อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2195 เจ้านี่ทรงพลังจริงๆ…
หลังจากออกเดินไปได้หลายร้อยเมตร จ้าวหย่าพลันได้ยินเสียงลมพัดกระหน่ำหวีดหวิวอยู่ไม่ไกล เธอรีบหลบหลังต้นไม้ก่อนจะมองไปยังทิศทางของต้นเสียง
มันมาจากลูกธนูดอกหนึ่ง
จากนั้น อสูรสีขาวหน้าตาเหมือนกระต่ายที่กำลังตกใจกลัวก็กระโจนพรวดออกมา ราวกับกำลังหลบหนีนายพราน
“นั่นคือ…รังสีสวรรค์?” จ้าวหย่าตาโต
ซุนฉางได้รวบรวมข้อมูลบางส่วนของภูเขาสวรรค์สร้างและอธิบายให้พวกเธอฟังแล้วเมื่อวันก่อน จากที่เขาบอก รังสีสวรรค์สามารถแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีถิ่นฐานอยู่ในภูเขาสวรรค์สร้าง ทำให้จับตัวพวกมันได้ยาก
“หยุดนะ!”
สองร่างพุ่งออกมาจากหมู่ไม้เพื่อไล่ล่ากระต่าย
ทั้งคู่คือเจ้าของลูกธนูก่อนหน้านี้
ฟิ้วววววว!
ลูกธนูอีกกลุ่มหนึ่งพุ่งหวือออกไปและยับยั้งกระต่ายที่กำลังวิ่งหนีไว้ได้ กระต่ายตัวนั้นกระเสือกกระสนอยู่กับพื้นครู่หนึ่งก่อนจะสลายตัว กลายเป็นหย่อมของเหลวสีทอง
“ผมไปก่อน!”
1 ใน 2 คนที่ยิงธนูรีบพุ่งเข้าโกยของเหลวสีทองและกลืนมันลงไป
เพียงครู่เดียว จ้าวหย่าก็รู้สึกได้ว่าระดับวรยุทธของอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เท่าที่เห็น ดูเหมือนอีกไม่นานเขาคงก้าวข้ามด่านคอขวดสำเร็จและได้เป็นเทพเจ้า
“เราต้องรีบแล้ว!”
เมื่อเห็นแล้วว่าการไล่ล่ารังสีสวรรค์ไม่ได้ยากเกินไป จ้าวหย่าปีนเขาต่ออย่างไม่ลังเล ระหว่างทาง เธอพบรังสีสวรรค์อีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในรูปของกระต่าย แต่เพราะมีนักรบไล่ล่ามันอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่อาจฉกฉวยจากพวกเขาได้
ไม่นานจ้าวหย่าก็มาถึงยอดเขา
แรงกดดันบริเวณนี้รุนแรงเข้มข้นกว่าที่อื่นมาก จ้าวหย่าเหลียวซ้ายแลขวา แต่ไม่พบใคร ทำให้เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็รีบตรวจสอบร่องรอยบนพื้นดินเพื่อหาสัญญาณของรังสีสวรรค์
เธอเห็นรอยเท้าของกระต่ายระหว่างทางที่ปีนขึ้นมา จึงพอระบุตำแหน่งของพวกมันได้
“ร่องรอยดูค่อนข้างจาง และใหญ่เกินกว่าจะเป็นกระต่าย…แต่ไม่เป็นไร!”
เมื่อเห็นเป้าหมาย จ้าวหย่าขับเคลื่อนปราณหยินบริสุทธิ์จนเต็มพิกัดเพื่อสะกดรอยตามไป
ฟึ่บ!
เมื่อสุดทาง เสือสีขาวตัวหนึ่งที่มีรังสีงามสง่าก็กระโจนออกมา
“ฮะ…” จ้าวหย่าถึงกับตะลึง
ขณะที่รังสีสวรรค์ที่คนอื่นๆพบล้วนเป็นกระต่าย ทำไมเธอถึงลงเอยด้วยการสะดุดเข้ากับเสือที่ทั้งตัวใหญ่และดุร้าย?
แต่จ้าวหย่าก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรแตกต่างมากนัก เธอสะบัดข้อมือ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่และเริ่มโจมตีเสือขาวตัวนั้น
ในฐานะศิษย์พี่หมายเลขหนึ่งของบรรดาศิษย์สายตรงทั้งกลุ่มของจางเซวียน จ้าวหย่าเข้มงวดและมีวินัยกับตัวเองเสมอ การขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธประกอบกับประสิทธิภาพของสภาวะพิเศษทำให้เธอไร้เทียมทานในหมู่นักรบรุ่นเดียวกัน ถึงขนาดที่แม้แต่เจิ้งหยางก็เทียบชั้นไม่ได้
เมื่อจ้าวหย่าสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด พื้นที่บริเวณนั้นก็เย็นเยือก
“เจ้านี่ทรงพลังจริงๆ…”
หลังจากสู้กันได้สักพัก เหงื่อเย็นๆก็ไหลลงมาตามหน้าผากของจ้าวหย่า
ถ้าเป็นกระต่ายอย่างที่ผ่านๆมา ขอแค่เธอจับตัวมันได้ กระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียวก็คงเอาชนะมันได้แล้ว ไม่อย่างนั้น พวกมันคงไม่พ่ายแพ้ให้ลูกธนูแบบง่ายดายอย่างที่เห็น
แต่เสือขาวที่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นถือว่าทรงพลังมาก แข็งแกร่งกว่าตัวเธอเสียอีก ในแง่ของพละกำลัง อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเทียบเท่ากับนักรบระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ
novel-lucky
พูดอีกอย่างก็คือ เธอกำลังเผชิญหน้ากับเทพเจ้าตัวจริงทั้งที่ตัวเองเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!
ภายใต้สถานการณ์ปกติ คงยากเอาการที่เธอจะได้ชัยชนะ จ้าวหย่าก็รู้ดี แต่ตอนนี้สายไปแล้วที่จะหลบหนี ทำได้แค่พยายามให้ดีที่สุด
จ้าวหย่ากัดฟัน จากนั้นก็กลืนยาเม็ดที่ท่านอาจารย์มอบให้
เม็ดยาละลายในปากอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณเทียบฟ้า
ในชั่วพริบตา ความอ่อนล้าและอาการบาดเจ็บที่ได้รับตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมาก็หายวับไป
จ้าวหย่าฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เธอปล่อยพละกำลังและการโจมตีหนักหน่วงเป็นชุดเข้าใส่เสือขาว
เพียงชั่วพริบตา สถานการณ์ก็พลิกผัน
ความแข็งกร้าวของจ้าวหย่าทำให้เสือขาวรับมือไม่ไหว อาการบาดเจ็บของมันค่อยๆสะสมเพิ่มขึ้นทีละน้อย
แต่การที่จ้าวหย่าจะสำแดงพละกำลังหนักหน่วงได้อย่างต่อเนื่องก็ไม่ง่าย แน่นอนว่าพลังชีวิตของเธอจะต้องเหือดแห้งอย่างรวดเร็วหากยังคงใช้เรี่ยวแรงมากขนาดนี้
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ดูเหมือนพลังของเธอจะร่อยหรอ จ้าวหย่าก็จะโยนยาเม็ดหนึ่งเข้าปากก่อนจะปล่อยการโจมตีต่อไป ไม่นานหลังจากที่เธอกินยาเม็ดที่สาม เสือขาวตัวมหึมาก็หมดเรี่ยวแรงและทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ จ้าวหย่าปาดเหงื่อที่หน้าผากและถอนหายใจอย่างโล่งอก
ถ้าไม่ใช่เพราะยาเม็ดของท่านอาจารย์และสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์ของเธอ เธอไม่มีทางยันไว้ได้นานขนาดนี้แน่ นี่คือการต่อสู้ที่เธอเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อให้ได้ชัยชนะ!
“การได้รังสีสวรรค์มาน่าจะง่ายกว่านี้ไม่ใช่หรือ? มันเกิดอะไรขึ้น?”
จ้าวหย่าหันไปมองเสือขาวที่กองอยู่กับพื้นอย่างงุนงง ซึ่งมันก็สลายตัวทันที ทิ้งไว้แต่ของเหลวสีทองหย่อมใหญ่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแบบเดียวกันกับฝูงกระต่ายเมื่อครู่ แต่ความแตกต่างก็คือความเฉียบคมของของเหลวสีทองที่ก่อตัวกันเป็นเสือขาว หากจะเปรียบเทียบ ถ้าของเหลวสีทองที่ก่อตัวกันขึ้นเป็นกระต่ายคือลำธาร สิ่งที่เธอกำลังจ้องดูอยู่ตรงหน้าก็เป็นมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต
ซึ่งนั่นทำให้จ้าวหย่าออกจะตกใจไม่น้อย
“หรือว่า…รังสีสวรรค์ก็แบ่งออกเป็นหลายระดับขั้นเหมือนกัน?”
เธอไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าดูจะชี้ไปในทิศทางนั้น
“แต่ถึงจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ ต้องรีบจัดการธุระของเรา…”
รู้ดีว่าไม่มีทางระบุให้แน่ชัดได้ จ้าวหย่ารีบทรุดตัวลงนั่งและเริ่มทำสมาธิ
ฟิ้วววว!
ของเหลวสีทองพุ่งเข้าสู่ร่างของเธอทันที
ทันทีที่พลังงานซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย ด่านคอขวดของจ้าวหย่าก็แตกกระจาย ระดับวรยุทธของเธอพุ่งพรวด
“เป็นรังสีสวรรค์ที่ไร้เทียมทานจริงๆ!” จ้าวหย่าหรี่ตาขณะตั้งข้อสังเกต
รังสีสวรรค์บรรจุรังสีอันเฉียบคมของโลหะไว้ ทำให้ทางเดินพลังปราณของเธอแทบจะฉีกขาดออกจากกัน แต่พร้อมกันนั้น มันก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ากระแสดาบฉีที่กำลังพลุ่งพล่านได้ตรงเข้าขจัดอุปสรรคทั้งมวลที่ขวางกั้นอยู่ภายในร่างกายของเธอ
novel-lucky
เพียงไม่ถึง 10 นาที จ้าวหย่าก็ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมของตัวเองไปได้และกลายเป็นเทพเจ้าตัวจริง
วิ้งงงงงง!
วินาทีที่เธอได้เป็นเทพเจ้า ลำแสงเจิดจ้าโอบล้อมร่างของจ้าวหย่าและร้อยรัดเธอไว้ ทำให้ดูราวกับเป็นเทพธิดา
แต่จ้าวหย่ายังคงไม่รับรู้อะไร เธอง่วนอยู่กับการซึมซับพลังงานเพื่อยกระดับวรยุทธ
…..
ขณะที่จ้าวหย่ากำลังฝ่าด่านวรยุทธ ลู่ชงก็มาถึงสุดเขตอีกด้านหนึ่งของยอดเขา ซึ่งหลังจากมาถึงได้ไม่นาน ก็เจอกับร่างดำมืดร่างหนึ่ง
ร่างนั้นไม่ใช่ทั้งกระต่ายหรือเสือ มันมีลักษณะเหมือนมนุษย์ แต่ก่อตัวขึ้นจากกลุ่มหมอก
ลู่ชงใช้ยาเม็ดที่ท่านอาจารย์มอบให้ แม้การต่อสู้จะไม่ง่ายสำหรับเขา แต่สุดท้ายก็เอาชนะหมอกมืดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ได้สำเร็จ
ร่างนั้นสลายตัวกลายเป็นหย่อมของเหลวสีทอง เป็นแหล่งพลังงานอันน่าทึ่งสำหรับการเติบโตของจิตวิญญาณของลู่ชง
…..
คนอื่นๆก็เจอสถานการณ์คล้ายกัน
หวังหยิ่งพบต้นไม้ดึกดำบรรพ์ที่ขาวโพลนราวกับหิมะ เจิ้งหยางอย่างพบปีศาจตัวมหึมาที่ทั้งร่างปกคลุมด้วยเปลวไฟ เว่ยหรูเหยียนพบแม่น้ำที่สามารถกลืนกินชีวิตผู้คนได้…
…..
ทางตอนเหนือของสรวงสวรรค์มีมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลอันไร้ขอบเขต
บริเวณใจกลางมหาสมุทรนั้นคือพระราชวังลอยน้ำขนาดใหญ่ มันแผ่แสงเรืองรองเจิดจ้าออกมาราวกับดวงอาทิตย์แผดเผา
น้ำใสที่อยู่ใต้พระราชวังสะท้อนภาพความอลังการหรูหราของมันออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามราวกับอยู่ในความฝัน
ภายในพระราชวัง ผู้อาวุโสหนวดเครารุงรังคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ กำลังจับจ้องความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะครุ่นคิดหนัก
“จอมราชันย์”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาในห้องโอ่อ่านั้นและประสานมือ
ผู้อาวุโสมองลงมาก่อนจะพยักหน้า เขาตั้งคำถาม “การดวลระหว่างน่านฟ้าเสรีกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์จะมีขึ้นเมื่อไหร่?”
“การดวลจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ของเดือนหน้า” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“วันที่ 15…คืนพระจันทร์เต็มดวง?” ผู้อาวุโสพึมพำ “คนของน่านฟ้าเสรีนั่นตอบรับการดวลเร็วกว่าที่ผมคิดไว้”
“จอมราชันย์ ต้องขออภัยด้วยที่ละลาบละล้วง แต่มีคำถามหนึ่งที่คาใจผมมานานแล้ว” ชายวัยกลางคนพูด
“คุณอยู่กับผมมาก็หลายปี ไม่ต้องกังวลอะไรหรอก ถามข้อสงสัยของคุณมาเถอะ” ผู้อาวุโสตอบ
“ขอบคุณที่เมตตา, จอมราชันย์” ชายวัยกลางคนพยักหน้า “ผมสงสัยว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์คนนั้นเก่งกาจไร้เทียมทานจนถึงขนาดที่อีก 8 จอมราชันย์ก็สู้เขาไม่ได้…จริงหรือเปล่า?”
ผู้อาวุโสครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และตอบว่า “ไม่มีทางหยั่งถึงได้ แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”
“แล้วคนจากน่านฟ้าเสรีล่ะ? พวกนั้นไม่เคยปรากฏตัวต่อสาธารณชนเลย จึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทรงพลังแค่ไหน หากเทียบกับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ใครทรงพลังกว่า?” ชายวัยกลางคนถาม
“คนจากน่านฟ้าเสรีก็แข็งแกร่งจนไม่อาจหยั่งถึงเช่นกัน ผมไม่เคยพบพวกเขามาก่อน แต่รังสีที่คนเหล่านั้นแผ่ออกมาตระหง่านราวกับสวรรค์ยิ่งใหญ่ ดูเหมือนทั้งจักรวาลหมุนรอบตัวพวกเขา มันไม่ใช่พละกำลังที่สิ่งมีชีวิตใดๆในโลกจะรับมือได้ แต่ส่วนใครจะทรงพลังกว่า ผมก็ไม่แน่ใจ” ผู้อาวุโสส่ายหน้า
“นั่นหมายความว่าการต่อสู้ของทั้งคู่จะเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มีสรวงสวรรค์มา…” ชายวัยกลางคนตาโต จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆขณะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คงเป็นเกียรติมากหากได้เห็นการต่อสู้ของพวกเขา แต่โชคร้ายที่คนซึ่งมีวรยุทธระดับผมคงมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเสียก่อนที่จะได้เข้าถึงคนพวกนั้น”
ต่อให้ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็อาจถูกสังหารได้อย่างง่ายดายหากเข้าไปอยู่ในการต่อสู้ระหว่างจอมราชันย์
วรยุทธอาจห่างกันเพียงขั้นเดียว แต่ช่องว่างของมันยิ่งใหญ่จนไม่อาจวัดได้ และไม่มีสิ่งใดสามารถเติมเต็มได้ด้วย นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ตำแหน่งจอมราชันย์ไม่เคยถูกสั่นคลอนนับตั้งแต่มีสรวงสวรรค์มา
และนี่อาจเป็นคำตอบของข้อสงสัยที่ว่าทำไมสรวงสวรรค์ถึงมีจอมราชันย์เพียง 9 คน นับตั้งแต่ผู้คนเริ่มจำความได้
“คุณอยากเห็นการดวลหรือ? นี่คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเก้าเวหา ล้มเลิกความคิดนั้นเสียเถอะ” ผู้อาวุโสส่ายหน้า