ณ นิกายหมื่นบุปผา เวลานี้ศิษย์ทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาฝึกวิชาด้วยความตั้งใจ
“ดูนั่นสิ นั่นคืออะไรกัน ?!”
จู่ ๆ ศิษย์คนหนึ่งก็สังเกตเห็นรอยแยกที่ส่องประกายสว่างจ้าปรากฏกลางอากาศและยืนขึ้นพร้อมเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ข้าสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทรงพลังอย่างที่สุด หรือว่ายอดฝีมือผู้แกร่งกล้าจะมาเยือนนิกายของเรา ?”
ศิษย์อีกคนคาดเดาออกมาขณะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแรงกล้าซึ่งทำให้นางหายใจติดขัดเล็กน้อย
“รีบไปแจ้งผู้คุมกฎทั้งสองและผู้อาวุโสทั้งสี่เร็วเข้า !”
ศิษย์ที่ยังใจเย็นคนหนึ่งกล่าวกับศิษย์หลายคนใกล้ตัวซึ่งยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงก่อนร่างของนางจะพุ่งตรงเข้าไปใกล้จุดที่รอยแยกประหลาดนั้นปรากฏขึ้นมา
ในเวลานี้ฮวาหรงก็กำลังหารือเรื่องบางอย่างกับฮวาเฉินและฮวาอวี่ ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังประหลาด สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที
ทั้งสามหันมองหน้ากันก่อนมุ่งหน้าออกจากเรือนและสังเกตเห็นรอยแยกกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
ฮวาเยว่และคนอื่น ๆ ก็เดินออกมาจากเรือนเช่นกันพร้อมเงยหน้าขึ้นมองกลางอากาศ
“นิกายหมื่นบุปผาของข้ามิใช่สถานที่ที่ใครจะบุกรุกเข้ามาก็ได้ บุคคลผู้นี้จะไม่เป็นที่ต้อนรับของพวกเราอย่างแน่นอน”
ฮวาเยว่กล่าวอย่างใจเย็น ทว่าแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากกลางอากาศก็ทรงพลังอย่างมากและทำให้นางรู้สึกถึงความอึดอัดขึ้นมา
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของนางก็คือบุคคลผู้นี้อาจจะเป็นผู้นำจากสามสำนักและอีกแปดนิกายที่บุกเข้ามาในนิกายหมื่นบุปผาของพวกตน
“ฮวาเยว่ ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทอีก ในเมื่อริอาจบุกเข้ามาในนิกายหมื่นบุปผาโดยพลการเช่นนี้ ต่อให้เป็นจ้าวสำนักหรือจ้าวนิกายจากสามสำนักและแปดนิกาย พวกเขาก็ต้องมีคำอธิบายดี ๆ ให้กับเรา !”
สีหน้าของฮวาหรงบิดเบี้ยวเล็กน้อยและรู้สึกว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศนี้คงจะต้องการอวดเบ่งพลังที่มหาศาลของตนเองและบั่นทอนขวัญกำลังใจในฝ่ายของพวกนาง จากนั้นนางก็เพียงพุ่งตรงเข้าไปอยู่ข้างกายฮวาเยว่พร้อมหยิบอาวุธขึ้นมาและจ้องมองไปกลางอากาศอย่างเยือกเย็น
แม้ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเสมอ ทว่าพวกนางก็ยังคงสามัคคีปรองดองกันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจากภายนอก
“ท่านผู้คุมกฎฝั่งซ้าย พวกเราเองเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้น เสียงของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนกลุ่มของนางจะก้าวออกมาจากรอยแยกห้วงมิตินั้น
“โอ้ เป็นศิษย์น้องอวี้โม่นั่นเอง ! พวกนางกลับมาหลังจากที่ทำภารกิจสำเร็จ !”
เมื่อได้ยินเสียงของฉินอวี้โม่ เซียงยู่ก็ลุกพรวดและกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที
ก่อนหน้านี้ที่ฉินอวี้โม่และคณะรับภารกิจของนิกายที่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จไป ทุกคนในนิกายต่างก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี
คนส่วนใหญ่ก็ประทับใจในตัวฉินอวี้โม่และแอบให้กำลังใจนางอย่างลับ ๆ มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นพวกเดียวกับเหลียนซวงและไม่ชอบหน้าฉินอวี้โม่เท่านั้นที่หวังให้นางติดอยู่ในดินแดนต้องห้ามไปตลอดและไม่รอดชีวิตกลับมาอีก
“ไม่คิดเลยว่าพวกนางจะทำภารกิจได้สำเร็จจริง ๆ ศิษย์น้องอวี้โม่ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก !”
ศิษย์ฝั่งซ้ายคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
แม้ฉินอวี้โม่เป็นเพียงศิษย์ที่เข้ามาใหม่ ทว่าพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของนางล้วนคู่ควรแก่ความเคารพอย่างแท้จริง
และหากนางบรรลุภารกิจนั้นได้จริง ๆ นางก็จะเป็นที่น่าเคารพชื่นชมมากกว่าเดิมเสียอีก
“พวกนางทำภารกิจสำเร็จได้อย่างไรกัน ?!”
สีหน้าของฮวาหรงเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางตระหนักถึงความยากลำบากของภารกิจนี้เป็นอย่างดีและการประสบผลสำเร็จมิใช่เรื่องง่ายเลย อย่างไรก็ตาม หากยังไม่บรรลุภารกิจนี้ ฉินอวี้โม่และสหายก็ไม่มีทางที่จะออกไปจากดินแดนต้องห้ามโดยที่ปราศจากความช่วยเหลือจากพวกนาง
“ฮ่า ๆ ๆ ฮวาหรง เกรงว่าเจ้าคงต้องผิดหวังเสียแล้ว”
ฮวาเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่ง นางทราบดีว่าศิษย์มากฝีมือเหล่านี้จะสร้างความประหลาดใจให้กับนางได้อย่างแน่นอน
“เหอะ ยังไม่แน่เสมอไปหรอกว่าพวกนางจะทำภารกิจสำเร็จจริง ๆ เจ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วไปหน่อยเลย”
ฮวาหรงแค่นเสียงเย็นชาและไม่อยากเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะทำภารกิจสำเร็จจริง ตั้งแต่ต้น แม้แต่นางก็ทำภารกิจนั้นไม่สำเร็จด้วยซ้ำ ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในตอนนี้อ่อนแอกว่านางในตอนนั้นมากนัก แล้วฉินอวี้โม่จะทำภารกิจที่ยากเย็นเช่นนั้นให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไร ?
“โอ้ งั้นรึ ? อีกประเดี๋ยวเราก็จะได้ทราบทุกอย่างเอง ผู้คุมกฎฝั่งขวาไม่ต้องกังวลไปหรอก”
ฮวาลั่วชำเลืองมองฮวาหรงและทราบดีว่าอีกฝ่ายมอบหมายภารกิจนี้ให้กับฉินอวี้โม่เพราะมีแผนการกำจัดพวกนาง ตอนนี้การที่ศิษย์เหล่านั้นรอดชีวิตกลับมาได้อย่างปลอดภัย นั่นหมายความว่าภารกิจนี้เสร็จสมบูรณ์แล้วและถือเป็นการตบหน้าฮวาหรงอย่างจัง
ฉินอวี้โม่เองก็ตกตะลึงเล็กน้อยและคิดไม่ถึงเลยว่าตนจะก่อให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้ได้
ขณะกวาดสายตามองทุกคน ในที่สุดสายตาของนางก็หยุดลงที่ฮวาเยว่ ฮวาหรงและคนอื่น ๆ
“ภารกิจสำเร็จลุล่วงเจ้าค่ะ !”
ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้าไปหาฮวาเยว่และกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ฮ่า ๆ ๆ อวี้โม่ เจ้าทำภารกิจสำเร็จจริง ๆ รึ ?”
ฮวาหรงพยายามฝืนยิ้มทว่าความเยือกเย็นก็ปรากฏในแววตา หลังจากนี้หากสิ่งที่ฉินอวี้โม่หยิบออกมาไม่ล้ำค่ามากพอ นางก็จะกล่าวว่าสิ่งนั้นมิใช่สมบัติล้ำค่าของนิกายหมื่นบุปผาและถือว่าภารกิจของฉินอวี้โม่ล้มเหลว ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าสมบัติของนิกายหมื่นบุปผาที่หายสาบสูญไปคือสิ่งใดกันแน่ แม้แต่นางเองก็ยังไม่ทราบเช่นกัน
“แน่นอนว่าข้าทำสำเร็จ ทำไมรึ ? ผู้คุมกฎฝั่งขวาไม่อยากให้ข้าทำภารกิจสำเร็จรึเจ้าคะ ?”
มุมปากของฉินอวี้โม่ยกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วยุ
“แน่นอนว่ามิใช่ ในเมื่อพวกเจ้าทำภารกิจที่ยากเย็นเช่นนั้นได้สำเร็จ ข้าก็ต้องรู้สึกยินดีไปกับพวกเจ้า ข้าจะอยากเห็นพวกเจ้าล้มเหลวได้อย่างไรกันเล่า ?”
ฮวาหรงพยายามปั้นหน้ายิ้มและกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าทำภารกิจสำเร็จแล้วก็หยิบสิ่งนั้นออกมาให้ทุกคนได้เห็นเถอะ สมบัติของนิกายหมื่นบุปผา…ทุกคนต่างก็อยากรู้นักว่ามันคือสิ่งใด”
ฉินอวี้โม่มองดูสีหน้าของฮวาหรงและคาดเดาความคิดของนางได้ทันที อย่างไรก็ตาม นางไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดและหยิบไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมา
“เชิญผู้คุมกฎฝั่งขวาตรวจสอบด้วยตนเองเถอะเจ้าค่ะ นี่คือสมบัติที่หายสาบสูญของนิกายหมื่นบุปผารึไม่ ?”
ไข่มุกส่องประกายเจิดจ้าปรากฏในมือของฉินอวี้โม่และพลังมายาที่อัดแน่นภายในก็ทำให้ฮวาหรงต้องตกตะลึงจนตาค้าง
ความปรารถนาเกาะกุมหัวใจของฮวาหรงทันที สำหรับสมบัติของนิกายหมื่นบุปผาชิ้นนี้ หากได้มันมาครอบครอง ความแข็งแกร่งของนางจะพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอนและฮวาเยว่ก็จะมิใช่คู่ต่อสู้ของนางอีกต่อไป
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสมบัติล้ำค่าของนิกายหมื่นบุปผาอย่างแน่นอน หากเป็นสิ่งธรรมดาอื่นใดก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคลื่นพลังที่แรงกล้าเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ฮวาหรงยังไม่ต้องการยอมรับมัน
แต่เมื่อนางกำลังจะกล่าวบางอย่าง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขัดจังหวะขึ้นมาทันที
“ผู้คุมกฎฝั่งขวาไม่เคยทราบว่าสมบัติที่หายไปคือสิ่งใด ข้าคิดว่าควรให้ท่านจ้าวนิกายมาตรวจสอบดูจะดีกว่า”
ทุกคนทราบเพียงว่านิกายหมื่นบุปผาสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปในดินแดนต้องห้าม ทว่าไม่มีใครทราบว่ามันคือสิ่งใด แม้แต่ฮวาฟางเฟยเองก็อาจไม่ทราบด้วยซ้ำว่าสมบัตินั้นคือไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่เช่นนั้นจ้าวนิกายอย่างนางก็คงจะเข้าไปด้วยตัวเองและไม่ปล่อยให้ศิษย์ของนิกายได้มันไปครอง
“อวี้โม่พูดถูก ให้ท่านจ้าวนิกายเป็นคนตัดสินเถอะ”
ฮวาเยว่ไม่ไว้หน้าฮวาหรงและพยักศีรษะก่อนสั่งให้ศิษย์คนหนึ่งไปเรียกจ้าวนิกายคนปัจจุบันของนิกายหมื่นบุปผามาที่นี่
“เหอะ ถ้าเช่นนั้นก็รอท่านจ้าวนิกายเถอะ !”
ฮวาหรงได้เพียงแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ นางยังไม่มีโอกาสปฏิเสธว่ามันมิใช่สมบัติที่ต้องตามหาและไม่มีสิทธิ์กล่าวอ้างเพื่อเก็บไว้เอง แน่นอนว่านั่นทำให้นางหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากรอเวลาหนึ่งก้านธูป ฮวาฟางเฟยก็มาถึงที่นี่
“ข้าทราบถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว”
แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในนิกายหมื่นบุปผาไม่มีทางรอดพ้นไปจากหูตาของนางได้ รวมถึงภารกิจที่ฮวาหรงและผู้อาวุโสมอบหมายให้ฉินอวี้โม่เช่นกัน
ฮวาฟางเฟยไม่คิดที่จะปล่อยให้ฉินอวี้โม่และสหายตายไป นางเพียงต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อทดสอบความสามารถของพวกนางดูเท่านั้น เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่ขัดขวางการกระทำดังกล่าว
การที่ฉินอวี้โม่และสหายกลับออกมาจากดินแดนต้องห้ามและทำภารกิจสำเร็จภายในเวลาที่ไม่นานนักก็ถือว่าเหนือความคาดหมายของนางไปมากเช่นกัน
“อวี้โม่ นำสมบัติที่เจ้าพบมาให้ข้าดูสิ”
เมื่อสายตาของฮวาฟางเฟยบรรจบลงที่ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในมือของฉินอวี้โม่ นางก็ตกตะลึงขึ้นมาทันที