ตอนที่ 2220

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,220 : ประโยคหนึ่ง

 

ในอดีต ด้วยมีความช่วยเหลือจากของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ความเร็วในการบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนเมื่อเทียบกับความเร็วในการบ่มเพาะปกติแล้ว นับว่ารวดเร็วกว่ากันถึง 10 เท่า! และทั้งหมดเป็นเพราะความช่วยเหลือของอัตราการไหลของเวลาที่เชื่องช้าบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทั้งสิ้นทั้งสิ้น!!

 

ทว่าสำหรับต้วนหลิงเทียนตอนนี้

 

เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติสมถูกทำลายไปแล้ว

 

เช่นนั้นเขาจึงไม่อาจพึ่งพาอัตราการไหลของเวลาบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติเพื่อบ่มเพาะฝึกฝนได้อีกต่อไป สามารถพึ่งพาศักยภาพและพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองในการบ่มเพาะได้เท่านั้น ไม่อาจ ‘โกง’ ผู้อื่นได้อีกแล้ว…

 

“ท่านผู้เฒ่าหั่ว…”

 

พอนึกถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ต้วนหลิงเทียนก็อดคิดถึงผู้เฒ่าหั่วขึ้นมาไม่ได้ ในใจบังเกิดความรู้สึกปวดปร่า สีหน้ากลับกลายเป็นมืดมน

 

ในความคิดของต้วนหลิงเทียน

 

ผู้เฒ่าหั่วไม่อาจหนีความตายได้พ้นเลยหากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติถูกทำลายไปแล้วแบบนี้

 

หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่ครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ฟื้นความรู้สึก ความอ่อนแออับจนในแววตาสลายหาย เผยประกายเข้มแข็งแน่วแน่

 

‘ผู้เฒ่าหั่วขอท่านพักผ่อนอย่างสงบ…หนึ่งชีวิตที่ท่านสละตัวช่วยมา ข้าจะรักและถนอมมันให้มากยิ่งขึ้น’

 

‘ถึงจะไม่มีความช่วยเหลือจากห้วงเวลาอันเชื่องช้าจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ข้าจะพยายามบ่มเพาะพลังเพื่อทะลวงให้ถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนโดยเร็ว เพื่อให้มีพลังสามารถมากพอคุ้มครองตัวเอง รักษาหนึ่งชีวิตที่ท่านแลกมาให้ดีที่สุด!’

 

ยิ่งมาแววตาต้วนหลิงเทียนยิ่งคมกล้าฉายความเด็ดเดี่ยว

 

ไม่มีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้วอย่างไร?

 

หรือเขาจะกลายเป็นสัดใส่ข้าวที่ใช้การไม่ได้เชียว?

 

จะอย่างไรตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของเขาก็เป็นสีม่วง! ถึงแม้จะยังเป็นแค่สีม่วงอ่อนก็ตามที!!

 

‘ถึงแม้พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกปีศาจอาจจะย่ำแย่…แต่ถึงยุงจะตัวเล็กมันก็ยังมีเนื้อ!’

 

‘ขอเพียงฆ่าพวกมันแล้วดูดกลืนให้มากเข้า ยังต้องกลัวว่าไม่อาจยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้รึไง…’

 

‘หนึ่งไม่ได้ก็ฆ่าสิบ สิบไม่ได้ก็ฆ่าร้อย…หากร้อยไม่พอก็ฆ่าพัน ถ้าพันยังไม่ได้ก็ฆ่าพวกมันนับหมื่น!!’

 

‘ถ้ากระทั่งหมื่นยังไม่พอ เช่นนั้นก็ฆ่าพวกมันสักแสน!!’

 

คิดถึงจุดนี้แววตาต้วนหลิงเทียนก็เยียบเย็นลง เผยความอำมหิตไร้ปราณี

 

เขาอาจรู้สึกลำบากใจ หากต้องฆ่าผู้คนนับแสนไม่เลือกหน้าดั่งทรราชเพื่อยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณ

 

ทว่าหากให้เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขาไม่มีความรู้สึกเห็นใจอะไรอยู่เลย

 

“เค่อเอ๋อ…”

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ สายตาต้วนหลิงเทียนพลันตกลงร่างเค่อเอ๋อที่ฟุบหลับในอ้อมอกอีกครั้ง

 

แววตาฉายชัดถึงความตั้งมั่น ‘ข้าสัญญาว่าต่อไปพวกเราจะไม่พรากจากกันอีก…ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าให้ต้องห่างไปไหนอีกแล้ว!’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวคำมั่นในใจ

 

เขาไม่มีวันปล่อยให้เค่อเอ๋อห่างกายไปไหนอีก

 

ก่อนหน้านี้การที่ต้องพรัดพรากจากเค่อเอ๋อมานับสิบปี สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วมันช่างทรมานใจอย่างใหญ่หลวงนัก…

 

เขาทนทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เค่อเอ๋อต้องจากไปไหนอีก

 

ความรู้สึกของการพรัดพรากนั้น ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อยากพบเจออีกแล้ว…

 

สตรีในอ้อมกอดนางนี้คือคนที่เขาอยากปกป้องดูแลไปชั่วชีวิต

 

ครู่ต่อมาใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสงบลง มือช้อนร่างเค่อเอ๋อให้นอนลงอย่างสบาย ก่อนที่จะลุกไปนั่งขัดสมาธิล่างเตียง เพื่อบ่มเพาะพลัง

 

เคล็ดที่สิบ 9 มังกร ของเคล็ดวิชาบ่มเพาะ 9 มังกรจักรพรรดิสงครามเริ่มต้นโคจร ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบเพื่อขัดเกลาสั่งสมพลัง…

 

พริบตาก็โคจรพลังครบรอบ

 

“ช้า…ช้าเกินไป!”

 

นี่นับเป็นครั้งแรกของต้วนหลิงเทียนหลังกลับมาถึงภูมิภาคเบื้องล่างแล้วได้ลองบ่มเพาะพลัง และถึงแม้เขาจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจทนรับมันได้!

 

เขาหยุดบ่มเพาะลงทันที

 

นั่นเพราะความเร็วในการบ่มเพาะของเขามันเชื่องช้าเสมือนเต่าคลาน!

 

ถึงแม้ว่าเมืองโม่เหรินเชิ่งแห่งนี้จะตั้งอยู่ในเขตเหมืองแร่หินเซียนของตำหนักเมฆาครามในกาลก่อน และนับว่าเป็นสถานที่ๆมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นมากที่สุดของภูมิภาคเบื้องล่าง…

 

อย่างไรก็ตามสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของที่นี่ ไม่อาจเทียบกับสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของภูมิภาคเบื้องบนได้เลย

 

นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนที่คุ้นชินกับกการบ่มเพาะพลังในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว พอนำมาเทียบกัน ความต่างระหว่างทั้ง 2 ก็มากมายมหาศาลถึงขั้นรับไม่ได้!

 

‘ให้ตาย…ดูเหมือนต้องรีบยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้เร็วที่สุด…’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวอย่างลับๆ

 

ถึงแม้ตอนนี้พรสวรรค์รากวิญญาณของเขาจะเป็นสีม่วง ทว่ามันก็เป็นแค่สีม่วงอ่อนเท่านั้น แตกต่างกับรากวิญญาณสีม่วงเข้มของเค่อเอ๋ออย่างมาก!

 

ยิ่งไปกว่านั้นความแตกต่างระหว่างรากวิญญาณสีม่วงอ่อนกับรากวิญญาณสีม่วงเข้ม ยังมากกว่าความแตกต่างระหว่างรากวิญญาณสีน้ำเงินอ่อนกับรากวิญญาณสีครามเข้มเสียอีก!!

 

‘หากรากวิญญาณของข้าเปลี่ยนจากสีม่วงอ่อนกลายเป็นสีม่วงเข้ม ความเร็วในการบ่มเพาะของข้า ถึงแม้จะเทียบกับความเร็วในการบ่มเพาะก่อนหน้าตอนที่มีชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็เกรงว่าจะต่างกันไม่มาก!’

 

นึกถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนพอได้โล่งใจขึ้นมาอยู่บ้าง

 

หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็หลับตาและอดทนบ่มเพาะพลังสืบต่อ

 

ต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะพลังไปอย่างลืมเวลา จนกระทั่งเค่อเอ๋อตื่นขึ้นมา

 

“เค่อเอ๋อข้าพบว่า ผนึก ที่สะกดพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าเอาไว้ ได้สลายไปแล้ว…เจ้ารู้ไหมว่ามันถูกคลายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย

 

“สมควรเป็นตอนที่จ้าวลัทธิบูชาไฟพาข้าออกจากหอคุมกฏ ผนึกที่พี่เทียนว่าสมควรถูกมันคลายให้ตอนนั้นไม่ผิดแน่…เพราะหลังจากที่ข้าลองบ่มเพาะพลังดูก็พบว่ามันรวดเร็วกว่าเดิมมาก”

 

ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนแล้ว เค่อเอ๋อย่อมกลายเป็นเด็กน้อยเชื่อฟัง ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง “ฟังจากที่พี่หญิงเคยบอก พอข้ารู้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าเป็นสีม่วง ข้าก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันมีคุณค่ามากเพียงใด”

 

กล่าวถึงท้ายประโยค หน้างามของเค่อเอ๋อพลันคลี่ยิ้มสดใสพลางกล่าว “วันหน้าเมื่อพลังฝึกปรือของข้าสูงขึ้น ข้าย่อมสามารถเป็นกำลังคอยช่วยเหลือพี่เทียนได้!”

 

นางต้องการก้าวตามรอยเท้าชายคนรักให้ทันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือและเป็นกำลังให้อีกฝ่าย หมายแบ่งเบาภาระได้บ้าง

 

อนิจจายิ่งมาพลังฝีมือของนางก็ยิ่งถูกชายคนรักทิ้งห่างไปไกล และสุดท้ายก็กลับกลายเป็นห่างไกลเกินเอื้อม!

 

ในเรื่องนี้แม้ผิวเผินนางจะไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น แต่ในใจกลับรู้สึกผิดหวังอย่างมาก

 

ดังนั้นตอนแรกที่ได้รับทราบจากพี่สาวฝาแฝดอย่างก่านหรูเยี่ยน ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของนางคือสีม่วง เค่อเอ๋อจึงรู้สึกตื่นเต้นยินดีมาก

 

แต่ทว่าตื่นเต้นไปได้ไม่ทันไร นางก็จำต้องผิดหวังอีกครั้ง เมื่อพบว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของนางถูกผนึก!

 

ต่อมาภายหลัง พอถูกถังซวนนำตัวไปไว้บนเกาะ นางค่อยตระหนักได้ว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังมันก้าวหน้าขึ้นมหาศาลถึงขั้นมากกว่าเดิมอย่างทาบไม่ติด นางก็ตระหนักได้ว่า ผนึก อะไรที่ว่า…สมควรถูกแก้ไขแล้ว!

 

ตอนนั้นนางถึงกับตื่นเต้นยินดีจนนอนไม่หลับ

 

นางจึงเร่งบ่มเพาะพลังอย่างตั้งใจ และเพียงเวลาอันสั้นนางก็ทะลวงผ่านด่านพลังมาหลายขั้นจนบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ด้วยความเร็วเกินจริง พริบตาก็เจียนทะลวงถึงขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว!

 

ตราบใดที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนปฐพีได้ นั่นหมายความว่าอีกไม่นานนางก็จะทะลวงถึงขอบเขตเซียนนภา หลังจากนั้นที่รออยู่ก็คือขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว!

 

“มันยิ่งกว่าเป็นกำลังช่วยข้าเสียอีก…เค่อเอ๋อ ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าตอนนี้ หากพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าไม่ยกระดับ อีกไม่เกิน 10 ปีเจ้าก็ก้าวข้ามข้าได้แล้ว!”

 

ต้วนหลิงเทียนดึงร่างบางเค่อเอ๋อมากอด ก่อนที่จะหอมแก้มนางฟอดใหญ่ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดี

 

“พรสวรรค์รากวิญญาณ…ยกระดับ?”

 

ทว่าเค่อเอ๋อที่พวงแก้มแดงก่ำเพราะถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว เพียงเขินอายอยู่ไม่นานก็ต้องเอะใจ พูดถามออกมาด้วยความสงสัย

 

“อื้ม”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบคำ ก่อนที่จะค่อยๆเล่าให้เค่อเอ๋อฟังถึงความสามารถพลิกฟ้าของเวทย์พลัง ปฐมเวทย์กลืนกิน

 

“กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่น มาส่งเสริมพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเอง…ในโลกหล้ากลับมีเวทย์พลังที่ทรงอำนาจถึงขั้นนี้อยู่ด้วยหรือ!?”

 

จังหวะนี้กระทั่งเค่อเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะตกใจยกใหญ่

 

หลังจากที่ตกใจอยู่ได้ไม่ทันไร เค่อเอ๋อก็มองจ้องไปยังชายคนรักที่แย้มยิ้ม สายตาตกใจเริ่มเปลี่ยนเป็นความยกย่องเทิดทูน สุดท้ายก็ถึงขั้นศรัทธา!

 

ด้านต้วนหลิงเทียนก็ยังจ้องมองท่าทางน่ารักของเค่อเอ๋อไม่วางตา สุดท้ายก็หมั่นเขี้ยวจนทนไม่ไหวจำต้องหอมแก้มนางไปอีกฟอด

 

ที่สุดแล้วนี่คือผู้หญิงของเขา!

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชายจะยินดีแค่ไหน เมื่อถูกผู้หญิงของตัวเองศรัทธาและเชื่อมั่น!

 

 

เมืองเหรินโม่เชิ่งนั้นแทบจะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์จากแดนเนรเทศทั้งหมดมารวมตัวกัน ทำให้ในเมืองนั้นเต็มไปด้วยปีศาจในคราบมนุษย์มากมาย คึกคักมีชีวิตชีวาไม่น้อย

 

“ท่านพ่อนี่อันใดหรือ…”

 

“ท่านพ่อ เจ้านี่ดูดีจัง ซือหลิงอยากได้…”

 

“ท่านพ่อซื้อๆๆ อันนี้สวยมากเลย!”

 

 

เสียงเจื้อยแจ้วดั่งระฆังแก้วดังขึ้นไม่หยุดหย่อนขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางถนนหนทางที่เต็มไปด้วยปีศาจมากมาย

 

ผู้ที่สร้างเสียงใสนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเด็กหญิงตัวน้อยวัยราวๆ 8-9 ขวบปี

 

นางถูกอุ้มอยู่ในวงแขนของชายหนุ่มชุดม่วงคนหนึ่ง มือน้อยๆชี้ไปยังสิ่งของแปลกตาที่ไม่เคยพบเจอไม่หยุดหย่อน

 

เรียกว่าชายหนุ่มพานางเดินผ่านแผงขายของแปลกตาอะไร จำต้องร่ำร้องขอให้ซื้อมาเก็บไว้ เรียกว่าสิ่งของจิปาถะไม่เว้นของเล่นแปลกๆ แทบทั้งหมดล้วนถูกนางชี้ให้ซื้อทั้งสิ้น

 

และเป็นธรรมดาว่าคำขอของเด็กหญิง เมื่อดังเข้าหูชายหนุ่มแล้วก็เป็นดั่งโองการสวรรค์มิอาจขัดขืน ทว่าเขาก็ไม่ได้ไม่ขัดข้องอะไรยังยิ้มร่าอย่างพึงพอใจ ลูบหัวน้อยๆอย่างเบามือก่อนจะจ่ายหินเซียนซื้อสิ่งของมาเก็บไว้ให้เด็กน้อยแต่โดยดี

 

นอกจากชายหนุ่มทุ้มเด็กหญิงแล้ว ข้างกายยังมีสตรีงามเฉิดฉันท์อีก 2 นางที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ

 

รูปโฉมของพวกนางนั้นใช้คำว่างามล่มเมืองยังไม่เกินเลย ลักษณะท่วงท่าไม่เว้นความรู้สึกที่แผ่ออกมานับว่าพิเศษไม่ธรรมดา ปานเทพธิดาลงมาเที่ยวเล่นยังแดนดินก็ว่า

 

เช่นนั้นระหว่างทางจึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่จะมีปีศาจมากมายให้ความสนใจพวกนาง

 

ทั้ง 4 คนที่กำลังเดินท่องไปในถนนอันแออัดมากล้นไปด้วยปีศาจที่กำลังใช้ชีวิตก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นต้วนหลิงเทียน ต้วนซือหลิง เค่อเอ๋อ และก่านหรูเยี่ยนนั่นเอง…

 

หลังพักผ่อนในโรงเตี๊ยมอยู่ไม่กี่วัน ต้วนหลิงเทียนก็พาทั้งหมดออกมาเดินเล่น

 

แน่นอนว่าวัตถุประสงค์หลักของเขาคือการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร

 

อย่างไรก็ตามแม้โสตประสาทรับฟังจะพยายามรับข้อมูลจากบทสนทนาโดยรอบอย่างใจจดจ่อ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ให้ความสำคัญกับคำขอเจื้อยแจ้วเหนือสิ่งใด

 

ได้เห็นฉากพ่อลูกเข้ากันได้ดี ยิ้มแย้มสดร่าเริงแบบนี้ รอยยิ้มยินดีอย่างถึงที่สุดก็คลี่กางบนใบหน้างามหมดจดของเค่อเอ๋อ

 

ตอนนี้นางรู้สึกเสมือนตัวเองเป็นสตรีที่โชคดีที่สุดในโลก

 

สำหรับก่านหรูเยี่ยนนั้น สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยิ่งมาก็ยิ่งฉายความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ไม่ทราบว่านางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…

 

“ซือหลิง แม่กับป้าของเจ้าคงเหน็ดเหนื่อยกับการเดินซื้อของแล้ว…พวกเราไปพักหาอะไรกินกันก่อนดีหรือไม่?”

 

หลังเดินไปได้สักกพัก เมื่อสังเกตเห็นอาคารปลูกสร้างใหญโตหลังหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ก้มมองเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนพลางถามเชิงชี้นำออกมา

 

“ได้ๆ ซือหลิงก็หิวแล้วเหมือนกันท่านพ่อ”

 

ต้วนซือหลิงพยักหน้าเห็นด้วยเร็วรี่ราวลูกเจี๊ยบตัวน้อยจิกข้าว

 

ต้วนหลิงเทียนจงใจเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะหลังจากสังเกตมาสักพัก ก็พบว่าที่นี่เป็นเหลาอาหารที่คึกคักและใหญ่โตที่สุดที่เขาพบเจอ ที่สำคัญเหลาแห่งนี้ยังตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเหรินโม่เชิ่งอีกด้วย เมื่อสอบถามโต๊ะว่างจากบริกรรับรองที่คอยให้บริการหน้าเหลา ต้วนหลิงเทียนก็พาทุกคนเดินขึ้นไปชั้นบนของเหลาอาหารทันที

 

สาเหตุที่เขาพยายามมองหาเหลาอาหารที่ใหญ่โตแบบนี้ เพราะสถานที่แห่งนี้สมควรคึกคักมากผู้คนที่สุด ยามคนเราผ่อนคลายเรื่องราวทั้งหลายก็มักหลุดออกจากปาก แน่นอนว่าปีศาจก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

 

ไม่นานสำรับอาหารก็ถูกยกมาจัดวาง ซือหลิงก็ลองกินนู่นนี่นั่นอย่างชอบใจ

 

ทว่าด้านต้วนหลิงเทียนนั้น หลังเงี่ยฟังอยู่หนึ่งเค่อ ก็ไม่ได้ข้อมูลสำคัญอะไร

 

ผ่านไป 2 เค่อก็ยังไม่มีเรื่องใดมีประโยชน์

 

กระทั่งผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยามแล้ว ก็ยังมีแต่เรื่องทั่วๆไป

 

“ท่านพ่อ พวกเรากินเสร็จแล้วไฉนไม่กลับกันเล่า ท่านนั่งเหม่อทำอะไรอยู่หรือ?”

 

หลังพ้นมาอีก 2 เค่อ ต้วนซือหลิงที่กินอิ่มแล้ว ก็มองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสงสัย

 

และแทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงต้วนซือหลิงดังขึ้น

 

ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินประโยคหนึ่งจากบทสนทนาของปีศาจบางตัว…

 

ทันใดนั้นสองตาต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับลุกวาวขึ้นมาทันที

 

เรียกว่าลุกวาวจ้าถึงขั้นแทบจะยิงลำแสงออกมาได้อยู่รอมร่อ!!