บทที่ 920 ภารกิจฝืนชะตาฟ้าลิขิต

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 920 ภารกิจฝืนชะตาฟ้าลิขิต

ผู้คนทั่วทั้งจักรวรรดิล้วนอยากรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป

ต้องยอมรับเลยว่าความพ่ายแพ้ของเกาเฉิงฮั่นส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อจักรวรรดิเป่ยไห่

โดยเฉพาะหลังจากที่เขาใช้ท่าไม้ตายออกมา แต่ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่คู่ต่อสู้ เรื่องนี้ทำให้ขวัญกำลังใจของนายทหารในจักรวรรดิเป่ยไห่ลดลงเป็นอย่างมาก

นับว่ามือธนูจ้าวอินทรีอวี้ซือไป๋มีความน่ากลัวจริง ๆ

คันธนูที่อยู่ในมือของนางยิ่งน่ากลัวมากกว่านั้น

แม้การต่อสู้จะจบลงไปหลายชั่วยามแล้ว แต่เหล่ามือกระบี่และผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้รับชมภาพการต่อสู้ ก็ยังต้องใช้เวลาทั้งหมดนั่งวิเคราะห์กระบวนท่าการยิงธนูของอวี้ซือไป๋ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

คนส่วนใหญ่รู้สึกเพียงอย่างเดียวว่า…

นางแข็งแกร่งมาก!!

แข็งแกร่งอยู่ในระดับใด?

ไม่มีผู้ใดบอกได้

อาจจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าเกาเฉิงฮั่นอยู่หนึ่งขั้น

แต่พวกเขามีพลังอยู่ในขั้นเซียนไม่ใช่หรือ?

อีกอย่าง ทุกคนไม่ได้รับชมการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังระดับเซียนมาหลายปีแล้ว

โดยเฉพาะบนสังเวียนประลองเช่นนี้

บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ล้วนเคยอยากรับชมการต่อสู้ที่สูงส่งเช่นนี้ แต่เมื่อมีโอกาสได้รับชมขึ้นมาจริง ๆ พวกเขากลับไม่เข้าใจสิ่งใดเลยทั้งสิ้น

เซียนกระบี่ขี้เมาเกาเฉิงฮั่นกับมือธนูจ้าวอินทรีอวี้ซือไป๋ ระหว่างสองคนนี้ความแตกต่างคือสิ่งใด?

พวกเขาไม่น่ามีระดับพลังที่ห่างชั้นกันมากเกินไป

หากไม่มีคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ เกาเฉิงฮั่นจะเป็นผู้ชนะหรือไม่?

ประเด็นนี้ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางและยังคงได้รับการพูดถึงอย่างต่อเนื่อง

“หากนางไม่มีคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ เกาเฉิงฮั่นก็จะต้องเป็นผู้ชนะแน่นอน”

“แต่ถึงไม่มีแล้วจะอย่างไร? ช่องว่างของระดับพลังทั้งสองคนต่างกันมากเกินไปอยู่ดี”

“นั่นสิ ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าความจริงนั้น อวี้ซือไป๋สามารถเลื่อนระดับขึ้นเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสี่ได้แล้ว ต่อให้นางไม่ใช้คันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ เกาเฉิงฮั่นก็ยังไม่มีโอกาสชนะอยู่ดี!”

“อวี้ซือไป๋เป็นผู้ชนะมาตั้งแต่แรกแล้ว ยามเผชิญหน้ากับเกาเฉิงฮั่น นางยังไม่ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาด้วยซ้ำ…”

“แล้วอย่างนั้น… หลินเป่ยเฉินจะมีโอกาสชนะหรือไม่?”

“ไม่มี เว้นแต่เขาจะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์…”

“แต่ได้ข่าวว่าอวี้ซือไป๋ก็มีเทพวิหคคอยหนุนหลังอยู่เช่นกัน”

“ข้าได้รับทราบข่าวลือมาว่าอวี้ซือไป๋เป็นคนแรกของจักรวรรดิจี้กวงที่…”

ไม่ว่าจะเป็นตามตลาดสด โรงเตี๊ยม หอนางโลมหรือสถานที่นัดพบปะพูดคุยต่าง ๆ ทุกคนต่างก็พูดถึงการประลองที่จะเกิดขึ้นอย่างออกรสออกชาติ

แม้คำพูดของหลินเป่ยเฉินที่ว่า ‘ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะข้าได้’ จะทำให้ผู้รับชมจำนวนมากสบายใจมากขึ้น แต่เมื่อลองวิเคราะห์ดูดีๆ แล้ว กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็รู้สึกว่านี่คือความหวังที่ไม่มีทางเป็นไปได้… ผู้มีพลังระดับเซียนหน้าใหม่จะสามารถรับมือกับผู้มีพลังระดับเซียนมากประสบการณ์ได้อย่างไร?

“ในจักรวรรดิเป่ยไห่ของพวกเราจะไม่มีใครสามารถสู้กับอวี้ซือไป๋ได้เลยสักคนเชียวหรือ?”

ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา

“บางทีอาจจะมี… ได้ยินว่าคุณชายเว่ยหมิงเฉินแห่งมณฑลเฉียนเกา มีฝีมือเก่งกาจด้านการต่อสู้มากใช่หรือไม่?”

ไม่มีใครทราบว่าข่าวลือนี้มาจากที่ใด แต่เป็นที่โจษจันกันว่าเว่ยหมิงเฉินเป็นผู้มีพลังระดับเซียน ซ้ำยังมีพลังปราณธาตุอยู่ถึงสองชนิด

นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่าตอนที่เว่ยหมิงเฉินไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเป็นทางการนั้น เขาผ่านการทดสอบได้ถึงตำแหน่งเซียนขั้นเหรียญทองคำ

เมื่อการสนทนาดำเนินมาถึงตรงนี้ ผู้คนจำนวนมากกลับฝากความหวังเอาไว้ที่เว่ยหมิงเฉินเสียแล้ว

คุณชายหนุ่มแห่งตระกูลเว่ยกลายเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในนครหลวง หลายคนถึงกับยกย่องให้เขาเป็นวีรบุรุษขี่ม้าขาวที่จะมาช่วยแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ที่เมื่อถกเถียงกันอย่างหนัก พวกเขาก็ลงความเห็นเป็นหนึ่งเดียวกันว่ามีเพียงเว่ยหมิงเฉินผู้โด่งดังเท่านั้น จึงจะสามารถต่อสู้กับอวี้ซือไป๋ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

ชื่อของเว่ยหมิงเฉินจึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้ง

จวนซางจั้วหยวน

หลังจัดแจงหาที่พักให้เกาเฉิงฮั่นเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็ไปนอนแช่น้ำอุ่นและกลับมานอนเปลือยกายใช้ความคิดอยู่ในห้องนอนของตนเอง

ความแข็งแกร่งของมือธนูจ้าวอินทรีอวี้ซือไป๋คือสิ่งที่กำลังกดดันเขาเป็นอย่างมาก

“คันธนูนั้นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด”

“บาดแผลที่เกิดขึ้นจากมัน แม้แต่วงแหวนวารีก็รักษาไม่ได้”

“ถ้าเป็นอย่างนี้ เราคงต่อสู้ตรง ๆ ไม่ได้”

“ขนาดกระบวนท่ากระบี่เซียนสะเทือนบัลลังก์เทพฉบับปรับปรุงใหม่ของพี่ใหญ่เกายังทำอะไรนางไม่ได้ ถึงกระบวนท่าไม้ตายของเราจะมีพลังโจมตีเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นเซียนระดับสี่ แต่หากเผชิญหน้ากับคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ขึ้นมาจริง ๆ ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้”

“การต่อสู้ครั้งนี้เราจะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด”

“อาวุธทุกชนิดที่เรามีอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถใช้สู้กับคันธนูของนางได้เลย…”

“นี่หมายความว่าเราต้องการอาวุธที่ทรงพลังมากขึ้น…”

“หรือไม่เราก็ต้องการสิ่งที่มีพลังคุ้มครองแข็งแกร่ง”

“แต่อาวุธน่าจะมีความหวังมากกว่า”

“ต่อให้กระบี่สายฟ้าไม่ได้แตกหักไป มันก็คงไม่สามารถใช้สู้กับคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ได้อยู่ดี…”

“หรือเราจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาเป็นโล่กำบังตอนที่นางยิงธนูเข้ามาดีนะ?”

หลินเป่ยเฉินเกิดความคิดบรรเจิด แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปทันที

หากโทรศัพท์มือถือได้รับความเสียหายขึ้นมา อย่าว่าแต่จะหาทางกลับโลกมนุษย์เลย แค่มีชีวิตอยู่ต่อไปก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ

เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็นึกได้ว่าเขาคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหันหน้าขอความช่วยเหลือจากทางราชวงศ์

พรุ่งนี้เช้าเขาจะไปคุยกับขันทีชราจางเชียนเชียนเพื่อดูว่าจะขอยืมอาวุธวิเศษของทางราชวงศ์ได้บ้างหรือไม่

พูดถึงเรื่องราชวงศ์แล้ว หลินเป่ยเฉินพลันนึกถึงเจ้าเสือดาวลายมังกรขึ้นมาทันที

ไม่รู้เลยว่าป่านนี้การทำงานของมันจะได้ผลกำไรสักเท่าไหร่

มันคงมีความสุขมากทีเดียว

ต้องไม่ลืมว่านี่คืองานในฝันของสิ่งมีชีวิตเพศผู้ทุกชนิด

หลินเป่ยเฉินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดแอปวีแชทและส่งข้อความไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

แต่เมื่อส่งข้อความไปแล้ว กลับไม่มีการตอบสนอง

นางคงไม่ได้ออนไลน์

เขาจึงกดเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

และพบว่าห้าวันก่อน เทพีกระบี่หิมะไร้นามเพิ่งจะโพสต์สเตตัสใหม่เป็นรูปภาพเรียวขาขาวเนียนของนางอยู่ท่ามกลางไหสุราจำนวนมาก นางโพสต์รูปภาพนั้นหนึ่งรูป และอีกแปดรูปที่เหลือก็เป็นรูปไหสุราหมดทั้งสิ้น

ไหสุราแต่ละใบมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป

เทพีกระบี่หิมะไร้นามเขียนแคปชั่นสำหรับการโพสต์รูปเหล่านี้ว่า : ดื่มสุราเพื่อดับทุกข์

หลินเป่ยเฉินจ้องมองรูปภาพเหล่านั้นอย่างใช้ความคิด

ดูเหมือนเทพีกระบี่หิมะไร้นามจะมีปัญหาชีวิตอีกแล้วสิ

ว่ากันตามข้อความที่นางส่งหาเขาครั้งล่าสุด หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกอยู่แล้วว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นามคงมีเรื่องใหญ่ให้ไปจัดการ และดีไม่ดี เรื่องใหญ่เหล่านี้อาจจะมีสาเหตุมาจากตัวเขาเองก็เป็นได้

“ดูเหมือนช่วงนี้เราคงไปรบกวนให้นางช่วยรักษาพี่ใหญ่เกาไม่ได้แล้วสิ ระหว่างนี้คงต้องให้พี่ใหญ่เกานอนเป็นผักอย่างนี้ไปก่อน”

หลินเป่ยเฉินกดปิดแอปวีแชท

ทันใดนั้น…

ติ๊ง!

เสียงข้อความแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน Keep ดังขึ้นมา

หืม?

วันนี้เขาทำภารกิจออกกำลังกายเสร็จไปแล้วนี่นา

หรือว่า…

มีภารกิจเร่งด่วน?

หลินเป่ยเฉินรีบกดเข้าไปดูข้อความแจ้งเตือนนั้นด้วยความตื่นตกใจ

ทุกครั้งที่รับทำภารกิจเร่งด่วน มันเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการเพิ่มพลังอย่างก้าวกระโดด

เด็กหนุ่มอ่านข้อความด้วยความเร็วไว

“ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านมีคุณสมบัติดีพอที่จะรับทำภารกิจฝืนชะตาฟ้าลิขิต…”

เนื้อหาภารกิจ : โปรดเลือกระหว่าง ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ความศรัทธา’

รางวัลที่จะได้รับเมื่อทำภารกิจสำเร็จ : การเลื่อนขึ้นสู่ระดับผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสองพร้อมด้วยพลังปราณธาตุทั้งห้าชนิด

หืม?

เมื่ออ่านรางวัลที่ตนเองจะได้รับ ดวงตาของหลินเป่ยเฉินก็เป็นประกายแวววาวด้วยความตื่นเต้น

ในบรรดาแอปพลิเคชันของโทรศัพท์เครื่องนี้ แอป Keep คือแอปที่หลินเป่ยเฉินโปรดปรานมากที่สุด

คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้มันกำลังจะช่วยเหลือเขาอีกแล้ว

การเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตผู้มีพลังระดับเซียนขั้นที่สองพร้อมกับพลังปราณธาตุทั้งห้า คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก

หากอาศัยความสามารถของหลินเป่ยเฉินเพียงลำพัง แม้จะมีความช่วยเหลือจากโทรศัพท์มือถืออย่างสุดความสามารถ และเสียสละศิลาบูชาเป็นจำนวนมหาศาล ประเมินดูว่ากว่าจะสามารถเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จ ก็คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปี

แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ง่าย

การเลื่อนระดับพลังครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดา

ต้องบอกเลยว่าของรางวัลสำหรับภารกิจนี้มีความล่อตาล่อใจมากเกินไป

เพียงแต่ว่าภารกิจฝืนชะตาฟ้าลิขิตนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่?

แล้วเขาต้องทำสิ่งใดเพื่อเลือกระหว่าง ‘ชื่อเสียง’ กับ ‘ความศรัทธา’ ?

เมื่อหลินเป่ยเฉินใจเย็นลงแล้วและคิดทบทวนดูใหม่อีกครั้ง เขาก็รู้สึกว่าภารกิจครั้งนี้คงไม่ง่าย