บทที่ 1670 น้ำพุวังเวงชั้นห้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร? หกขุนพลใหญ่พึมพำในใจขณะชำเลืองมองการกระทำของเขา

ปั้ง! ทันใดนั้นก็เรียกใช้งานกระจกทองแดงราวกับเป็นค้อน ทุบค้างคาวสีเขียวกระเด็นออกไปนับไม่ถ้วน

เหมียวอี้เรียกได้ว่าใช้แรงทั้งหมดที่มี ทุบจนค้างคาวกลืนวิญญาณตกลงพื้นร้อง “จี๊ดๆ” และไม่นานก็แผ่แขนขาทั้งสี่รวมทั้งปีกราวกับตายไปแล้ว แต่บนตัวกลับมีหมอกควันลอยขึ้นมา ศพที่อยู่บนพื้นกลายเป็นควัน แล้วควันที่ลอยขึ้นมาก็ก่อตัวกลายเป็นค้างคาวสีเขียวตัวแล้วตัวเล่าอีกครั้ง บินมาเข้าร่วมพุ่งปะทะกับทัพใหญ่ค้างคาวอีก

ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้เห็นแล้วเดาะลิ้นอย่างอัศจรรย์ใจ เป็นของเล่นที่ฆ่าไม่ตายจริงๆ นึกไม่ถึงว่าใช้วิธีการแบบนี้เพื่อฟื้นชีพ เขาจึงไม่พูดพร่ำทำเพลง แผ่นกระจกที่อยู่ในมือเปล่งแสงออกมาแล้ว

หกขุนพลใหญ่ไม่เข้าใจว่าเจ้าหมอนี่กำลังเล่นอะไร แต่ละคนหันกลับมามองเงียบๆ และไม่นานก็พบต้นสายไปเหตุแล้ว

แต่เห็นค้างคาวที่พุ่งใส่ผิวกระจกโบราณไม่ได้มีทีท่าว่าจะหยุดชน กางปีกบินเข้ามาตัวแล้วตัวเล่า บินพุ่งเข้ามาในกระจกฝูงแล้วฝูงเล่า ตอนที่ผิวกระจกกระเพื่อมเหมือนคลื่นน้ำไม่หยุด พวกเขาถึงได้เข้าใจ ว่าสงสัยเจ้าหมอนี่จะเก็บรวบรวมค้างคาวกลืนวิญญาณเอาไว้

“ราชาปราชญ์ สัตว์ประเภทนี้ต่อให้นำออกไปก็ไม่มีวิธีควบคุมอยู่ดี มันจึงไม่มีราคา” เหลิ่งจัวฉุนกล่าวเตือน

“ถือโอกาสเอากลับไปสักหน่อย เอาไว้ในนี้ก็เสียของเปล่า” เหมียวอี้ตอบประโยคเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนโจรที่ไม่ชอบกลับบ้านมือเปล่า

คนที่เหลือพูดไม่ออก คิดในใจว่า เจ้าบอกว่าจะมาทำงานหลักไม่ใช่เหรอ ช่างทำตัวว่างเหมือนเบื่อหน่ายไร้งานทำจริงๆ

ถึงแม้อานุภาพการโจมตีของฝูงค้างคาวจะไม่นับว่ารุนแรงมาก แต่ก็ไม่ได้ไร้สติปัญญาเช่นกัน พบความไม่ชอบมาพากลแล้ว เหตุใดเพื่อนค้างค้าวหลายล้านจึงน้อยลงเรื่อยๆ ล่ะ?

“จี๊ดๆ…” เสียงแหลมเล็กเริ่มดังวุ่นวาย ภาพตรงหน้าทุกคนว่างเปล่าทันที เห็นเพียงฝูงค้างคาวพลันหยุดโจมตีพวกเขา พวกมันรวมกลุ่มกันบินจากไปไกลแล้ว

เมื่อเห็นเหมียวอี้แบกกระจกพลางจ้องฝูงค้างคาวที่บินหนีไปด้วยท่าทางยังไม่หนำใจ จ่างหงขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “จับได้เท่าไรแล้ว?”

เหมียวอี้ตรวจดูสภาพในกระจกครู่หนึ่ง เห็นฝูงค้างคาวดำเป็นพืดบินวุ่นวายอยู่ข้างในไม่หยุด พบว่าพวกมันยังไม่ตาย จึงตอบคร่าวๆ ว่า “น่าจะไม่ถึงสองล้านตัวมั้ง”

หมายความกว่าล้านกว่าตัวเหรอ? พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา แล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก

สรุปก็คือทุกคนต้องรออยู่ที่นี่ต่อไป พวกเขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังรออะไรกันแน่ เอาเป็นว่าเห็นเหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาเป็นระยะ ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

ถ้ายืนอยู่ตรงนี้ตลอดจะดูสะดุดตาเกินไป พวกเขาจึงหาที่พรางตัวตรงตีนเขา

หลังจากรอได้สักพัก ก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะแฉลบเข้ามา แล้วเหยียบลงพื้นด้านนอก

ผู้ที่มาคือผู้อาวุโสเชียนหลัวแห่งปราสาทดำเนินนภาที่ปลอมตัวแล้ว หลังจากได้เจอเหมียวอี้อีกครั้งและเห็นเหมียวอี้แบบต่อหน้า สายตาเขาก็สื่ออารมณ์สับสนซับซ้อนเล็กน้อย

สาเหตุที่เขามาอยู่ตรงนี้ได้ ก็ย่อมเป็นเพราะเหมียวอี้แจ้งไปทางปราสาทดำเนินนภา ทว่าการกระทำในครั้งนี้ของเหมียวอี้ค่อนข้างแตกต่างจากครั้งก่อน รอบนี้เหมียวอี้ไม่ได้เสนอเงื่อนไขแลกเปลี่ยนอะไร แทบจะออกคำสั่งโดยตรงเลย ทำให้ฝั่งปราสาทดำเนินนภาค่อนข้างงุนงง แต่ก็ยังมาตามคำพูดของเหมียวอี้เหมือนกัน

สำหรับเหมียวอี้แล้ว เมื่อได้เจอคนของปราสาทดำเนินนภาอีกครั้ง ในใจกลับแอบยิ้มเบาๆ เขาแอบมีความมั่นใจต่อเรื่องบางเรื่องแล้ว

เชียนหลัวมองหกคนข้างหลังเหมียวอี้ ดูจากแววตาหกคนข้างหลังแล้ว ก็สังเกตได้ว่าหกคนนี้คงจะไม่ธรรมดา

หกขุนพลใหญ่ก็กำลังมองประเมินเชียนหลัวเช่นกัน กำลังเดาว่าเขาเป็นใคร

“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงถาม

“คนของตระกูลอิ๋งหยุดอยู่ที่น้ำพุวังเวงชั้นห้า ส่วนตระกูลอื่นเข้าไปลึกกว่านั้น” เชียนหลัวตอบ

สาเหตุที่คนของปราสาทดำเนินนภามาในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นสายลับให้เหมียวอี้ เป็นเพราะในมือเหมียวอี้ไม่ค่อยมีคนของตำหนักสวรรค์ให้ใช้งานมากนัก อาศัยแค่ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงก็ไม่มีทางจับตาดูสถานที่ใหญ่โตอย่างน้ำพุวังเวงไหวเลย

“เห็นพวกเขาแอบจัดหากำลังพลคนอื่นๆ มาด้วยหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

“เรื่องนี้ตัดสินลำบาก น้ำพุวังเวงยังมีสมาชิกออกล่าคนอื่นอีก ไม่ง่ายที่จะแยกแยะว่าเป็นกำลังพลลับที่พวกเขาเตรียมไว้หรือเป็นนักพรตอิสระกับคนจากสำนักต่างๆ จะจับมาสอบสวนทีละคนก็ไม่ได้” เชียนหลัวตอบ

เหมียวอี้ลังเล เขาค่อนข้างมั่นใจกับกำลังที่ตัวเองเตรียมไว้ในครั้งนี้ แต่รู้อย่างแจ่มแจ้งว่าตระกูลอิ๋งอาจจะวางกับดักเอาไว้ ตระกูลอิ๋งมีกำลังพลเท่าที่เห็นภายนอกเองเหรอ? แต่ก็ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามง่ายๆ คิดไปคิดมาก็ยังตัดสินใจทำตามแผนของหยางชิ่ง ให้คนของสำนักหลัวช่าบุกนำไปก่อน ดูว่าจะสามารถล่อคนที่ตระกูลอิ๋งเตรียมสำรองไว้ออกมาได้หรือเปล่า

“ไป! ไปดูกันสักหน่อย” เหมียวอี้เรียก แล้วนำคนที่เหลือเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยกัน ทะลุเข้าไปยังตาน้ำพุที่กำลังหมุนวนแห่งหนึ่ง

ชั่วพริบตาเดียวภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป พวกเขาที่ถูกพ่นออกมากลางอากาศแทบจะปรากฏตัวอยู่กลางหินหนืดที่ไหลกลิ้งร้อนระอุ พวกเขาราวกับโผล่มาอยู่ในโลกภูเขาไฟที่กำลังปะทุ เห็นบนยอดเขาสีดำมืดโดยรอบมีหินหนืดพุ่งออกมาไม่หยุด เป็นโลกที่ผสมระหว่างความร้อนระอุแล้วความมืดเย็น เป็นน้ำพุวังเวงชั้นที่สอง

ถึงแม้พวกเขาจะรีบหยุดอยู่กลางอากาศ แต่ในหินหนืดด้านล่างกลับมีวานรเพลิงที่สูงหลายจั้งพุ่งขี้นมา เพลิงเดือดที่ถูกปกคลุมด้วยควันดำร้อนแผดเผาแยกเขี้ยวโบกกรงเล็บพุ่งขึ้นฟ้า พยายามจะเข้ามากัดขยุ้มพวกเขาอย่างดุร้าย ตรงจุดไกลๆ ก็ยิ่งมีวานรเพลิงทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ปีนขึ้นมาจากหินหนืด บางตัวก็นั่งมองเฉยๆ บางตัวก็ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นฝั่งนี้

พวกเขาไม่สนใจวานรเพลิงที่พุ่งเข้ามา ร่างกายทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง ทะลุเข้าไปยังตาน้ำพุที่หมุนวนอีกแห่งหนึ่ง

น้ำพุวังเวงชั้นสาม สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือดินแดนหิมะ หนาวเหน็บเยือกเย็น หิมะโปรยปรายอยู่ท่ามกลางฟ้าครึ้ม

พวกเขายังไม่ทันได้ชื่นชมทัศนียภาพตรงหน้า จู่ๆ ด้านหลังก็มีแสงไฟวับวาบ พอหันกลับไปมอง ก็เห็นวานรเพลิงที่เพิ่งลอบโจมตีพวกเขาพุ่งตามเข้ามาในน้ำพุวังเวงชั้นสามด้วย กรงเล็บแหลมฟันคมพุ่งเข้ามากัดขยุ้มพวกเขาอย่างไม่ลังเล

“ฮึ!” ตานฉิงแสยะยิ้ม พอถลันตัวก็กลายเป็นเงามาฉายแฉลบหายไปทันที ทะลวงเข้าไปในปากใหญ่ของวานรเพลิงเสียเลย

วานรเพลิงที่พุ่งเข้ามาหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ฉึก! จู่ๆ ท้องก็ขยายออก ประกายไฟเบ่งบาน ร่างกายขนาดใหญ่ระเบิดกระจายกลางอากาศแล้วตกลงพื้น ตอนนี้ร่างกายของตานฉิงปรากฎอยู่ท่ามกลางแสงไฟ

เห็นได้ชัดว่าตานฉิงจงใจจะควบคุมการระเบิด จึงทำให้เสียงไม่ดังเกินไป

เชียนหลัวหรี่ตาเล็กน้อย เหลือบมองตานฉิงด้วยแววตาล้ำลึก

“วานรเพลิงตัวนี้น่าจะเป็นเพลิงภูตสินะ?” เหมียวอี้เอ่ยถามขณะจ้องแสงไฟเล็กๆ ที่กระเพื่อมวูบไหวท่ามกลางลมหิมะด้านล่าง

“ใช่แล้ว!” เหลิ่งจัวฉุนพยักหน้า

สิ่งที่เรียกว่าเพลิงภูตที่จริงก็เป็นวิญญาณอัคคีชนิดหนึ่ง แต่วิญญาณอัคคีชนิดนี้อยู่ระหว่างหยินหยาง ไม่ใช่ทั้งไฟหยินและไม่ใช่ทั้งไฟหยาง แต่ก็ไม่กลัวไฟหยินกับไฟหยางเช่นกัน ถ้าถูกมันโจมตีให้บาดเจ็บ เวลาจะเยียวยารักษาก็ยุ่งยากมาก เทียบเท่ากับโดนพิษร้าย แทบจะรักษาได้ยาก แต่ที่โชคดีก็คือ เพลิงภูตที่น่ากลัวจริงๆ ถูกทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์กำจัดไปหมดแล้ว กอปรกับตำหนักสวรรค์ตั้งใจส่งเสริมให้นักพรตมาออกล่าที่นี่ ถ้าอยากจะหลายเป็นเพลิงภูตที่ร้ายอาจอีกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว

ไม่รู้ว่าความเคลื่อนไหวทางนี้ส่งผลกระทบอะไรหรือเปล่า ตรงที่ไกลๆ มีเสียงสะเทือน ‘บึ้ม’ ดังมา พวกเขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดู เห็นเพียงสัตว์ประหลาดเกราะน้ำแข็งตัวหนึ่งกำลังเจาะหิมะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แล้วเงยหน้าส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

เหมียวอี้เลิกคิ้ว เพราะเขาเคยเห็นเจ้าตัวนี้มาก่อน เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น!

ตรงด้านล่าง นักพรตหลายคนกระโดขึ้นมาจากหิมะ ไม่รู้ว่าใช่คนที่มาล่าเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นหรือเปล่า พวกเขาตระหนักได้ถึงอันตรายแล้ว กำลังลนลานหลบหนี

ปั้งๆๆ ในน้ำแข็งมีเงาสีขาวระเบิดออกมาไม่หยุด ทั้งตัวขาวซีดราวกับศพที่ปีนออกมาจากโลง ปล่อยผมยาวสยายจนแยกชายหญิงไม่ออก แบบนั้นดูน่าสะพรึงมาก ดูน่ากลัวกว่าเหยียนซิว ราวกับภูตผีลอยละล่องอยู่ท่ามกลางลมหิมะ ขวางทางพวกนักพรตที่กำลังหลบหนี

ตัวประหลาดยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่นานก็ล้อมนักพรตพวกนั้นไว้หมดแล้ว

“ปีศาจหิมะหยินจีเหรอ?” เหมียวอี้ถามอีก

เหลิ่งจัวฉุนพยักหน้าอีกครั้ง พร้อมถามว่า “ท่านอยากจะยื่นมือช่วยเหรอ?”

เหมียวอี้จะมีกะจิตกะใจสอดมือไปยุ่งได้อย่างไร คนที่มาแสวงหาความร่ำรวยที่นี่ ถ้าไม่กลับไปมือเปล่าก็รวยเละ หรือไม่ก็สิ้นชีพอยู่ที่น้ำพุวังเวง ก่อนมาได้เตรียมตัวจะสู้ตายไว้แล้ว กอปรกับมีตำหนักสวรรค์คอยส่งเสริม คนที่เพ้อฝันว่าจะมาร่ำรวยอยู่ที่นี่มีไม่รู้ตั้งเท่าไร เขาจะช่วยให้หมดไหวเหรอ?

แต่จะว่าไปแล้ว เขาก็ยังนับถือเจ้าพวกนี้จริงๆ ขนาดเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นยังกล้าล่า ถึงแม้เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นจะมีราคาสูง แต่การใช้เสียงโจมตีก็ร้ายกาจเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะต้านทานไหวเลย ในเมื่อเจ้าพวกนี้กล้ามา ก็คงจะมีที่พึ่งแล้วแน่นอน

ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มเลือดร้อนเหมือนในปีนั้นแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาอาจจะมีน้ำใจไปช่วยคนให้พ้นความลำบาก แต่สำหรับตัวเขาในตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว เกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ? เขาพุ่งขึ้นฟ้านำไปก่อน พร้อมพูดทิ้งท้ายว่า “ไปกันเถอะ!”

พวกเขาพุ่งขึ้นท้องฟ้าอีกครั้ง แล้วทะลุไปในตาน้ำพุที่หมุนวนอีกแห่ง

พอเข้ามาในน้ำพุวังเวงชั้นสี่ วินาทีที่ภาพตรงหน้าสว่างวาบ ทุกคนรวมทั้งเหมียวอี้ก็รีบหยุดอย่างกะทันหัน

ภูเขาไฟ ทะเลสาบ ทะเลสาบสีทอง ดินแดนที่มีระลอกน้ำสีทอง บางครั้งภูเขาไฟก็ปะทุ แต่สิ่งที่พ่นออกมาล้วนเป็นน้ำแกงสีทอง ทั่วทั้งดินแดนนี้ราวกับหม้อที่ต้มน้ำมันเดือดปุดๆ มีฟองเดือดไม่หยุด บนน้ำแกงสีทองมีกระดูกลอยผลุบๆ โผล่ๆ

ถึงแม้เหมียวอี้จะมาเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้ว่าไม่ควรไปแตะต้องน้ำแกงสีทองด้านล่างพวกนี้ น้ำแกงสีทองมีชื่อว่าน้ำพุเหลือง ถ้าถูกลวกขึ้นมาก็ไม่มียาตัวใดรักษาได้ ต่อให้ถูกลวกนิดเดียว แต่ก็จะลุกลามจนเลือดเนื้อของเจ้าหลุดร่วงทั้งร่างกายได้อยู่ดี จะต้องเฉือนทิ้งให้ทันเวลา ถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าจะวรยุทธ์สูงกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ กระดูกที่ลอยอยู่ด้านล่างก็คือจุดจบของเหยื่อ กระดูกถูกเคี่ยวจนกลายเป็นสีทองแล้ว

ที่แปลกกว่านั้นก็คือ คนที่ถูกหลอมอยู่ในน้ำพุเหลืองนี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะรักษาพลังและวรยุทธ์ก่อนตายเอาไว้ในกระดูกขาวได้ จากนั้นก็นิทราอยู่ที่นี่ตลอดกล วิญญาณถูกกักขังอยู่ในกระดูก อยู่ในน้ำพุเหลืองตลอดกาล มีคนไม่น้อยบอกว่าน้ำพุวังเวงชั้นสี่น่ากลัวที่สุด มีคนอยากจะนำ ‘น้ำพุเหลือง’ นี่ออกไปใช้ประโยชน์เช่นกัน แต่ที่แปลกก็คือ สิ่งที่ร้ายกาจน่ากลัวในน้ำพุวังเวงไม่สามารถออกจากน้ำพุวังเวงได้เลย พอออกจากที่นี่ไป ถ้าไม่ตายก็กลายเป็นหมดฤทธิ์ บอกได้เพียงว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่มีสิ่งแปลกประหลาดมากมาย

ในขณะนี้เอง จู่ๆ กระดูกในน้ำพุเหลืองก็เปลี่ยนจังหวะกระเพื่อมตามธรรมชาติ เริ่มพยายามก่อตัวอยู่บนผิวทะเลสาบด้วยความเร็ว กระดูกหลายร่างเริ่มก่อตัว ตรงจุดที่ไม่ไกลถึงขั้นมีโครงกระดูกประหลาดขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพยายามก่อตัวขึ้นมา กำลังลุกขึ้นยืนช้าๆ อยู่ในน้ำพุเหลือง

“รีบหนี!” ครั้งนี้อ๋าวเถี่ยขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงรีบตะโกนบอก น้ำเสียงฟังดูคร่ำเครียดผิดปกติ

ต่อให้หลายคนตรงนี้จะมีวรยุทธ์สูง แต่ก็ไม่กล้าอวดเก่งที่นี่ ไม่มีใครกล้าชักช้า ทุกคนพุ่งขึ้นฟ้าทะลวงเข้าไปในตาน้ำพุที่หมุนวนอีกแห่งด้วยความเร็ว

ฉากตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง มาถึงชั้นที่ห้าของน้ำพุวังเวงแล้ว

พวกเขาทอดสายตามองไป พบดินแดนที่เป็นป่าที่มืดครึ้ม ทุกที่มียอดเขาสูงที่ตัดสลับกันเหมือนฟันสุนัข แท่งหนามทั้งเล็กทั้งใหญ่งอกเหมือนหน่อไม้คม หนามสูงเหมือนขุนเขา หนามเล็กเหมือนปลายของรวงข้าวสาลี โลหะกะพริบแสงสลัว เป็นดินแดนโลหะแห่งหนึ่ง

…………………………