บทที่ 527.4 ดึงเส้นที่ซ่อนอยู่ขึ้นมาก็คือปราณสังหาร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ทุกครั้งที่มีเซียนกระบี่ตายไปหนึ่งคนก็มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะมีคนมาเพิ่มบนสนามรบอีกสองคน

นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมทั้งๆ ที่อุตรกุรุทวีปตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียง แต่กลับแย่งเอาคำว่า ‘อุตร’ มาจากทางธวัลทวีปได้

ไม่ยอมหรือ?

ปีนั้นหลังจากที่บุญคุณความแค้นครั้งใหญ่ผ่านพ้นไป คนทั้งอุตรธวัลทวีปที่เดือดดาลพากันขู่อาฆาตกุรุทวีป และยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ของธวัลทวีปที่ด่ากราดใส่พวกผู้ฝึกกระบี่ของกุรุทวีปหลายท่านที่รบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างกำเริบเสิบสาน ไม่เพียงเท่านี้ ยังป่าวประกาศว่าจะขับไล่ผู้ฝึกตนของกุรุทวีปทุกคนออกไปจากอาณาเขตอีกด้วย

จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ของกุรุทวีปที่ตอนนั้นยังเป็นอิสานกุรุทวีปจำนวนสองร้อยกว่าคนก็เตรียมพร้อมสำหรับการขี่กระบี่เดินทางไกลไปเยือนธวัลทวีป ในบรรดานั้นมีผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนอยู่ถึงสิบท่าน

ก่อนจะออกเดินทาง ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนี้ไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตใดๆ ให้กับธวัลทวีป แค่จับมือกันเดินทางไกลข้ามทวีปไปโดยตรง

ซึ่งผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนครึ่งหนึ่งในนั้นล้วนเป็นคนที่เคยผ่านการลับคมกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน

เมื่อธวัลทวีปรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่สองร้อยกว่าท่านจากกุรุทวีปอยู่ห่างจากชายหาดอีกแค่สามพันลี้เท่านั้น ตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อแทบทุกแห่งล้วนรู้สึกเหมือนใกล้จะแหลกสลายกันเต็มที

เพราะอีกฝ่ายป่าวประกาศแล้วว่าจะใช้กระบี่ตวัดธวัลทวีปขึ้นมา ใครก็ไม่ต้องรีบร้อน ตั้งแต่ตะวันออกจรดตะวันตก ทุกหนทุกแห่ง ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง ส่วนคำว่าอุตรของธวัลทวีปนั้น พวกเจ้าเสียดายกันนักไม่ใช่หรือ งั้นก็เก็บเอาไว้แล้วกัน

นอกจากผู้ฝึกกระบี่ที่ ‘บุกเบิกแคว้น’ กลุ่มนี้แล้ว ยังมีผู้ฝึกกระบี่ที่ทยอยกันเดินทางไกลไปยังแถบตะวันตกเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่อง

สุดท้ายเป็นซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งที่ขัดขวางทางไปของผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนั้น

ไม่รู้ว่าซิ่วไฉเฒ่าคนนั้นที่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่สองร้อยกว่าคนพูดคุยกันว่าอะไร

แต่สุดท้ายแล้วผู้ฝึกกระบี่ของกุรุทวีปก็ไม่ได้ยกขบวนขึ้นชายฝั่ง เลือกที่จะย้อนกลับคืนไปยังทวีปของตัวเอง

แต่หลังจากนั้นมาอุตรธวัลทวีปก็ไม่มีคำว่าอุตรอยู่อีก

ฉีจิ่งหลงหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตเหล่านี้ ต่อให้จะไม่ได้ประสบพบเจอกับตัวเอง ได้แต่ฟังมาจากเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก แต่ก็ยังเกิดจิตเลื่อมใสอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทว่าผู้ฝึกกระบี่สองท่านของสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่อยู่ในขบวนเดินทางไกลข้ามทวีปครั้งนั้นด้วยกลับไม่เคยยินดีจะพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

ฉีจิ่งหลงแค่เคยได้ยินพวกคนเฒ่าคนแก่บางคนในสำนักคุยกัน บอกว่าเซียนกระบี่ทั้งสองท่านเคยทะเลาะกันว่าใครจะเป็นคนอยู่เฝ้าสำนัก ใครจะเป็นคนข้ามทวีปไปออกกระบี่ ความหมายคร่าวๆ ก็ประมาณว่า คนหนึ่งบอกว่าเจ้าเป็นเจ้าสำนัก เจ้าก็ควรอยู่ต่อ อีกคนหนึ่งบอกว่าวิชากระบี่เจ้าสู้ข้าไม่ได้ ก็อย่าออกไปให้ขายหน้าคนอื่น

ฉีจิ่งหลงเริ่มทบทวนความเป็นไปได้ของการขัดเกลาแต่ละอย่างซ้ำอีกรอบ

ความเป็นไปได้ที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุด รวมไปถึงสิ่งต่างๆ มากมายที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้

นี่เป็นเส้นสายความคิดที่เหมือนกับการปฏิบัติต่อสถานการณ์ทางตันน้อยใหญ่ของเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

เพียงแต่ว่าฉีจิ่งหลงคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่านี่อาจเป็นสถานการณ์ซับซ้อนที่มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจชักนำทุกฝ่ายให้มาเกี่ยวข้อง

ดังนั้นฉีจิ่งหลงจึงคิดว่ารอให้รวบรวมข้อมูลได้มากกว่านี้ก่อนค่อยว่ากัน

ช่วยเหลือด้วยความหวังดี มีข้อหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก นั่นก็คืออย่าได้เพิ่มปัญหาให้กับผู้อื่น

ฉีจิ่งหลงเดินกลับมานั่งที่

สำนักฉงหลินจะเป็นจุดเริ่มต้นในการคลี่คลายปัญหาที่ค่อนข้างดีแห่งหนึ่ง

เพราะสำนักที่มีเงินทองไหลมาเทมาแห่งนี้มีปลาและมังกรปะปนกันยุ่งเหยิง คิดจะสืบข่าวมาจากพวกเขา ไม่มีทางเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น

และยังมีสำนักอีกแห่งหนึ่งที่สนิทสนมกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาหลายรุ่นหลายสมัย ได้ยินมาว่าเคยทำการค้าเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตกับถ้ำสวรรค์หลีจู ซึ่งสามารถลองหยั่งเชิงสืบข่าวดูได้

นอกจากนี้ฉีจิ่งหลงยังมีความคิดบางอย่าง

ซึ่งก็หนีไม่พ้นทำไปตามลำดับขั้นตอน แสวงหาในคำว่าช้าแต่ไร้ความผิดพลาด มั่นคงเพื่อช่วงชิงชัยชนะ

ฉีจิ่งหลงเรียบเรียงเส้นสายหนึ่งได้พอประมาณแล้วก็รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย

ในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนของอุตรกุรุทวีปตอนนี้

คู่พี่น้องหยางหนิงเจิน หยางหนิงซิ่งที่ต่างก็เป็นตัวอ่อนเต๋ามาตั้งแต่กำเนิดของหน่วยฉงเสวียน ฉีจิ่งหลงย่อมรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี

หยางหนิงเจินที่หันไปฝึกวรยุทธนั้นเป็นคนที่นิสัยดึงดันมากกว่า

หยางหนิงซิ่งอยู่ในอันดับเก้า หยางหนิงเจินผู้เป็นพี่ชายอยู่อันดับท้ายสุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลำดับของหยางหนิงเจินยังสามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปได้อีกสองสามลำดับ

คนที่อยู่อันดับที่สี่ ซึ่งก็คือคนที่อยู่ด้านหลังฉีจิ่งหลง มีชื่อว่าหวงซี

คือผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง เป็นก่อกำเนิดอิสระที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป ถือเป็นผู้ฝึกตนน่าหวาดกลัวที่สามารถทรมานคู่ต่อสู้ให้ตายไปทีละนิดได้เก่งเป็นพิเศษ ขนาดผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบก็ยังยากที่จะฆ่าเขาได้ ทั้งอาศัยวิชาอภินิหาร แล้วก็อาศัยอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งที่ต้องบุกสังหารผ่านเส้นทางเลือดกว่าจะได้มาครอง รวมไปถึงอาวุธกึ่งเซียนอีกชิ้นที่ในอดีตอาศัยโชควาสนาจึง ‘เก็บมา’ ได้ หนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตี อีกทั้งนิสัยของคนผู้นี้ยังหนักแน่น กลอุบายลึกล้ำอย่างถึงที่สุด มีแค้นต้องชำระ ถูกขนานนามให้เป็นเจียงซ่างเจินแห่งอุตรกุรุทวีป

การแก้แค้นครั้งหนึ่ง เขาคนเดียวบุกไปสังหารสำนักตระกูลเซียนลำดับสองทั้งตระกูล ไม่เหลือคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

จุดที่น่ากลัวก็คือเขาไม่ได้เลือกที่จะบุกขึ้นภูเขาของสำนักไปอย่างโจ่งแจ้ง แต่แฝงตัวเข้าไปสามครั้ง วางแผนเล่นงานใจคน ถึงขั้นที่สามารถเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึง

รอจนเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งพาคนไปถึง เขาก็จากมาไกลแล้ว และบรรพจารย์ของสำนักตระกูลเซียนแห่งนั้นก็เพิ่งจะกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายลงไป โอสถทองถูกกรีดออกจากร่าง ก่อกำเนิดแห่งชะตาชีวิตถูกนำมาจุดเป็นตะเกียง แล้ววางเอาไว้บนหลังคาเรือนของศาลบรรพจารย์ แสงไฟลุกสว่างโชติช่วง

ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขา ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนแต่ละดวงล้วนเผาผลาญจิตวิญญาณอย่างไม่หยุดพัก บ้างก็มอดดับ สลายกลายเป็นผุยผง แต่บางส่วนก็ยังมีจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่

ภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่เดิมทีควรเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ กลับกลายเป็นว่ามีแต่กลิ่นอายของความอึมครึมวังเวง ประดุจเมืองผี

ฉีจิ่งหลงเคยประมือกับเขาหนึ่งครั้ง

และฉีจิ่งหลงก็ออกกระบี่ด้วย

แต่คนผู้นั้นกลับทั้งรบทั้งถอย ถึงขั้นที่ว่าเขายังเอ่ยถ้อยคำจากใจจริงบางอย่าง รวมไปถึงเรื่องวงในบนภูเขาที่ฉีจิ่งหลงไม่เคยได้ยินมาก่อน

หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องของการวอกแวกเบนความสนใจไปทำเรื่องอื่น นี่ก็คือคำเตือนของคนผู้นี้

ผู้ฝึกตนอิสระคนนี้มีนามว่าหวงซี

และหวงซีเองก็เคยสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่น่าประหลาดใจบางอย่าง สรุปคือแต่ไหนแต่ไรมาเขามักจะมีการกระทำที่ยากจะแยกแยะได้ว่าเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมอยู่เสมอ

สองคนที่อยู่เบื้องหน้าฉีจิ่งหลง

อันดับหนึ่งนั้นไม่ต้องไปคิดให้มากความแล้ว

ขอแค่เขายินดีลงมือ อีกฝ่ายก็ย่อมต้องแพ้อย่างแน่นอน ต่อให้จะมีขอบเขตสูงกว่าเขาหนึ่งระดับก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

นี่ยังเป็นภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่ใช้อาวุธเซียนที่ยอมรับนายชิ้นนั้นอีกด้วย

ต่อให้เป็นเขาฉีจิ่งหลงเองก็ยังอดรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นภูเขาสูงที่ต้องแหงนหน้ามองไม่ได้ เพียงแต่ว่าฉีจิ่งหลงกลับไม่เคยคิดทดท้อใจเพราะสาเหตุนี้

บนมหามรรคา ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาอีกลูกเสมอ เป็นอย่างนี้ตลอดมา

อีกทั้งฉีจิ่งหลงยังเชื่อมั่นว่า ขอแค่ตนทิ้งระยะห่างจากคนทั้งสองไม่ไกลมากนักก็ย่อมต้องมีโอกาสที่จะตามไปทัน

ส่วนคนที่สองนั้น มีนามว่าสวีเซวี่ยน

ตอนที่คนผู้นี้ยังไม่เข้ามาในวงการของผู้ฝึกตนก็มีตระกูลเซียนที่มีคำว่าจงในชื่อหลายแห่งรอโอกาสหวังชิงตัว ว่ากันว่ายังมียอดฝีมือนอกโลกของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาลอบสำรวจตรวจสอบอีกด้วย

ในเรื่องนี้ต้องมีความเกี่ยวพันบางอย่างที่ลึกล้ำอย่างมากแน่นอน

บนเส้นทางการฝึกตนของสวีเซวี่ยนนั้น ตอนที่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของห้าธาตุได้สำเร็จในท้ายที่สุด เรียกได้ว่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง ภาพปรากฎการณ์นั้นยิ่งใหญ่ตระการตาจนไร้คำบรรยาย

เขามีสาวใช้เคียงกายสองคน คนหนึ่งคอยถือดาบให้เขาโดยเฉพาะ ดาบมีนามว่าไฮจู คนหนึ่งคอยถือกระบี่ กระบี่มีนามว่าฝูเหอ

คือลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งทางทิศเหนือของอุตรกุรุทวีป

ดังนั้นสวีเซวี่ยนจึงเป็นทั้งลูกศิษย์ใหญ่ของเซียนกระบี่ท่านนี้ แล้วก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายด้วย

เกี่ยวกับเรื่องเล่าลือของสวีเซวี่ยนนั้น มีไม่มาก

แต่ทุกเรื่องล้วนน่าตะลึงพรึงเพริดทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างเช่นแท้จริงแล้วเขาคือเจ้าของสำนักฉงหลินครึ่งตัว อีกทั้งการค้าของสำนักฉงหลินนั้นได้ทำไปถึงแจกันสมบัติทวีป หรือแม้แต่ใบถงทวีปนานแล้ว

หรือยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในปณิธานของเขาก็คือเอาชนะป๋ายฉางอาจารย์ผู้มีพระคุณ

ช่วงล่าสุดนี้มีข่าวลือใหญ่เทียมฟ้าอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือสวีเซวี่ยนหวังให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักหญิงของสำนักชิงเหลียงมาเป็นคู่บำเพ็ญตนของตน ขอแค่นางตอบตกลง เขาสวีเซวี่ยนก็ยินดีออกจากสำนักของตัวเอง ย้ายไปอยู่ในสำนักชิงเหลียงแทน

แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ป่าวประกาศว่าจะเอาชนะอาจารย์ หรือเรื่องที่บอกว่าจะออกจากสำนัก เซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายฉางก็ล้วนไม่สะทกสะท้าน แต่ได้ยินมาว่าตอนนี้ป๋ายฉางปิดด่าน พยายามจะฝ่าทะลุคอขวดเซียนเหริน นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ป๋ายฉางไม่ได้ไปที่ภูเขาห้อยหัว ไม่มีใครสงสัยในความกล้าหาญของป๋ายฉาง เพราะในชีวิตของป๋ายฉางนั้นเคยมีถึงสองครั้งที่พาตัวไปอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมือปราณกระบี่ อีกทั้งยังอยู่ที่นั่นนานเกือบเจ็ดสิบปี

เนื่องจากสวีเซวี่ยนยังไม่เคยลงมือมาก่อน เป็นเหตุให้จนถึงตอนนี้อุตรกุรุทวีปก็ยังไม่กล้าแน่ใจว่า คนผู้นี้ใช่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของสวีเซวี่ยนเป็นอย่างไรกันแน่

แต่ไม่มีใครกังขาในตำแหน่งสามอันดับแรกของสิบคนรุ่นเยาว์ของสวี่เซวี่ยนอย่างแน่นอน

เพราะสวี่เซวี่ยนที่ทยอยเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิต จากนั้นก็เลื่อนจากขอบเขตโอสถทองไปเป็นขอบเขตก่อกำเนิด ธรณีประตูใหญ่สามขั้นของผู้ฝึกตน ล้วนเกิดภาพเหตุการณ์ประหลาดอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น

มีคนบอกว่าอันที่จริงสวีเซวี่ยนได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนนานแล้ว เพียงแต่ว่าป๋ายฉางได้ลงมือสยบภาพเหตุการณ์ประหลาดทั้งหมดเอาไว้ด้วยตัวเอง

อีกทั้งในบรรดาคนทั้งสิบ สวีเซวี่ยนยังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดอีกน้อย

เทียบกับหวงซีที่อยู่ในอันดับสี่แล้วยังอายุน้อยกว่าสามปี

จากนั้นจึงเป็นหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย

อันดับที่ห้าคือผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่ง หากไม่นับหยางหนิงเจิน นางก็คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนเดียวที่ติดอันดับ

อันดับที่หก ตายอย่างเฉียบพลันไปแล้ว ทางสำนักตามสืบข่าวอยู่นานสิบกว่าปีก็ยังไม่ได้ข่าวคราวใดๆ

อันดับที่เจ็ด ต่อสู้กับคนบนภูเขาตี่ลี่ ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บ อาการบาดเจ็บลามไปถึงต้นกำเนิด คำว่าหนึ่งในสิบคนนั้นก็มีแค่ชื่อแต่ไร้ความสามารถ

อีกฝ่ายคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดวัยชราจากสำนักศัตรูคนหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะเอาชีวิตของตนมาทำลายเส้นทางอนาคตบนมหามรรคาของชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์คนนี้

ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเป็นหลุมพราง แต่ยังไม่สามารถอดทนข่มกลั้น เลือกที่จะรับคำท้า ถ้าเช่นนั้นนี่ก็คือจุดจบ มหามรรคาไร้ปราณีเสมอ

อันดับที่แปดก็คือเทพธิดาหลูจากภูเขาสุ่ยจิงคนนั้น

ทว่าตอนนี้ก็มีข่าวลือมาอีกว่า มีคนใหม่บนภูเขาที่ปรากฏตัวอีกหลายคน ทุกคนล้วนมีคุณสมบัติจะเลื่อนสู่สิบอันดับนี้ ถึงขั้นที่ว่าลำดับยังไม่ต่ำอีกด้วย

ฉีจิ่งหลงพลิกเปิดเทียบตัวอักษรและสมุดรวมภาพวาดบางส่วน

ช่วงนี้เขากำลังศึกษาเรื่องวิธีการเขียนแบบจ้วนโจ้วและแบบแปดด้านฉายประกายของเทียบตัวอักษรแบบตวัด

นี่ก็คือการฝึกกระบี่

ศึกษาท่วงทำนองและเค้าโครงบนภาพวาดของจิตรกรผู้มีชื่อเสียง ก็เป็นการฝึกกระบี่เหมือนกัน

ตอนที่อ่านหนังสือแล้วเปิดไปเจอประโยค ครามนำตะไคร่อ่อนทิ้งรอยอักษรเหนี่ยวจ้วน ก็เป็นปณิธานกระบี่ส่วนหนึ่งเหมือนกัน

ฉีจิงหลงเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าการใช้เหตุผลของข้า จะเป็นขั้นตอนที่เปลี่ยนจากซับซ้อนมาเป็นเรียบง่าย ดุจน้ำมาลำคลองสำเร็จ

ก็เหมือนกับการอ่านตำราที่อ่านจากหนามาเป็นบาง สุดท้ายอาจจะหลงเหลือไว้เพียงถ้อยคำไม่กี่คำที่โดดเด่น แต่กลับสามารถติดตามตนไปได้ชั่วชีวิต ให้ประโยชน์ชั่วชีวิต

อีกทั้งยังสามารถประคับประคองเหตุผลอันเป็นพื้นฐานของความรู้ที่มีอยู่เต็มท้องได้ ก็เหมือนกับเสาและคานของเรือนหลังหนึ่งที่ช่วยประคับประคองกันและกัน ไม่ขัดแย้งกันเอง สุดท้ายจิตแห่งเต๋าก็จะเหมือนป๋ายอวี้จิงที่เรียงสูงต่อขึ้นไปทีละชั้น สูงทะลุเสียดทะเลเมฆ ไม่เพียงเท่านี้ อาณาเขตของห้องยังสามารถขยับขยายให้กว้างขวาง เมื่อกฎเกณฑ์ที่มียิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คำว่าอิสระที่มีขีดจำกัดก็ย่อมกลายเป็นอิสระที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบได้มากขึ้น

ยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ฉีจิ่งหลงจุดตะเกียงอ่านตำราอยู่ตลอดทั้งคืน

ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเขากำลังไร้สมาธิ เอาความสนใจไปทำเรื่องอื่น

แต่โชคดีที่ยังมีคนที่ไม่คิดเช่นนี้

……

คนชุดเขียวผู้หนึ่งเดินเลียบลำน้ำสายใหญ่ขึ้นไปทางตอนบน

เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ในตลาดของยุทธภพวันนี้ เฉินผิงอันพลันตามหาเหลาสุราเก่าแก่ร้านหนึ่งแล้วสั่งหม้อไฟที่ขึ้นชื่อของร้านป้ายอักษรทองแห่งนี้มาหนึ่งชุด

ในร้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกชาวยุทธที่กำลังสาวตะเกียบเร็วราวกับบิน ซดน้ำหม้อไฟคำโต เหงื่อแตกเต็มหน้าผาก

คนหนึ่งในนั้นอาจเป็นคนที่เคยเล่าเรียนมาก่อน เขาที่เมามายจึงหลุดประโยคหนึ่งออกมา

เป็นประโยคที่ทำให้เฉินผิงอันสั่งเหล้าเพิ่มอีกหนึ่งกา

คนผู้นั้นบอกว่า ผู้อ่อนแอเบียดเสียดอยู่ในหม้อน้ำมันที่น้ำลึกและร้อนระอุ ก็คือหม้อไฟที่ผู้แข็งแกร่งบนโต๊ะกำลังกิน

เฉินผิงอันดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ รู้สึกว่าผู้อาวุโสซ่งพูดได้ถูกแล้ว กินหม้อไฟกับสุรา เป็นรสชาติที่มีเฉพาะบนโลกเท่านั้น

——