู้อยู่แล้ว แต่เป็น บุคลิกภาพอันโดดเด่นของตัวเขาเอง

เอาเถอะ ในช่วงเวลาแบบนี้ เขาคงไม่อาจโปรยเสน่ห์ได้เต็มที่ แต่ก็น่าจะใช้ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าเป็นของแลกเปลี่ยนได้ ถึงอย่างไรเขาก็มียานั้นอยู่มากมาย

ในเมื่อหุบเขาแห่งนี้ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ อสูรเกราะเรืองแสงก็น่าจะยิ่งกว่ายินดีที่จะยอมรับข้อแลกเปลี่ยน

“คุณนี่กล้าบ้าบิ่นดีนะ หรือไง? ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจสักนิด ก็กล้ามาถึงนี่…” ชายหนุ่มส่ายหัวและถอนหายใจ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัย คุณบอกว่าคุณอยากได้เลือดของอสูรเกราะเรืองแสง แล้วคุณรู้ไหมว่ามันอยู่ที่ไหน? มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร?”

“ผมคิดว่า ขอแค่ผมพบอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าขั้นสูงสักตัวที่มีประสิทธิภาพการป้องกันตัวแบบเหนือชั้น ก็น่าจะเป็นมันนั่นแหละ” จางเซวียนตอบ

เจ้าผู้จัดการบอกเขาว่าอสูรเกราะเรืองแสงอาศัยอยู่ในหุบเขาเมฆบัง แต่เมื่อเขาพยายามซักไซ้รายละเอียด ก็กลายเป็นว่าหมอนั่นไม่รู้อะไรมากนัก แค่ฟังต่อๆมาจากคนอื่น จึงไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง

ดังนั้น แผนการของจางเซวียนก็คือทำให้อสูรสวรรค์สักตัวหนึ่งในหุบเขาเมฆบังยอมจำนนให้ได้โดยเร็ว เพื่อจะได้เค้นเอาข้อมูลจากมัน แต่ใครจะไปรู้ว่าทั้งๆที่เดินมาหลายชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่พบสักตัว!

ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงไม่ได้ข้อมูลตามที่ต้องการ

แต่ก็นั่นแหละ มีเพียงเส้นทางเดียวที่ทอดยาวเข้าไปในหุบเขา ถ้าเขาเดินตามเส้นทางนั้นไปเรื่อยๆ เขาก็มั่นใจว่าในที่สุดจะได้พบอสูรเกราะเรืองแสง

“สรุปว่าคุณจะอาศัยโชคช่วยอย่างเดียว? ไม่คิดบ้างหรือไงว่าเรื่องนี้มีอะไรจริงจังมากกว่านั้น?”

ชายหนุ่มเอนตัวพิงหน้าผาอย่างสบายใจขณะมองจางเซวียนอย่างนึกสนุก

“ผมเคยทำให้อสูร 2-3 ตัวยอมจำนนมาแล้ว จึงพอรู้อารมณ์และนิสัยของพวกมัน ผมมั่นใจว่าทันทีที่พบมัน ก็น่าจะหว่านล้อมให้มันยอมฟังผมได้” จางเซวียนตอบพร้อมกับโบกมือ “ขอบคุณอีกครั้งสำหรับไวน์ชั้นดีกับเนื้อละมั่ง ผมมีเวลาไม่มาก ต้องขอตัวแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคงกลับออกมาไม่ทันรุ่งเช้า…”

เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็ออกเดินลึกเข้าไปในหุบเขา

“เด็กน้อยโง่เง่า…” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน “เอาเถอะ ในเมื่อวันนี้คุณช่วยชีวิตผม ผมก็จะช่วยคุณตามหาอสูรเกราะเรืองแสง!”

“แบบนั้นก็รบกวนคุณเกินไป” จางเซวียนตอบพร้อมกับส่ายหน้า “ผมรู้ว่าคุณน่ะแข็งแกร่ง แต่อสูรเกราะเรืองแสงเป็นอสูรสวรรค์ที่ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพการป้องกันตัว ผมเชื่อว่าแม้แต่คุณก็คงรับมือกับมันได้ยาก ผมไม่คิดว่าผมควรจะลากคุณเข้ามาเสี่ยงกับเรื่องส่วนตัวของผมหรอก”

“ไม่มีปัญหาน่ะ ถึงอย่างไรตอนนี้ผมก็ว่างอยู่ ผมจะกลายเป็นคนชนิดไหนกันหากนิ่งเฉยและปล่อยให้ผู้มีพระคุณของผมเดินดุ่มเข้าหาอันตราย? อีกอย่าง ผมค่อนข้างจะแน่ใจว่าคุณหาตัวอสูรเกราะเรืองแสงไม่พบก่อนรุ่งเช้าหรอกถ้ายังมะงุมมะงาหราอยู่แบบนี้”

ชายหนุ่มหยิบน้ำเต้าที่เหลือไวน์อยู่อีกครึ่งหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็เดินมาหาจางเซวียน

ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนเพิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายมีรูปร่างสูงมาก สูงตระหง่านเกินกว่า 2 เมตรเสียอีก เมื่อความสูงผนวกกับร่างกายที่ล่ำสัน ก็ทำให้เขาเป็นชายที่ดูแข็งแกร่งบึกบึน

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอน้อมรับความปรารถนาดีของคุณ แต่ก็แน่นอนว่าผมไม่ควรรับความช่วยเหลือของคุณโดยปราศจากสิ่งตอบแทน นี่คือยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า 5 เม็ด ถือเสียว่าเป็นค่าชดเชยก็แล้วกัน” จางเซวียนพูดขณะโยนขวดหยกใบหนึ่งให้

เขาไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร ในเมื่อชายหนุ่มยืนกรานจะช่วย ก็ควรมอบของตอบแทนให้อีกฝ่ายตามความเหมาะสม

แม้แต่กับนักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูง ยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า 5 เม็ดก็ถือเป็นของล้ำค่าก้อนโต

“ฮะ?”

ชายหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้รับ เขารับขวดหยกจากมือของจางเซวียนและเปิดจุกขวด

มียาเม็ดแก่นสารเทพเจ้า 5 เม็ดอยู่ในนั้นจริงๆ

ชายหนุ่มหยิบเม็ดหนึ่งขึ้นมาดมฟุดฟิดเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าของจริง ก่อนจะตาโตด้วยความยินดีปรีดา “ขอบคุณมาก!”

เขาโยนยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าเข้าปาก รู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณอันอบอุ่นที่ไหลไปทั่วทางเดินพลังปราณ ตรงเข้าบ่มเพาะร่างกายของเขา ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็เก็บยาเม็ดแก่นสารเทพเจ้าที่เหลือไว้ในกระเป๋าเสื้อก่อนจะเดินเข้ามาขนาบข้างจางเซวียน “มาเถอะ ตามผมมา ผมจะพาคุณไปหาอสูรเกราะเรืองแสง!”

จางเซวียนตามอีกฝ่ายไป ทั้งคู่เดินลึกเข้าไปในหุบเขา

ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ไม่เหมือนใครของภูเขาแห่งนี้ กระแสลมที่พัดอยู่โหมกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆขณะที่ทั้งคู่เดินลึกเข้าไป

จางเซวียนกับชายหนุ่มเดินต่อไปอีกเกือบ 1 ชั่วโมง ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยุดหน้าถ้ำสีดำสนิทแห่งหนึ่งและพูดว่า “เรามาถึงแล้ว ถ้ำตรงหน้านี่แหละคือรังของอสูรเกราะเรืองแสง!”

ปากถ้ำมีความสูงอย่างเหลือเชื่อ สูงราวสิบเท่าของความสูงของมนุษย์ และภายในก็แสนจะมืดมิด เมื่อมองจากภายนอกก็แทบบอกไม่ได้เลยว่ามีอะไรอยู่ข้างในบ้าง

“ที่นี่หรือ?” จางเซวียนย้อนถาม

ดูเหมือนอสูรเกราะเรืองแสงจะตัวใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้ เพราะไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางที่มันจะสร้างถ้ำขนาดมหึมาแบบนี้ไว้เป็นรังของมันได้

“ก็ใช่น่ะสิ คุณอยากจับตัวมันไม่ใช่หรือ? เข้าไปเลย ผมจะระวังหลังให้ ต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ เรียกผมก็แล้วกัน” ชายหนุ่มพูด

“ตามนั้น” จางเซวียนพยักหน้า

จางเซวียนสูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลัดเลาะอย่างเงียบเชียบไปตามทางเดินที่ตรงเข้าสู่ถ้ำ ชายหนุ่มตามหลังไปติดๆ

ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงปากถ้ำ

จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ก่อนจะเดินเข้าไปในถ้ำ และเพื่อความปลอดภัย จึงลัดเลาะไปตามผนัง

ไม่ช้าทางเดินก็กว้างขึ้น เผยให้เห็นที่โล่ง มีแสงสว่างจางๆจากที่โล่งนั้น

“น่าจะเป็นที่นี่แหละ” ชายหนุ่มส่งโทรจิตบอกจางเซวียน

จางเซวียนเงยหน้าขึ้น เห็นอสูรสวรรค์ตัวมหึมาหลับอยู่บนแท่นหินภายในที่โล่งแห่งนั้น มันมีความยาวราว 7 เมตร ทั้งตัวปกคลุมด้วยขนสีเทา

“ทำไมถึงดูเหมือนหมาป่า?” จางเซวียนครุ่นคิด

ไม่ว่าจะมองอย่างไร อสูรสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คล้ายกับหมาป่าตัวหนึ่ง

อสูรเกราะเรืองแสงนั้นขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพการป้องกันตัวที่ไม่มีใครเทียบได้ ยากจะเชื่อว่าขนสีเทานั้นแข็งแกร่งพอที่จะเรียกว่า ‘ประสิทธิภาพการป้องกันตัวที่ไม่มีใครเทียบได้’

“ก็เจ้านั่นแหละ ผมมาที่นี่บ่อยๆ ไม่มีทางเข้าใจผิดแน่” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับพยักหน้า

“ผมเข้าใจ” จางเซวียนตอบรับอย่างเคร่งขรึม

เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็ชักดาบออกมาและปล่อยปราการกระแสดาบฉี

ยังไม่ทันที่ปราการกระแสดาบฉีจะตรงเข้าเล่มงานอสูรเกราะเรืองแสง อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะรู้ตัวว่ามีผู้บุกรุก มันลุกพรวด การตวัดหางหนาหนักอย่างแรงทำให้เกิดลมพายุเกรี้ยวกราดพัดกระหน่ำภายในถ้ำ

“มันเป็นอสูรระดับเทพเจ้าขั้นสูงจริงๆ!” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตขณะหลบเลี่ยงการโจมตีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

รู้ดีว่าการรับมือกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขาหลายเท่าเป็นเรื่องอันตราย จางเซวียนจึงตัดสินใจใช้เทคนิคที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาโดยไม่ลังเล

“หัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม!”

เพียงชั่วพริบตา กระแสดาบฉีของเขาก็ถักทอร้อยรัดเข้าด้วยกัน เกิดเป็นบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนกับแหดักปลาและร่วงลงมาคลุมร่างของอสูรเกราะเรืองแสงไว้