บทที่ 924 คุกเข่าหรือยอมตาย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 924 คุกเข่าหรือยอมตาย

“เกิดอะไรขึ้น?”

ไต้อวี่เต๋อถามออกมาเสียงดังด้วยความตกตะลึง

“ยอดฝีมือระดับเซียนปรากฏตัวขึ้นในจัตุรัสขอรับ อีกฝ่ายมีพลังแข็งแกร่งมากเกินไป มือปราบหลิงและมือปราบกู่ล้วนพ่ายแพ้ ไม่มีพวกเราคนใดจะสามารถรับมือได้เลย…”

เมื่อเห็นสีหน้าที่หวาดกลัวของจ้าวอวิ๋นชาง ผู้เป็นหัวหน้ากองลาดตระเวน ไต้อวี่เต๋อก็รู้ทันทีว่าผู้มาเยือนในจัตุรัสต้องมีความน่ากลัวมากจริง ๆ

ว่าแต่ยอดฝีมือที่มาปรากฏตัวเป็นใครกันนะ?

ไต้อวี่เต๋อหัวใจกระตุกวูบ

“ต้องเป็นศิษย์พี่กู่เทียนเล่อแน่นอน”

ตู้กู่อู๋อิงพูดออกมาด้วยความดีใจ

ดวงตาของนางเป็นประกายแวววาวอย่างมีความหวัง

ในที่สุดเขาก็มาแล้ว

ครั้งนี้ ศิษย์พี่กู่จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้เหมือนทุกครั้งหรือไม่?

เขาคือความหวังสุดท้ายในหัวใจของตู้กู่อู๋อิง

ไต้อวี่เต๋อหันหน้ากลับมาชำเลืองมองเด็กสาว ก่อนจะหัวเราะเยาะเล็กน้อย

หลินเป่ยเฉินมาแล้วอย่างนั้นหรือ?

ถ้าอย่างนั้นก็ประเสริฐ

ใช่ สำหรับขุนนางระดับสูง ไม่มีใครไม่ทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของกู่เทียนเล่อคือผู้ใด

นั่นเป็นเพราะว่าหลินเป่ยเฉินไปอาละวาดในสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวงในฐานะกู่เทียนเล่อ เขาทิ้งตัวตนที่แท้จริงของตนเองเอาไว้ จึงนำมาสู่การประลองเดิมพันชีวิตในครั้งนี้

แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทางเบื้องบนจึงสั่งให้ทุกคนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

แต่ไต้อวี่เต๋อมีสถานะเป็นถึงเสนาบดีแห่งกรมมือปราบ นับเป็นขุนนางระดับสูง จึงรู้ความลับเรื่องนี้เป็นอย่างดี

เขากำลังรอคอยให้หลินเป่ยเฉินมาที่นี่

ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

รอยยิ้มเหยียดหยามยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของไต้อวี่เต๋อ

เขาหันหน้าเดินไปทางมุมห้องสอบสวน ตรงนั้นเป็นโต๊ะนั่งจิบน้ำชาของเด็กหนุ่มและชายฉกรรจ์คู่หนึ่ง ไต้อวี่เต๋อประสานมือทำความเคารพและกล่าวว่า “กราบเรียนคุณชาย ใต้เท้า เจ้าลูกเต่าเดินทางมาถึงที่นี่แล้วขอรับ…”

ชายฉกรรจ์สวมใส่ชุดสีม่วง หน้าตามีสง่าราศี เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากตระกูลสูงส่ง แต่จมูกที่งองุ้มดั่งตะขอนั้นทำให้สีหน้าและแววตาของเขาดูชั่วร้ายมากเกินไป

ชายฉกรรจ์วางถ้วยน้ำชาในมือลงและพูดเสียงเรียบ “ปฏิบัติตามแผนเดิมไปก่อน หากมีปัญหาใด ข้าจะรีบยื่นมือเข้าช่วยเหลือ”

ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนที่ถือถ้วยน้ำชากระเบื้องเคลือบไม่พูดอะไร

แต่การไม่พูดก็คือการพูดชนิดหนึ่ง

“รับทราบขอรับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ไต้อวี่เต๋อก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจมากกว่าเดิม

“พวกเราออกไปกันเถอะ ดูซิว่าผู้มาเยือนจะใช่คนที่ข้าคิดหรือไม่”

ไต้อวี่เต๋อหันกลับมาพยักหน้าสั่งงานลูกสมุน ก่อนจะเดินออกไปจากห้องสอบสวนพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชั่วร้าย

เขาเดินผ่านเฉลียงทางเดิน

ไม่นานก็ทะลุมาถึงจัตุรัสหน้ากรมมือปราบ

เสนาบดีไต้อวี่เต๋อพบว่ามือปราบกว่า 200 นายนอนระเกะระกะอยู่บนพื้นหิน พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ทุกคนหมดสติไม่สามารถลุกขึ้นมาสู้ได้อีก

นอกจากนี้ สมาชิกจากกลุ่ม 66 องครักษ์หลายหน่วย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยองครักษ์พายุหมุน หน่วยองครักษ์เกราะเหล็ก หรือหน่วยองครักษ์ล่องเมฆา เมื่อรวมแล้วก็มีจำนวนเกือบ 100 นาย ขณะนี้ พวกเขาล้วนตกอยู่ในสภาพได้รับบาดเจ็บกันอย่างถ้วนหน้า ได้แต่ปิดล้อมรูปปั้นเทพีกระบี่ที่ตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัสอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

ไต้อวี่เต๋อเงยหน้ามองขึ้นไปบนรูปปั้นขององค์เทพี

บนไหล่ซ้ายของรูปปั้นมีร่างคนยืนอยู่สามคน

สองในสามสวมใส่เครื่องแบบศิษย์สำนักศึกษาแห่งนครหลวง สีหน้าของพวกเขาดูตื่นกลัวและไม่กล้าพูดคำใดออกมา ระดับพลังลมปราณที่แผ่ออกจากร่างกายก็อยู่ในขั้นธรรมดา ไม่ใช่คนที่ควรเป็นกังวล

แต่บุคคลที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างศิษย์ทั้งสองคนนี้ต่างหากที่น่าสนใจ เขาสวมใส่ชุดสีขาว ใบหน้าปิดบังด้วยหน้ากากเงินครึ่งซีก

พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายหนาแน่นรุนแรง

มันทำให้ทุกคนที่สัมผัสได้ถึงมวลพลังลมปราณเหล่านี้รู้สึกไม่ต่างไปจากเรือลำน้อยที่แล่นอยู่กลางทะเลและเผชิญหน้าพายุคุ้มคลั่งอย่างกะทันหัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กหนุ่มชุดขาวคนนี้คือผู้มีพลังระดับเซียน

กู่เทียนเล่อ!

มาแล้วสินะ

ไต้อวี่เต๋อหัวเราะในลำคอ

เขาเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้ารูปปั้นและตะโกนว่า “ผู้ใดกล้ามาก่อความวุ่นวายหน้ากรมมือปราบของข้า? พวกเจ้าคิดก่อการกบฏใช่หรือไม่?”

เด็กหนุ่มและเด็กสาวที่ยืนอยู่บนหัวไหล่ของรูปปั้นเทพีกระบี่ ก็คือหลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยที่แสดงสีหน้าตื่นกลัวออกมาทันที

ในบรรดาศิษย์สำนักศึกษาแห่งนครหลวง พวกเขาเคยเห็นฉากเหตุการณ์มาหมดแล้วทั้งเล็กทั้งใหญ่

แต่กลับยังไม่เคยเผชิญหน้าเหตุการณ์ระดับนี้มาก่อน

หลินเป่ยเฉินก้มหน้าลงไปจ้องมองไต้อวี่เต๋อและพูดเสียงเรียบ “คุกเข่าซะ”

“ว่าไงนะ?”

ไต้อวี่เต๋อหยุดชะงัก

“ข้ากำลังสั่งให้เจ้าคุกเข่า”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งเสียงเข้ม

เมื่อกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง ไต้อวี่เต๋อก็คำรามออกมาด้วยความโกรธแค้นว่า “เจ้าเป็นใคร เก่งจริงก็อย่าซ่อนตัวอยู่หลังหน้ากาก กล้าดีอย่างไรถึงได้มาพูดจาสามหาวใส่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง?”

เสนาบดีแห่งกรมมือปราบคือตำแหน่งขุนนางระดับสูง

ย่อมไม่มีทางคุกเข่าให้แก่ผู้ใด

ไต้อวี่เต๋อคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้

เพียงพบหน้ากันไม่ทันไร ก็ถึงกับออกคำสั่งก้าวร้าวเช่นนี้แล้ว

“ตกลงว่าจะไม่คุกเข่าสินะ?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มเหยียดหยาม

ไต้อวี่เต๋อเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า ก่อนตอบว่า “ข้าเคยสั่งแต่ให้ผู้อื่นคุกเข่าลง หาได้เป็นฝ่ายคุกเข่าต่อ…”

แต่พูดมาถึงตรงนี้ ไต้อวี่เต๋อกลับหยุดชะงัก

สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไป

กลายเป็นความกระอักกระอ่วนใจ

เนื่องจากว่าในมือของหลินเป่ยเฉินปรากฏวัตถุชิ้นหนึ่ง

ป้ายทองคํา

ที่คุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง

รูปทรงพิเศษเฉพาะตัว

นั่นมัน… ป้ายอาญาสิทธิ์ไม่ใช่หรือ?

ลวดลายกระบี่เก้าเล่มที่ถูกแกะสลักอยู่บนป้ายทองคำ คือสิ่งที่ยืนยันว่านี่เป็นป้ายอาญาสิทธิ์จากองค์จักรพรรดิ

ไต้อวี่เต๋อเกิดลางสังหรณ์อัปมงคลในหัวใจ

ป้ายอาญาสิทธิ์ระดับสูงสุดไปอยู่ในมือของเด็กหนุ่มผู้เสียสติคนนี้ได้อย่างไร?

ไต้อวี่เต๋อคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง ก็กัดฟันพูดว่า “ข้าเป็นขุนนางระดับสูง ข้า…”

เสียงพูดยังไม่ทันจบลง

“ยังไม่ทำความเคารพองค์จักรพรรดิอีก”

“ถวายบังคมฝ่าบาท”

บัดนี้ สมาชิกจากกลุ่ม 66 องครักษ์ ตลอดไปจนถึงเหล่ายอดฝีมือที่มารวมตัวกันอยู่ในจัตุรัส ต่างก็ประสานเสียงกันดังอื้ออึงและคุกเข่าลงไปบนพื้นหินอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่บรรดาประชาชนที่มารวมตัวประท้วงก็ยังต้องคุกเข่าแสดงความเคารพต่อองค์จักรพรรดิ์ด้วยความนอบน้อม

ที่ไหนมีป้ายอาญาสิทธิ์เก้ากระบี่ทองคำ

ที่นั่นเปรียบเสมือนมีองค์จักรพรรดิอยู่ด้วย

ต่อหน้าป้ายอาญาสิทธิ์ชิ้นนี้ ผู้ใดก็ตามที่ไม่คุกเข่าจะถือเป็นกบฏแผ่นดิน

ใบหน้าของไต้อวี่เต๋อแดงก่ำ สีหน้าบอกชัดถึงความโกรธแค้นสุดขีด เขาทำท่าจะคุกเข่าลง แล้วก็ยืดตัวขึ้นด้วยความลังเล เพราะไม่อยากยอมแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉิน…

“คุกเข่า”

หลินเป่ยเฉินจ้องมองลงมาและพูดว่า “หรือจะยอมตาย”

ไต้อวี่เต๋อลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็คุกเข่าลงไปและก้มหัวคำนับต่อพื้นดิน

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาต้องแสดงความเคารพต่อองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่

ไม่ว่าจะมีสถานะสูงส่งหรือมีชาติตระกูลใหญ่โตเพียงใด แต่หากไต้อวี่เต๋อทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อองค์จักรพรรดิ์ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีก็จะกลายเป็นเพียงฝุ่นผงไปในพริบตา

“พวกเจ้าคงรู้ดีแล้วนะว่าควรทำอย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากด้วยความเหยียดหยาม พูดเน้นย้ำทีละคำว่า “ข้าขอสั่งให้กรมมือปราบปล่อยตัวตู้กู่อู๋อิง เยวียนหนงและเยวียนเหวินจวิ้น รวมถึงศิษย์สำนักศึกษาที่ถูกจับกุมตัวมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด”

บังเกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นในจัตุรัส

ผู้มีพลังระดับเซียนลึกลับท่านนี้คิดจะปล่อยสมาชิกของสำนักแสงตะวันหรือ?

“นายท่าน ไม่ทราบว่านี่เป็นคำสั่งจากองค์จักรพรรดิหรือไม่?”

เซี่ยหลางฉี รองหัวหน้ากองรักษาความปลอดภัยแห่งนครหลวงลุกขึ้นถามด้วยความไม่แน่ใจ

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปเสียงเรียบ “ข้าเป็นคนถือป้ายอาญาสิทธิ์ นั่นหมายความว่าสิ่งที่ข้าพูดคือสิ่งที่องค์จักรพรรดิพูด หรือว่าเจ้าคิดตั้งคำถามต่อป้ายอาญาสิทธิ์เก้ากระบี่ทองคำ?”

เซี่ยหลางฉีนิ่งเงียบไปเล็กน้อย “หากเป็นเช่นนั้น พวกข้าน้อยขอถอนตัว”

เขารีบนำกำลังพลจากกองรักษาความปลอดภัยของตนเองถอนกำลังกลับออกไปจากลานจัตุรัสหน้ากรมมือปราบ

หลังจากนั้น สมาชิกจากหน่วย 66 องครักษ์ก็ถอนกำลังกลับไปเช่นกัน

พวกเขาล้วนมาที่นี่เพราะได้รับคำสั่งมาว่าหลินเป่ยเฉินจะกระทำการ ‘ช่วยนักโทษแหกคุกหลบหนี’ อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้น เจ้าหน้าที่ทุกนายจึงมาปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง และไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยงานกรมมือปราบ

ดังนั้น เมื่อนี่เป็นคำสั่งจากป้ายอาญาสิทธิ์เก้ากระบี่ทองคำ มันจึงเป็นคำสั่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แน่นอนว่าที่เซี่ยหลางฉีเลือกออกคำสั่งถอนกำลังของตนเองกลับออกมาให้เร็วที่สุดนั้น ก็เพราะไม่อยากนำตนเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจของพวกขุนนางระดับสูงนั่นเอง

ไต้อวี่เต๋อใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะลุกขึ้นยืน

เขายืนตรงระเบิดเสียงหัวเราะดังกังวาน และกัดฟันพูดว่า “คิดไม่ถึงเลยนะว่าเจ้าจะมีป้ายอาญาสิทธิ์เก้ากระบี่ทองคำอยู่ในการครอบครอง แต่ที่ข้าคุกเข่าเมื่อสักครู่นี้คือการคุกเข่าต่อองค์จักรพรรดิ์ มิใช่เป็นการคุกเข่าให้กับเจ้า เพราะเจ้านั้นมันเป็นกบฏแผ่นดินจิตใจชั่วร้าย…”

“จริงหรือ?”

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินที่อยู่ภายใต้หน้ากากเป็นประกายวูบวาบอย่างนึกสนุก

สีหน้าของไต้อวี่เต๋อพลันกลับกลายเป็นหนักแน่นจริงจังมากขึ้น

เขาระเบิดเสียงคำรามได้ยินไปทั่วทั้งจัตุรัสว่า “เมื่อสักครู่ ข้าได้คุกเข่าทำความเคารพต่อป้ายอาญาสิทธิ์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในฐานะเสนาบดีแห่งกรมมือปราบ ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบกฎหมายบ้านเมือง ปกป้องคนบริสุทธิ์ ผดุงความยุติธรรม รักษาไว้ซึ่งสันติแห่งประเทศชาติ”

“ไม่ทราบว่าใครใช้ให้เจ้ามาก่อความวุ่นวายในวันนี้? สำนักแสงตะวันเป็นกบฏแผ่นดิน ความผิดที่พวกมันก่อ ยากที่จะให้อภัย แล้วข้าจะสั่งให้ผู้คนปล่อยตัวพวกมันไปได้อย่างไร? หากเจ้าไม่เชื่อที่ข้าพูด ลองถามประชาชนเหล่านี้ดูสิว่าพวกเขายินดีให้ข้าปล่อยกบฏแผ่นดินเหล่านั้นออกมาหรือไม่?”

ชาวเมืองที่มารวมตัวกันอยู่ในจัตุรัสส่งเสียงขานรับออกมาด้วยความตื่นเต้น

มีคนอยากจะให้ปล่อยตัวสมาชิกของสำนักแสงตะวันอย่างนั้นหรือ?

ช่างต่ำช้าเกินไปแล้ว!!!