“หมายความอย่างไรน่ะหรือ ก็หมายความว่าลงมือก่อนได้เปรียบน่ะสิ” วานรยักษ์ตัวนั้นพูดขึ้น สองมือทำท่าคว้าความว่างเปล่าด้านหน้า กลุ่มแสงสีเขียวดำสองกลุ่มควบแน่นอยู่ท่ามกลางฝ่ามือของเขา จากนั้นก็กลายเป็นภูเขาเล็กๆ สองลูกปรากฏขึ้น

วานรยักษ์โยนภูเขาทั้งสองลูกออกไปอย่างแรง พร้อมเกิดระเบิดสองลูกและเสียงดังลั่น แล้วพุ่งตรงไปที่กลุ่มชายชราพวกนั้น

ในขณะเดียวกันแสงก็สว่างวาบขึ้นที่เหนือศีรษะของเขา เป็นภูเขาปราณลูกที่สามปรากฏขึ้น

“ตู้มๆ” หลังจากเสียงดังสนั่น ปราณกระบี่ไร้รูปร่างก็ปรากฏอยู่รอบๆ ของผู้อาวุโสกลุ่มนั้น ขณะเดียวกันมันก็ม้วนเป็นวงกลม

สีหน้าของผู้อาวุโสผอมแห้งที่สามเปลี่ยนไปอย่างมาก ผู้อาวุโสสองในสามคนนั้นตะโกนเสียงดังขึ้น จากนั้นด้านหลังก็มีเงาของตะขาบยักษ์และแมงป่องยักษ์ปรากฏขึ้นมา แขนทั้งสี่ข้างขยับไปมา แขนแต่ละข้างเหยียดตรงไปเพื่อโจมตีภูเขาลูกนั้นอย่างรุนแรง

แขนทั้งสี่ดูไปแล้วเหมือนแขนธรรมดา แต่ทันใดนั้นแขนสองข้างกลับมีเกล็ดสีน้ำเงินปรากฏขึ้นมาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ในขณะเดียวกันก็มีประจุสายฟ้าออกมาจากสายตา

ส่วนมืออีกสองข้าง จู่ๆ ก็มีแสงสีดำส่องประกายเพิ่มขึ้น วินาทีถัดมามันขยายตัวขึ้นอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นเกราะสีเขียวมีปลายแหลมนับสิบ พร้อมปราณสีดำแผ่กระจายออกมา และมีกลิ่นคาวเลือดเหม็นโชย

สำหรับผู้อาวุโสคนที่สาม เมื่อเห็นว่ารอบด้านมีปราณกระบี่ไร้รูปร่างปกคลุมอยู่ เขาก็พลิกมือขึ้นมาด้านหนึ่ง กลางฝ่ามือของมีรูปปั้นหัวสุนัขจิ้งจอก ขนาดครึ่งชุน จากนั้นเขาก็โยนขึ้นไปเหนือศีรษะ

รูปปั้นนั้นส่งเสียงคำรามแหลม หลังจากที่มันส่องแสงสว่างมันก็กลายเป็นหุ่นเชิดจิ้งจอกแดงห้าหาง

หางสีแดงๆ ของมันกวาดไปรอบๆ ทันที พร้อมกลายเป็นม่านแสงสีชาดหนึ่งชั้น คลุมพื้นที่ความว่างเปล่าของด้านล่างทั้งหมด

วินาทีถัดมาอุ้งเท้าทั้งสี่ข้างของก็โจมตีที่แสงกลมๆ ของภูเขานั้นทันที

ทำให้เกิดเสียงกึกก้อง และระลอกคลื่นรุนแรงท่ามกลางความว่างเปล่า

ลูกบอลแสงกลมๆ สองลูกนั้นสั่นกึกๆ แล้วมันก็หยุดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏลักษณะรูปแบบภูเขาดั้งเดิมออกมา

แต่สีหน้าของชายชราที่ลงมือไปก่อนสองคนนั้นกลับเปลี่ยนไป ร่างกายของเขาสั่นสะท้านและบินออกไปทันที

ใบหน้าของชายชราทั้งสองดูโกรธแค้นอย่างมาก เขาเริ่มรักษากายเนื้อให้มั่นคง และยกมือทั้งสี่ขึ้นอีกครั้ง ด้านหน้าก็มีเลือดไหลหยดติ๊งๆ ราวกับว่าผิวหนังได้ปริแตกออกทั้งหมด ไม่สามารถคงรูปลักษณ์เดิมได้เลย สิบนิ้วของเขาถูกหักโดยตรง

ในขณะเดียวกัน ปราณกระบี่ไร้รูปร่างก็ได้เฉือนม่านแสงสีแดงของผู้อาวุโสคนที่สามแล้ว

ทันใดนั้นม่านแสงก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ใช้เวลาเพียงไม่นาน ม่านแสงก็เกิดรอยปริร้าวออกมา

ผู้อาวุโสคนที่สามตกใจอย่างมาก ตอนนั้นเองเขาก็อ้าปากพร้อมคายแก่นปราณออกมาผสมกับรูปปั้นที่อยู่กลางฝ่ามือ พร้อมร่ายคาถาอย่างเร่งรีบ

หัวหุ่นเชิดสุนัขจิ้งจอกสีแดงส่องประกายวูบวาบ หางทั้งห้ากลายเป็นม่านแสง จากสีแดงกลายเป็นสีทอง รอยแยกที่แตกร้าวผสานเป็นเหมือนเดิมดั่งเช่นตอนแรก

จากนั้นปราณกระบี่ไร้รูปร่างก็ถูกป้องกันโดยสมบูรณ์แบบ

อย่างไรหานลี่ก็ได้เปรียบเล็กน้อยในการต่อสู้สามต่อหนึ่งเช่นนี้

และทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามกลับมายืนที่เดิมอย่างลังเล

หลังจากที่พวกเขาพูดคุยกันแล้วสีหน้าของเขาก็มืดมนมากขึ้น ทั้งสามค่อยๆ เข้าไปใกล้หานลี่ที่กลายร่างเป็นวานรยักษ์อย่างช้าๆ

เขาเห็นว่ามหาเมธีทั้งสามตั้งใจใช้การโจมตีแบบหมาหมู่

เมื่อหานลี่เห็นดังนั้นเขาก็หัวเราะเสียงเย็น วานรยักษ์ก็ใช้มือทั้งสองข้างทุบหน้าอกของตัวเอง พร้อมเงยหน้าส่งเสียงคำรามไปยังเก้าเมฆา

จากนั้นด้านหลังของเขาก็มีแผ่นพราหมณ์ขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมา หลังจากที่พุ่งเข้าใส่ร่างของวานรยักษ์อย่างกะทันหัน ครู่เดียวทั้งสองร่างก็รวมกันเป็นหนึ่ง

ตอนนั้นเองร่างทั้งร่างของวานรยักษ์ก็เปล่งแสงสีม่วงขึ้น หลังจากที่เขาโค้งงอตัวเล็กน้อย ศีรษะวานรอีกสองหัวและแขนอีกสี่ข้างก็ปรากฏเพิ่มขึ้น

หานลี่ใช้วิชาคาถาตื่นจากจำศีลแปลงกายและวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์พร้อมกัน

ในขณะเดียวกันนั้นเองกายเนื้อของเขาแข็งแกร่งเกือบจะเทียบเท่าร่างในตอนที่เขาใช้วิชานิพพานเปลี่ยนร่างเลย

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสามคน หานลี่เองก็ไม่กล้าที่จะประมาทเกินไป

ในตอนที่ทั้งสี่คนกำลังจะใช้วิชาเหนือธรรมชาติในการต่อสู้ จู่ๆ ระยะห่างไปหลายร้อยลี้ก็เกิดระลอกคลื่นขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งมีวงแหวนแสงสว่างเกิดขึ้น เมื่อม่านแสงค่อยๆ จางหายไป ร่างเงาคนสามคนที่มีส่วนสูงต่างกันก็ปรากฏขึ้น

ชายชราทั้งสามที่กำลังเตรียมตัวโจมตีที่หานลี่ ก็ชะงักลง และมองไปที่เงาร่างทั้งสามเป็นตาเดียว

หานลี่ที่กลายร่างเป็นวานรสามเศียรหกกรแล้วนั้น เศียรทั้งสามก็ยังหันกลับไปมอง ดวงตาทั้งหกก็กวาดสายตาไปทางเดียวกัน

คนแรกคือหญิงชรา ส่วนอีกคนคือนักพรต ส่วนอีกคนคือชายสวมหน้ากาก พวกเขาคือกลุ่มของเซียวหมิงและฮูหยินวั่นฮวา

หลังจากที่ทั้งสามคนสามารถออกจากเขตอาคมได้แล้ว ก็ถูกส่งตัวมาที่นี่ เมื่อมองเห็นชัดเจนแล้วว่าที่นั่นมีชายชราทั้งสามและหานลี่ที่กลายร่างเป็นวานรสามเศียรหกกร พวกเขาจึงมองหน้ากันด้วยความตกใจ

“ที่แท้ก็เป็นพี่เซียวนี่เอง บังเอิญจริงๆ” หานลี่หัวเราะเสียงดัง จากนั้นแสงก็สว่างวาบ ร่างกายของเขาก็หดเล็กลง พร้อมกลับคืนร่างเป็นมนุษย์ธรรมดา

“ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอสหายหานที่นี่ มันก็บังเอิญจริงๆ นั่นแหละ” เซียวหมิงมองเห็นหานลี่กลับมาอยู่ในรูปลักษณ์เดิมจึงฝืนส่งยิ้มให้

ฮูหยินวั่นฮวากับนักพรตชิงผิงอดยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่นไม่ได้

เมื่อชายชราทั้งสามเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่กล้าแสดงท่าทางวางกล้าม เพียงแค่มองผู้มาใหม่ด้วยสายตาดำมืด

แต่เมื่อเซียวหมิงเห็นชายชรารูปร่างผอมแห้งทั้งสาม จึงถามขึ้นมา

“ข้าไม่ค่อยคุ้นหน้าสหายทั้งสาม หรือว่าพวกท่านจะเป็นสหายที่อาศัยอยู่อย่างลึกลับที่ป่า

เฮ่ยเหยี่ยน?”

“หึ ถือว่าท่านมีความรู้อย่างมาก พริบตาเดียวก็สามารถมองออกถึงที่มาของพวกข้าแล้ว ถูกต้อง พวกเราคือพ่อมดทั้งสามที่อาศัยอยู่ในป่าเฮ่ยเหยี่ยน” ชายชราที่บังคับหุ่นเชิดจิ้งจอกแดงพูดขึ้น แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

“พ่อมดทั้งสาม? เช่นนั้นก็หมายความว่าสหายทั้งสามฝึกฝนวิชาเวทย์มนตร์งั้นหรือ? แต่ไม่ทราบว่าทำไมพวกท่านกับพี่หาน ต้องมาลงมือกันที่นี่ด้วยเล่า?” เซียวหมิงถามด้วยแววตาเปล่งประกาย

แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นการลงมือต่อสู้ของหานลี่ด้วยตนเอง แต่เมื่อดูจากแรงที่เหลือของพวกเขา และปราณที่ลอยอยู่ในอากาศ เหมือนว่าการต่อสู้นี้เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น

“สมบัติฟ้าดิน ใครแข็งแกร่งใครได้ไป ในเมื่อเข้ามาในพระราชวังเทียนติ่งแล้ว ไม่ว่าใครก็ตาม ก็เป็นศัตรูของพวกเราทั้งสามคนทั้งนั้น อย่าถามหาเหตุผลเลย” ชายชราผู้นั้นตอบทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด

“เมื่อพูดเช่นนี้ สหายทั้งสามคนนี้ก็มองผู้น้อยแซ่เซียวเป็นศัตรู พี่หาน ท่านว่าอย่างไร?” น้ำเสียงของเซียวหมิงเย็นชาขึ้นสามส่วน และหันกลับไปถามความเห็นหานลี่หนึ่งประโยค

“ตามใจเถอะ อยากสู้ก็สู้” หานลี่เงยหน้าขึ้น พร้อมทำท่าไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำตัวเช่นไร

เมื่อเซียวหมิงเห็นดังนั้น ในใจก็รู้สึกขลาดกลัวขึ้นสองส่วน เมื่อหันมามองพ่อมดทั้งสามอีกครั้ง เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วแน่น

ถ้าทำตามแผนเดิมของเขาก็คือ เขาควรจะเข้าไปที่ศูนย์กลางของพระราชวังเทียนติ่งหรือหาเขตต้องห้ามส่วนกลางเจอนานแล้ว

แต่เข้ากลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้าไปอยู่เขตต้องห้ามชั้นที่สอง ในเมื่อมันอยู่เกินความคาดหมายของพวกเราไปมาก หลังจากที่โดนขังมาถึงตอนนี้ เขาถึงค่อยทำลายเขตอาคมออกมาได้

อีกทั้งตอนที่เขาออกมาเขาก็ได้มาเจอกับหานลี่และพ่อมดทั้งสามกำลังต่อสู้กันอยู่ นั่นยิ่งทำให้เขาปวดหัวยิ่งขึ้นไปอีก

หากเป็นไปได้เขาอยากให้ทั้งสองคนสู้กันจนตัวตาย สุดท้ายผลประโยชน์ก็ตกอยู่ที่เขา

แต่หลังจากที่พวกเขาปรากฏตัวออกมา ขอแค่พ่อมดทั้งสามกับหานลี่เป็นคนไม่มีสมองพวกเขาก็จะทำเช่นนั้นได้ แต่ความจริงมันไม่ใช่

หากเขายังอยู่ตรงกลางเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย

เขาไม่ใช่มหาเมธีคนเดียวที่เข้ามาในพระราชวังเทียนติ่งแห่งนี้ ใครจะรู้ว่าหากเขาช้าอีกเพียงนิดเดียว แล้วจะมีคนอื่นค้นพบสถานที่แห่งนี้อีกหรือไม่?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเซียวหมิงก็เคร่งเครียดขึ้น พร้อมพูดว่า

“สหายทั้งสี่ท่าน ข้ามาที่นี่เพื่อค้นหาสมบัติเท่านั้น สมบัติยังไม่มาถึงมือด้วยซ้ำ ทำไมต้องต่อสู้กันก่อนด้วยเล่า สมบัติที่แท้จริงอยู่หลังจากที่นี่ต่างหาก เก็บแรงสู้ ไปค้นหาสมบัติไม่ดีกว่าหรือ เขตต้องห้ามส่วนด้านหน้าทำลายได้ยากแล้ว แม้ว่าจะต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งหมด จะต้องได้สมบัติมาแน่นอน”

“ข้าเองก็ไม่ว่าอะไร ขอเพียงแค่คนอื่นไม่เริ่มลงมือใส่ข้าก่อน ข้าเองก็ขี้เกียจจะลงมือ” หานลี่กะพริบตา พร้อมตอบด้วยรอยยิ้มกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม

“ได้ ในเมื่อพี่หานพูดเช่นนี้แล้ว การต่อสู้นี้ก็พอเท่านี้ แล้วไปกันเถอะ” เมื่อชายชราที่บังคับหุ่นเชิดจิ้งจอกแดงได้ยินดังนั้น เขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าให้

จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันสองสามประโยค เขาขยับตัวสักครู่ แล้วกลับหลังหันมุ่งหน้าออกไปยังพื้นที่ใกล้เคียง

เมื่อเซียวหมิงเห็นพื้นที่ที่ชายชราทั้งสามเลือก เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็หันกลับไปพูดคุยกับหานลี่ด้วยสีหน้าปกติ “พี่หานเองก็มีเป้าหมายเช่นกันใช่หรือไม่ หากท่านยังไม่เลือกล่ะก็ พวกข้าทั้งสามขอล่วงหน้าไปก่อน”

“มีอะไรที่ต้องเลือกกัน ข้าผู้น้อยแซ่หานแค่…แค่จะไปสำรวจที่นั่นก็แล้วกัน” หานลี่มองพื้นที่ทั้งหมดอย่างไม่สนใจ และชี้ไปส่งๆ แต่ตอนนั้นเองม่านตาของเขาก็หดเล็กลง ปลายทางของนิ้วก็เบนไปเล็กน้อย พร้อมชี้ไปยังพื้นที่ที่ติดกับที่เขาเลือกเมื่อครู่

ฮูหยินวั่นฮวาและนักพรตชิงผิงที่ยืนเงียบมาตลอด แต่เมื่อเห็นพื้นที่ที่หานลี่เลือกพวกเขาก็ตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี

ตอนนั้นเองหานลี่ก็กลายร่างเป็นสายรุ้ง แล้วพุ่งเข้าไปม่านแสงสีฟ้าอ่อนแห่งนั้น ด้านในม่านแสงส่องสว่างวูบวาบ และมีเสียงพายุลมกรรโชกแรงออกมาจากพื้นที่แห่งนั้น

“ทำอย่างไรดี เด็กจากแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนคนนั้น เลือกพื้นที่ที่เราต้องการไปแล้ว หรือว่าเขาจะรู้ตำแหน่งของศูนย์กลางพระราชวังเทียนติ่ง” ฮูหยินวั่นฮวาพูดขึ้นอย่างร้อนรน

“น่าจะไม่ใช่ ผ้าเหลืองของอรหันต์เทียนติ่ง มีแค่พวกเราเท่านั้นที่ได้รับสืบทอดมา นอกจากข้าแล้วไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถรู้ตำแหน่งและควบคุมมันได้แน่นอน” นักพรตชิงผิงพูดขึ้นพร้อมสีหน้าดูไม่ได้

“หมายความว่าเขาอาจจะบังเอิญเลือกถูกต้อง แต่ดูท่าทางของเขาเมื่อครู่นี้ เหมือนว่าจะไม่ได้เป็นแบบนั้น” แววตาของเซียวหมิงดำมืด เขาเห็นฉากที่หานลี่เปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน

“งั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี? ควรเลือกพื้นที่อื่นหรือไม่?” ฮูหยินวั่นฮวาถามขึ้นอย่างขมขื่น