“เตาจักรพรรดิสูญ? ที่สหายเซวี่ยพั่วนำของชิ้นนี้ออกมา เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้ของชิ้นนี้ปลดผนึกอย่างง่ายดาย?” หานลี่ถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“แน่นอนว่าไม่ได้ ทางลัดที่ข้าน้อยกล่าวยังจำเป็นต้องใช้เตานภาสูญของผู้อาวุโสมาปลดผนึก ผู้น้อยจะใช้เตาจักรพรรดิสูญอยู่ข้างๆ เพื่อใช้วิชาลับช่วยทำให้มันเร็วขึ้น ในปีนั้นข้าน้อยหลอมเตาหลอมชิ้นนี้ขึ้นมาด้วยตนเอง เมื่อหยดเลือดลงเตาหลอม จะสามารถแสดงพลังทำให้กลายเป็นกุญแจอย่างมหัศจรรย์ด้วย” เซวี่ยพั่วพูดอย่างให้ความเคารพ

“ในเมื่อเจ้ามั่นใจว่าเตาหลอมทั้งสองจะสามารถทำลายผนึกได้ ก็เริ่มลองเลยเถอะ หากไม่ได้ล่ะก็ ข้าจะใช้พลังของข้าพยายามทำลายผนึกนี้ให้ได้” หานลี่ลูบคางเบาๆ และกล่าวขึ้นมาอย่างเด็ดขาด

เซวี่ยพั่วเองก็ไม่มีความคิดเห็นอื่นๆ จึงพยักหน้า

เมื่อเป็นเช่นนั้นหานลี่ก็โยนเตาหลอมขนาดเล็กขึ้นฟ้า จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งก็พุ่งออกมา ตัวเขาก็หายไปในเตาหลอมใบนั้นอย่างไร้ร่องรอย

วินาทีต่อมา เตานภาสูญก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดมากกว่าสิบจั้ง พื้นผิวด้านนอกมีลวดลายดอกไม้ นก แมลง ปลา จากนั้นก็มีเสียงดังหึ่งๆ ขึ้นมา เตาหลอมใบนั้นก็หมุนไปเรื่อยๆ

เมื่อเซวี่ยพั่วที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็ลงมืออย่างไม่ลังเล นางยกเตาหลอมขนาดเล็กในมือขึ้นมา นางอ้าปากอีกครั้ง แล้วพ่นเลือดสีแดงสดออกมาหลายก้อน

“พรู้ดๆ” สองสามครั้ง เลือดบริสุทธิ์ทั้งหมดก็เริ่มระเบิดตัวเอง จากนั้นจึงกลายเป็นหมอกสีเลือดกลุ่มหนึ่ง จิตวิญญาณก็อัดแน่นอยู่ในเตาหลอมใบเล็ก

เซวี่ยพั่วร่ายคาถางึมงำ หลังจากร่างกายนางพร่าเลือน กลายร่างเป็นเงาโลหิตพุ่งตรงเข้าไปที่หมอกสีเลือด

เตาจักรพรรดิสูญส่งเสียงร้องดังมาก มันหมุนตัวพร้อมกับดูดหมอกสีเลือดที่อยู่รอบๆ ไป หลังจากที่ลมพัดไปแล้ว จู่ๆ ที่ปากของเตาหลอมก็พ่นอักษรรูนสีเลือดออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากที่มันรวมตัวกันแล้วอักษรเหล่านั้นก็กลายเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งหน้าตางดงาม หน้าตาเหมือนกับเซวี่ยพั่วไม่มีผิด แต่ใบหน้าของนางไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลยแม้แต่นิด และมีแสงสีเลือดปกคลุมอยู่จางๆ

“ผู้อาวุโสหาน ข้าโจมตีได้เพียงหนึ่งครั้ง ผู้อาวุโสจะต้องจับจังหวะนั่นให้ดี” ทันทีที่หญิงสาวคนนั้นพูดจบ นางก็อ้าปากขึ้นอีกครั้ง และพ่นคริสตัลสีเลือดออกมา

หลังจากที่เลือดพวกนั้นถูกปล่อยออกไป มันก็พุ่งทะลวงม่านแสงห้าสีอย่างง่ายดายโดยไม่น่าเชี่อ

สาวงามผู้นั้นส่งเสียงร้องโหยหวนอีกครั้ง

หลังจากเลือดเหล่านั้นระเบิดแล้ว มันก็ควบแน่นรวมตัวกันอีกครั้ง หมอกพวกนั้นก็กลายเป็นอักษรสีเลือดและฝังลงไปที่ม่านแสงทั้งห้า มันดูน่าอันตรายแปลกๆ

เมื่อหานลี่เห็นดังนั้น แววตาของเขาก็สว่างวาบขึ้น ชั่วพริบตาเดียวเขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเตาหลอมยักษ์ ในขณะเดียวกันก็ใช้มือข้างหนึ่งและตบมันลงไป

“ตู้ม” เสียงดังเหมือนระฆังที่ถูกตี

พื้นผิวของเตาหลอมชิ้นนั้นมีลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นจำนวนมากมาย จากนั้นก็กลายร่างเป็นเงาร่างของดอกไม้ นก แมลง ปลา เป็นต้น พริบตาเดียวมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและพุ่งไปที่ม่านแสงห้าสี

“ตู้มๆ” เสียงดังสนั่น

ทันทีที่เงาร่างพวกนั้นสัมผัสกับผนึก มันก็พุ่งเข้าไปในอักษรรูนสีเลือดเหมือนไม่มีอะไรมาขวางกั้น

วินาทีถัดมา เตาหลอมขนาดใหญ่ก็ส่องแสงสว่างอย่างบ้าคลั่ง ในขณะเดียวกันม่านแสงทั้งห้าสีก็ส่งเสียงร้องออกไปโดยรอบ ตอนนั้นเองอากาศสีขาวก็ลอยออกมาจากอักษรรูนสีเลือด เมื่อมันสัมผัสกับความว่างเปล่า ก็กลายเป็นระลอกคลื่นแปลกๆ กระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ

เมื่อหานลี่เห็นดังนั้นก็ดีใจอย่างมาก ด้วยความร่วมมือของพวกเขาทั้งสองคนทำให้ดูมีความหวังที่จะสามาถเปิดผนึกออกได้

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็ได้เสียงเสียงงึมงำดังขึ้นจากด้านหลัง ไม่รู้ว่าหญิงงามผู้นั้นหน้าซีดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นางกระอักเลือดสีดำออกมา จากนั้นร่างกายของนางก็ดูเลือนรางขึ้น

“พลังสะท้อนกลับ! ช่างเถอะ ต่อไปข้าจัดการเอง เจ้าถอดร่างออกจากวิชาลับก่อนเถอะ” หานลี่กวาดสายตามอง เขาขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น เขาสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง จากนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งออกมา

หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นตอบรับเบาๆ ร่างกายของนางก็ค่อยๆ สลายแล้วกลายเป็นอักษรสีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนกลับเข้าไปในเตาหลอม

แสงสีเลือดในเตาหลอมพุ่งขึ้นมา หลังจากที่ควบแน่นกันอีกครั้ง เซวี่ยพั่วก็กลับมายืนอยู่ด้านหลังของหานลี่ดังเดิม

แต่ในเวลานี้ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ซีดมาก นางเหลือบมองแผ่นหลังของหานลี่ด้วยแววตาซับซ้อน

แต่ทางหานลี่ไม่ถามอะไรสักคำ มือข้างหนึ่งของเขากำลังร่ายคาถา แสงสีทองเปล่งประกายขึ้นมาจากด้านหลังของเขา ยักษ์สามเศียรหกกรของแผ่นพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้น

หลังจากดวงตาทั้งหกของเขาลืมขึ้น แขนแต่ละข้างก็พร่าเบลอเตรียมตัวกดลงไปที่เตาหลอมยักษ์อย่างแรง

เสียงคำรามดังขึ้น แสงสีเขียวจากพื้นผิวของเตาหลอมก็สว่างวาบขึ้นจนแสบตา ราวกับว่านั่นมันคือแสงจากดวงอาทิตย์

ม่านแสงทั้งหมดที่สะท้อนออกมาเป็นอักษรเลือดเปล่งแสงขึ้นพร้อมกัน ในขณะเดียวกันมวลอากาศสีขาวที่ลอยอยู่ ก็มีจำนวนมากขึ้น หนาแน่นขึ้น จนในที่สุดก็มีเสียงอู้อี้ดังขึ้น จากนั้นผนึกก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นอุโมงค์สีดำแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น

“ไป”

สีหน้าของหานลี่เต็มไปด้วยความดีใจ ปากก็ออกคำสั่ง แผ่นพราหมณ์ก็หายเข้าไปในร่างกายของหานลี่ มือข้างหนึ่งก็พุ่งโจมตีไปที่เตาหลอมยักษ์

“ตู้ม” เสียงหนึ่งดังขึ้น

เตาหลอมสีเขียวก็ได้แยกลำแสงออกมาสองสาย หลังจากสิ้นกรีดร้องจบลง หานลี่และเซวี่ยพั่วรวมกันเป็นลำแสงสีเขียวหนึ่งสายแล้วพุ่งเข้าไปในอุโมงค์ดำมืดแห่งนั้น

แทบจะในทันทีที่ลำแสงสีเขียวเข้าไปในหลุมดำ ตรงทางเข้าก็มีอักษรรูนห้าสีปรากฏขึ้นมาทันที และผนึกก็เริ่มผสานตัวกลับมาเป็นเหมือนเดิม

เมื่อตอนที่แสงสีเขียวพุ่งออกมาจากหลุมดำ หานลี่ก็รู้สึกว่าตาพร่ามาก เขามาปรากฏตัวบนทุ่งหญ้าสีเขียวขจีแสงแดดอบอุ่น

หัวใจของหานลี่ชะงักไป หลังจากที่เขาสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวก็ควบรวมตัวกัน เตาหลอมขนาดเล็กสีเขียวปรากฏขึ้นมากลางฝ่ามือของเขาอีกครั้ง

ในตอนนั้นเองเซวี่ยพั่วก็ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเขา นางมองไปรอบๆ อย่างประหลาดใจ

พื้นที่แห่งแทบจะเหมือนกับโลกภายนอกทุกประการ เมื่อมองออกไปแล้ว นางเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ต้นไม้เขียวขจี รอบด้านมีทิวทิศน์กว้างไกล สุดลูกหูลูกตา

เมื่อหานลี่เห็นดังนั้น ก็หรี่ตาลง แสงสว่างจางๆ ปรากฏขึ้นที่เหนือระหว่างคิ้วของเขา เขาปล่อยจิตสัมผัสออกไปรอบข้าง จนสุดท้ายบรรยากาศรอบกายก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน

“ที่แท้นี่ก็คือภาพมายาเท่านั้นเอง หึๆ เป็นภาพมายาชั้นสูงจริงๆ ตอนแรกข้าก็เกือบจะคิดว่ามันเป็นของจริงเสียแล้ว ดีที่ไม่ได้มองไปเยอะ” หานลี่กล่าวชื่นชม เขาขยับแขนข้างหนึ่ง พร้อมใช้นิ้วโจมตีไปที่ความว่างเปล่าด้านหน้า

ทันใดนั้นปราณกระบี่สีเขียวก็ปรากฏขึ้น หลังจากที่มันส่องแสงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นกระบี่ขนาดยาวมากกว่าร้อยจั้ง

เขากวัดแกว่งดาบอยู่ข้างหน้า จากนั้นภาพก็พร่าเบลอ บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไปทันที พริบตาเดียวก็มีพระราชวังขนาดใหญ่ หลายตำนัก ปรากฏขึ้นมาข้างหน้า

มันน่าแปลกนิดหน่อย ที่ตรงกลางของพระราชวังนั้น มีเสาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เสาแต่ละต้นมีขนาดใหญ่และหนามาก รวมทั้งมีม่านแสงหนาปกคลุมอยู่ทั้งหมด โดยที่พระราชวังนี้มีขนาดกว้างมาก แววตาของหานลี่มีประกายสีเขียว เขามองสภาพสถานการณ์ของม่านแสงเหล่านี้ออกแล้ว

ตำหนักใหญ่หนึ่งตำหนักจะมีตำหนักเล็กๆ ล้อมอย่างด้านนอก ขนาดไม่เท่ากัน แต่ในตอนที่เขากำลังจะใช้จิตสัมผัสสำรวจพื้นที่ด้านใน กลับถูกพลังสะท้อนกลับมาอย่างไม่เกรงใจ

เมื่อดูจากตำหนักเหล่านี้แล้ว มันน่าจะมีข้อห้ามไม่ให้ใช้จิตสัมผัสสำรวจด้านใน

อย่างไรก็ตามเขาได้ใช้จิตสัมผัสสำรวจอย่างคร่าวๆ ไว้แล้ว เขาพบว่าเมื่อพวกเราเข้าใกล้พระราชวังแห่งนี้มากเท่าไหร่ ม่านแสงและลำแสงก็หนาแน่นขึ้นมากเท่านั้น การใช้จิตสัมผัสก็ยิ่งยากมากขึ้นไปอีก

ม่านแสงนี้ต้องปกป้องพื้นที่ศูนย์กลางเอาไว้แล้ว หลังจากที่หานลี่ใช้จิตสัมผัส เขาก็รับรู้ได้ถึง โครงสร้างขนาดใหญ่เท่านั้น

แต่ด้วยจิตสัมผัสของเขานั้นแข็งแกร่งมาก เกรงว่ามหาเมธีคนอื่นมาที่นี่ จิตสัมผัสของพวกเขายังไม่สามารถทะลุม่านแสงเข้าไปได้เลย

“ดูเหมือนว่าสมบัติชิ้นที่สำคัญที่สุดจะอยู่ในพระราชวังแห่งนี้สินะ” หานลี่ดึงจิตวิญญาณกลับมาแล้วพึมพำอย่างครุ่นคิด

“เป็นเช่นนั้นแน่นอน แต่ว่าดูเหมือนที่นี่จะเป็นแดนต้องห้าม ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ อันตรายยิ่งมากขึ้นเท่านั้น” ใบหน้าของเซวี่ยพั่วยังดูซีดขาวเหมือนเดิม จิตสัมผัสของนางมีข้อจำกัด จึงสามารถสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงของนางที่เต็มไปด้วยความกังวล

“ในเมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว เราจะกลับไปมือเปล่าไม่ได้ พื้นที่รอบนอกมีคนบุกเข้าไปแล้ว แล้วอีกอย่าง ข้าไม่ได้มองหาสมบัติทั่วไป ดังนั้นจึงต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น จริงสิ สหายเซวี่ยพั่วอาจจะสัมผัสได้ถึงร่างหลักแล้วใช่หรือไม่?” จู่ๆ หานลี่ก็หันมามองแล้วถามนาง

“ข้าน้อยสัมผัสได้นานแล้ว แต่น่าเสียดายที่พระราชวังเทียนติ่งมีเขตต้องห้ามมากเกินไป สัมผัสได้จากที่ไกลๆ และไม่สามารถระบุตำแหน่งได้” เซวี่ยพั่วยิ้มตอบอย่างขื่นขม

“เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องลำบากเพิ่มขึ้นและค้นหาทุกๆ ที่ในพระราชวังแห่งนี้แล้ว ถึงจะรู้ว่าว่าร่างของสหายเซวี่ยพั่วถูกขังอยู่ที่ใด พระราชวังเทียนติ่งเปิดแค่เดือนเดียว ข้าก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสามารถค้นหาได้ทั่วทั้งหมด” หานลี่ขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด

“ร่างหลักของข้านั้นไม่อ่อนแอ และมีสมบัติล้ำค่าที่สามารถปกป้องร่างกายอยู่หลายชิ้น ดังนั้นหากต้องเผชิญหน้ากับมหาเมธีจริงๆ คงสามารถหนีรอดได้ แต่หากว่าถูกขังอยู่ ก็น่าจะอยู่ส่วนในของพระราชวัง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่นนั้นผู้น้อยจะเริ่มหาจากด้านนอกก่อน ผู้อาวุโสก็นำเคล็ดวิชาลับของข้าน้อยไปด้วย แล้วแยกทางกันไป ท่านเข้าไปด้านใน หากร่างหลักของข้าอยู่ใกล้ๆ ท่านจะต้องสัมผัสได้อย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่ทำให้ผู้อาวุโสเสียเวลาในการค้นหาสมบัติ และยิ่งสามารถค้นในพระราชวังเทียนติ่งส่วนในได้อย่างรวดเร็ว” หลังจากที่เซวี่ยพั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เสนอความคิดขึ้นมา

“ความคิดนี้ไม่เลว ทางข้ามีสองคนต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน แต่ทางเจ้าล่ะ มีคนเดียว หากเจอมหาเมธีขึ้นมา เจ้าจะทำอย่างไร” หานลี่ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น

“ผู้อาวุโสได้โปรดวางใจ ผู้น้อยมีหุ่นเชิดผสานอินทรีย์ที่ผู้อาวุโสให้ไว้อยู่ น่าจะถ่วงเวลามหาเมธีได้อยู่” สีหน้าของเซวี่ยพั่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบตอบอย่างมีมารยาท

“หากเป็นมหาเมธีทั่วไป หุ่นเชิดสองตัวยังพอจัดการได้ แต่คนที่เข้ามาที่นี่ได้ล้วนไม่ใช่ธรรมดา เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะให้จินเอ๋อร์ไปกับเจ้าด้วย” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิด ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจขึ้น