บทที่ 1339 สั่นสะท้าน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

ใจกลางเมืองเซิ่งยวน วังมหาพันภพ

ชายชราชุดเทาที่นั่งหลังโต๊ะรับสมัครลูบไล้ขวดหยกงดงามในมือด้วยความระมัดระวัง ทันใดนั้นมือของเขาก็สั่นเทิ้มเขาตกใจเงยหน้าขึ้น แสงกะพริบอยู่ในดวงตา ขณะที่เขามองไปที่ศิลาสังหารปีศาจที่กลางเมือง

พร้อมกับสายตาจ้องมองไป ศิลาขนาดใหญ่ก็เริ่มสั่นสะท้าน

ทุกคนสังเกตเห็นการสั่นนี้ ดังนั้นทุกสายตาจึงจ้องมองไป นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นความปั่นป่วนมาจากศิลาสังหารปีศาจนี้

“เกิดอะไรขึ้น?”

เสียงงงงวยสะท้อนออกไป ประกายแสงสีทองปรากฏบนศิลา บนยอดดูราวกับดวงอาทิตย์สีทองลุกโชน

แสงสีทองปกคลุมทั้งเมืองเซิ่งยวน มือสังหารที่อยู่ในเมืองสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเบาบาง

ความแวววาวคงอยู่สิบกว่านาทีก่อนที่จะค่อยๆ สลายลง เมื่อแสงสีทองจางหายทุกคนก็พุ่งความสนใจไปทันที จากนั้นทั้งเมืองก็เงียบกริบ

เพล้ง!

ขวดหยกร่วงจากมือลู่ทง ขณะที่ตัวแข็งทื่อมองไปที่ศิลาสังหารปีศาจด้วยความตะลึงงัน

เคร้ง เพล้ง!

ข้าวของร่วงมือของเหล่ามือสังหารหลายคนในมุมรับสมัคร ใบหน้าทั้งหมดแข็งค้าง

“อะไรกัน… นี่มันอะไรกันเนี่ย!” บางคนถึงกับพูดซ้ำไม่หยุด

ภายใต้ความเงียบ แสงสีทองบนศิลาสังหารปีศาจก็จางลง อักษรสีทองเผยขึ้นใต้ชื่อราชันสังหารปีศาจฉิงเทียน

ราชาสังหารปีศาจ—มู่เฉิน!

โห่!

ในที่สุดทุกคนก็ฟื้นคืนสติ ความปั่นป่วนเกิดขึ้น พวกเขาตกตะลึงกับชื่อราชันสังหารปีศาจคนใหม่

เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองเซิ่งยวนเป็นมือสังหารปีศาจของวังมหาพันภพ พวกเขาจึงรู้ความหมายของคำว่าราชันสังหารปีศาจดี

นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของทุกคน ตราบใดที่พวกเขาคว้าตำแหน่งราชันสังหารปีศาจได้ พวกเขาจะได้อยู่ในตำแหน่งสูงส่งของวังมหาพันภพมีตำแหน่งพิเศษ แม้แต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็ต้องสุภาพและให้ความเคารพ

อาจกล่าวได้ว่าราช้นสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพเทียบเท่ากับผู้นำของขั้วอำนาจสูงสุด!

มือสังหารปีศาจทุกคนต่างมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายนี้ แต่ถ้าไม่ใช่ช่วงสงครามการรวบรวมคะแนนสังหารหมื่นคะแนนก็ไกลเกินเอื้อม แม้ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้หากสังหารจอมปีศาจระดับเทียน แต่นั่นก็เป็นเส้นทางที่ไม่มีใครคิดจะทำ

จอมปีศาจระดับเทียนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในเผ่าปีศาจหรือมหาพันภพสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของพีระมิด

ไม่มีใครกล้าพุ่งชน

นั่นพิสูจน์ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับตำแหน่งราชันสังหารปีศาจ แต่จู่ๆ ก็มีชื่อไม่คุ้นหูได้รับสมญานามว่าราชันสังหารปีศาจ ซึ่งทำให้เหล่ามือสังหารปีศาจรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

“มู่เฉินคนนี้เป็นใคร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน”

“ดูเหมือนจะไม่มีชื่อนี้ในหมู่มือสังหารปีศาจขั้นสูงนะ!”

“ไม่มี? เขาเลื่อนตำแหน่งมาจากขั้นกลางเหรอ?”

“แกพูดไร้สาระอะไร? เขาจะทะยานพรวดพราดขนาดนี้ได้ เว้นแต่จะต้องสังหารราชันปีศาจทีเดียวหลายคน”

“…”

ความวุ่นวายกวนตัวในเมืองเซิ่งยวน

เมื่อลู่ทงหายจากอาการตกใจก็จ้องไปที่ชื่อด้วยแสงวูบไหวในดวงตา “มู่เฉิน? หรือว่าเจ้าหนูที่ไอ้แก่ขี้เหล้าพามา”

“แต่…เขาเพิ่งได้รับป้ายไป ยังเป็นแค่มือสังหารขั้นต่ำอยู่เลย… หรือว่า…”

จู่ๆ ลู่ทงก็นึกถึงบางสิ่ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง วิธีเดียวที่จะกระโจนจากมือสังหารขั้นต่ำเป็นราชันสังหารปีศาจได้คือการฆ่าจอมปีศาจระดับเทียนและได้รับเศษวิญญาณของมัน

แต่ขุมพลังของมู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าจอมปีศาจระดับเทียนเลย ถ้าเขาตอบโต้ สิ่งมีชีวิตแบบนั้นสามารถฆ่าเขาได้ง่ายปอกกล้วยเสียอีก

ดังนั้นมีทางเดียวที่เป็นไปได้

“เขาสามารถลบล้างหนึ่งในสี่เศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนที่ผนึกไว้ในเหวเทพร่วงหรือ?” ชายชรามีสีหน้าครุ่นคิด เพราะนั่นถือเป็นความเป็นไปได้สูงสุด

หากมู่เฉินได้รับความช่วยเหลือจากหนึ่งในสี่บรรพชนก็อาจจะลำบากแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“ถ้าเป็นแบบนั้น เจ้าหนูคนนั้นก็โชคดีไปหน่อยแล้ว!”

ชายชราส่ายหัวพลางยิ้มขมขื่น วิธีนี้เป็นกลโกง ถ้าได้รับการพิสูจน์ความจริงเรียบร้อย วังมหาพันภพก็จะมีราชันสังหารปีศาจที่อ่อนแอที่สุดเป็นประวัติการณ์

‘ดูเหมือนข้าต้องรายงานเรื่องนี้ไปที่สำนักงานใหญ่’

ชายชราพึมพำในใจ เรื่องนี้สำคัญมา แม้แต่เขาก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ ดังนั้นเขาจึงต้องรายงานเรื่องนี้ไปยังสำนักงานใหญ่เพื่อให้สภาตัดสินใจ

เมื่อตัดสินใจได้ ลู่ทงก็มองไปที่ศิลาสังหารปีศาจอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวขณะมองชื่อที่สอง แม้แต่เขาก็เจอเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก ช่างทำให้มุมมองของเขากว้างขึ้นจริงๆ

 

ขณะที่ลู่ทงกำลังวางแผนว่าจะจัดการอย่างไร

ในเวลาเดียวกันคนสามคนในสวนแห่งหนึ่งในเมืองก็เงยหน้าขึ้นจากจัตุรัสมองไปที่อักษรสีทองบนศิลาสังหารปีศาจ

“มู่เฉิน? ไอ้ตัวกาลกิณีนั่นเหรอ?” ผู้อาวุโสชุดเงินมองไปที่อักษรสีทองก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว

ผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ยังพยักหน้า “ข้าคิดว่าเป็นไอ้เด็กบ้านั่นจริงๆ”

ทั้งสองคนก็คือผู้อาวุโสมั่วหยิงและเฮยกวางตระกูลมั่วแห่งเผ่าฝูถู

“เป็นไปได้ยังไง?!” มั่วหยิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขารู้ว่าการเป็นราชันสังหารปีศาจในวังมหาพันภพยากเพียงใด

เฮยกวางลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะตอบ “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมีเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนที่ถูกผนึกอยู่ในเหวเทพร่วง”

ใบหน้าของมั่วหยิงเปลี่ยนไป ‘ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินได้รับมรดกไปรึ? เพราะมีเพียงหนึ่งในสี่บรรพบุรุษเท่านั้นที่มีเศษวิญญาณที่ปิดผนึกอยู่’

และพวกเขาเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มู่เฉินจะพบมรดกของผู้อาวุโสฝูถู!

หรือว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะตกอยู่ในมือของมู่เฉิน?

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สีหน้าของทั้งสองก็น่าเกลียดลง

ที่ด้านข้างสายตาของชิงเซวียนก็วูบไหว ขณะที่มองไปที่ศิลาสังหารปีศาจด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน

“กลายเป็นราชันสังหารปีศาจเชียวเหรอ” นางพึมพำ ถ้ามู่เฉินมีตำแหน่งเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ งานนี้สถานะของเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์

“หึ อย่าฝัน วังมหาพันภพไม่ยอมรับวิธีการนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในฐานะราชันสังหารปีศาจรึ? วังมหาพันภพจะไม่อับอายขายหน้าถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปเรอะ?” เฮยกวางเยาะเย้ย

ชิงเซวียนเหลือบมองอีกฝ่าย ก่อนที่จะตอบเสียงแผ่วเบา “คำพูดของเจ้าช่างไร้น้ำหนัก เฮยกวาง วังมหาพันภพจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้เอง”

เฮยกวางอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้น“ ไม่ว่ายังไงเราจะไม่ปล่อยให้วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือไอ้เด็กกาลกิณีได้ มิฉะนั้นเผ่าฝูถูจะกลายเป็นตัวตลก!”

คำพูดของเขาอัดแน่นด้วยไอเย็นชา

“เฮยกวง เจ้าคิดจะทำอะไร?! หากเจ้าเคลื่อนไหวก็ถือว่าขัดขืนคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่!” ชิงเซวียนรับรู้ถึงความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาได้ ดังนั้นนางจึงตะคอกด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“เจ้าคิดจะบีบน้องสาวข้าให้แตกหักกับเผ่ารึ?”

มั่วหยิงเยาะเย้ย “ถ้าถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกข้าก็ได้แต่วางคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ลง ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสใหญ่จะสนับสนุนในเรื่องนี้”

“ผู้อาวุโสใหญ่ผ่อนปรนกับชิงเหยี่ยนจิ้งมากเกินไป ปล่อยให้นางล้ำเส้นถึงเพียงนี้!”

“ข้าจะไม่ยอมให้ไอ้เด็กกาลกิณีนั่นกระโดดอยู่ใต้ตาหรอก!”

ชิงเซวียนโกรธจนใบหน้าซีดไปหมด คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ทันใดนั้นมิติก็แตกสลาย พุ่งปราบปรามเฮยกวางและมั่วหยิง

“ชิงเซวียน เจ้าคิดจะทำอะไร?!”

ทั้งสองถอยกลับออกไปด้วยใบหน้ามืดครึ้ม ก่อนที่ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังจะระเบิดออกจากร่างกายต่อต้านแรงกดดันคลื่นหลิงชิงเซวียน

“ชิงเซวียน เจ้าจะช่วยไอ้กาลกิณีเรอะ?! หากเป็นเช่นนั้นข้าคิดว่าตระกูลชิงจะต้องถูกลงโทษทั้งหมด!” มั่วหยิงกล่าวอย่างเย็นชา

ชิงเซวียนกัดฟัน หน้าอกขยับอย่างเบาๆ ชั่วครู่นางก็ค่อยๆ ดึงคลื่นหลิงกลับมาพลางมองไปที่ทั้งสองคนอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าสองคนยืนกรานที่จะทำก็รอรับผลกรรมที่ตามมาด้วย!

“ดูสิว่าผู้อาวุโสใหญ่สามารถปกป้องคนโง่สองคนได้หรือไม่ เมื่อน้องสาวของข้าคลั่งขึ้นมา!”

เมื่อพูดจบนางก็สะบัดแขนเสื้อจากไป

ดวงตาของเฮยกวางและมั่วหยิงกะพริบวูบไหว แต่สุดท้ายทั้งสองก็เค้นเสียงเย็นชา พวกเขาไม่เชื่อว่าเผ่าฝูถูจะไม่สามารถทำอะไรนางได้ แม้ว่านางจะทรงพลังก็ตาม!

ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือของมู่เฉินได้

คราวนี้พวกเขาต้องจับไอ้เด็กบ้านั่นให้ได้ละนำกลับไปเพื่อรับการพิพากษา!