บทที่ 1176 หัตถ์สื่อวิญญาณ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“เสียง?” หวังเป่าเล่อใจกระตุกวูบ สัมผัสได้ถึงคำพูดที่สะท้อนอยู่ในจิตใจของตนเองตอนนี้ ซึ่งได้ยืนยันการคาดเดาของเขาแล้ว

แท้จริงแล้วตอนที่เขาเห็นแผ่นป้ายสุสานในตอนแรก ก็กำลังคิดถึงปัญหาหนึ่งอยู่ สุสานแห่งนี้…ใครเป็นคนสร้างให้จักรพรรดิแห่งความมืดกัน?

ไม่น่าจะใช่ตัวจักรพรรดิแห่งความมืดเอง ทว่าความเป็นไปได้ข้อนี้ก็ยังไม่ถูกตัดทิ้ง หวังเป่าเล่อคิดว่าน่าจะเป็นชนรุ่นหลังมากกว่า หรือจะเป็นผู้ฝึกตนที่คอยติดตามข้างกายในตอนนั้นเป็นผู้สร้าง

ดังนั้นเสียงที่ดังขึ้นจึงทำให้หวังเป่าเล่อมั่นใจมากกว่าเดิม ความคิดเหล่านี้วาบผ่านใจเขาไป หวังเป่าเล่อยืนอยู่หน้าประตูแสง และโค้งคำนับสี่ทิศก่อนก้าวเข้าไป

ทันทีที่ก้าวเข้ามา ภาพตรงหน้าเลือนราง โลกใบใหม่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาในพริบตาต่อมา ท้องฟ้าของโลกใบนี้มืดมิด พื้นดินปกคลุมด้วยหมอก เห็นแผ่นป้ายสุสานแบบเดียวกันกับเมื่อครู่ทุกประการในที่ไกลๆ แต่มันถูกหมอกปกคลุมจนมองไม่ชัด

สิ่งเดียวที่มองเห็นคือเหล่าภูตผีวิญญาณที่เกลือกกลิ้งอยู่ในหมอกเบื้องหลังนับไม่ถ้วน พวกมันไม่ได้สงบนิ่ง แต่ก่อตัวขึ้นเป็นอาณาจักรอยู่ในหมอก เขาเห็นว่าที่นี่มีเจ็ดอาณาจักรวิญญาณ จากจุดที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่ สามารถมองเห็นภายในอาณาจักรทั้งเจ็ดได้อย่างชัดเจน แต่ละแห่งมีระบบของตนเองและมีจักรพรรดิวิญญาณ

ขณะนี้มีอาณาจักรวิญญาณสามแห่งกำลังสู้รบกัน ทำให้หมอกตลบอบอวลมากขึ้น และยังมีเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองกระจายไปทุกสารทิศ ภาพนั้น…ทำให้หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย

แท้จริงแล้วทุกอย่างในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดดูแปลกประหลาดสำหรับเขา ดูเหมือนจะไม่ง่ายเหมือนการฝังกระดูกในสุสาน

“ห้วงมายาของวัดเป็นเหมือนการย้อนความทรงจำ…ขั้นแรกของการกลั่นกรองคือความต่างระหว่างความดีความชั่ว”

“เหตุใดสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดต้องจัดวางเช่นนี้” หวังเป่าเล่อเงียบไป จากนั้นไม่นานดวงตาก็เผยแสงจ้า แม้ตอนนี้จะมองไม่เห็นอะไรมาก แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ในคำตอบมากมายก็มักจะมีคำตอบหนึ่งผุดขึ้นในใจเสมอ

“ที่นี่…เป็นเหมือนทางเลือก…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาและนิ่งเงียบไปนาน เขาสำรวจอาณาจักรวิญญาณในสายหมอกเบื้องล่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้มีมาช้านานแล้ว การต่อสู้ของอาณาจักรวิญญาณนั้นเหมือนกับอาณาจักรมนุษย์ไม่มีผิดราวกับว่าไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ อีกทั้งสายหมอกไม่สามารถบดบังสายตาของหวังเป่าเล่อได้ แต่เห็นได้ชัดว่า…สามารถปิดกั้นวิญญาณในที่แห่งนี้ได้

จุดที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่ห่างออกไปมากราวกับพระเจ้ามองลงมา เขามองดูแล้วก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ยังไม่ทันได้คิดว่าจะจัดการอย่างไร ร่างของเขาก็เคลื่อนไหวเข้าไปในสายหมอกและมุ่งตรงไปยังอาณาจักรวิญญาณทั้งเจ็ด

ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ภูตผีวิญญาณทุกตัวต่างไม่อาจตรวจพบพลังปราณของเขาแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อเป็นเหมือนคนนอกที่เดินไปเดินมาในโลกแห่งวิญญาณนี้

เขากำลังมองหาทางเข้าและกำลังสำรวจโลกแห่งวิญญาณ สำหรับหวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องไปบังคับเปลี่ยนแปลงอำนาจจิตมากเกินไป เพราะเขามีดวงจิตเทพเจ้าอยู่แล้ว

จุดนี้บางทีคนอื่นในสำนักแห่งความมืดอาจทำได้เช่นกัน แต่ก็ยากลำบากไม่น้อย ถึงอย่างไรแม้จุดเด่นของดวงจิตเทพเจ้าจะเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่ง แต่อำนาจจิตนั้นสำคัญกว่า

นั่นเป็นความสงบชนิดหนึ่งที่เฉยเมยต่อทุกชีวิต ปราศจากอารมณ์ ห่างเหินซึ่งเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก ทว่าสำหรับหวังเป่าเล่อเนื่องจากการรับรู้ชาติก่อนบนดาวชะตาในตอนนั้น ความเข้าใจและประสบการณ์ที่ได้รับนำพาให้อำนาจจิตของเขามาถึงระดับนี้แล้ว ถึงอย่างไรหากตอนนั้นเขาสามารถละทิ้งทุกสิ่งได้ก็จะสามารถอยู่เฝ้ามองการขึ้นลงของเต๋าอย่างเฉยเมยบนดาวชะตาได้

ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือสังเกตและบันทึกเท่านั้น

หลังจากออกมาอำนาจจิตของเขายังไม่ฟื้นกลับมาอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นเพราะเขาจงใจปกปิดตนเองมาจนถึงตอนนี้ และค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิมอย่างช้าๆ จากเทพเซียนสู่โลกีย์

ดังนั้นสำหรับหวังเป่าเล่อ การเปลี่ยนแปลงอำนาจจิตจึงเป็นเรื่องง่าย และในทันทีที่อำนาจจิตของเขาแยกตัวออกมา เขาก็สัมผัสได้ถึง…เสียงร้องไห้ที่แทรกซึมไปทั่วฟ้าดิน แทรกซึมไปในวิญญาณของทุกชีวิต แทรกซึมไปในสายหมอกอันไร้ขอบเขต

นั่นเป็นเสียงร้องไห้จริงๆ ราวกับกำลังเศร้าโศก ราวกับกำลังอ้อนวอน ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราว…

หวังเป่าเล่อหยุดฝีเท้าเงยหน้ามองหมอกรอบด้าน เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของวิญญาณในที่แห่งนี้และค่อยๆ เข้าใจ

“เสียงร้องไห้นี้เกิดจากการไม่ได้เข้าสู่วัฏจักรการกลับชาติมาเกิด หลังจากการตายและตื่นขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ ความเบื่อหน่ายที่ก่อตัวขึ้น ความเศร้าโศกที่สั่งสมไว้ การทดสอบนี้คือให้ศิษย์สำนักแห่งความมืดทำภารกิจส่งวิญญาณเหล่านี้ไปเกิดใหม่ใช่หรือไม่”

หวังเป่าเล่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งขัดสมาธิ เปลวไฟสีดำในร่างพลันแผ่กระจาย ขณะเดียวกันเขาก็หลับตาลงและพึมพำเสียงเบา

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”

ทันทีที่เอ่ยขึ้น เปลวไฟสีดำที่แผ่ออกจากร่างพลันลุกโชนขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวก็แทรกซึมไปทั่วทั้งอาณาจักรวิญญาณ ราวกับท้องฟ้าผนวกรวมเข้ากับสายหมอกก่อตัวเป็นร่างขนาดมหึมา

ร่างนี้เลือนรางมาก แต่เต็มไปด้วยพลังอำนาจราวกับสามารถสยบทุกสิ่งได้ คล้ายการแทนที่กลับชาติไปเกิด

การปรากฏตัวของร่างนี้ทำให้เหล่าภูตผีวิญญาณที่กำลังต่อสู้กันในอาณาจักรวิญญาณตกตะลึง แต่ละตัวเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าด้วยความตะลึงงัน นอกจากนี้จักรพรรดิวิญญาณทั้งเจ็ดอาณาจักรและดวงวิญญาณทั้งหมดต่างก็เงยหน้ามองตามเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิวิญญาณทั้งเจ็ด ตอนนี้ร่างพวกเขาสั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาเผยแสงแห่งความหวังริบหรี่

ขณะที่วิญญาณทุกดวงจ้องมองไปบนท้องฟ้า หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นก็เอ่ยประโยคที่สอง

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”

ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ขึ้น ทั่วทั้งโลกแห่งวิญญาณก็สั่นสะท้าน กระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อเปิดออก ก่อนที่ชุดคลุมสีดำ เรือสำปั้นแห่งความมืดและไม้พายประทีปจะปรากฏขึ้น

ชุดคลุมตกลงบนร่างหวังเป่าเล่อปิดบังใบหน้าเขาเอาไว้ เรือสำปั้นแห่งความมืดอยู่ใต้เท้าเขาพาร่างของเขาทะยานขึ้น ไม้พายประทีปปรากฏอยู่ตรงหน้าและขยับด้วยตัวมันเอง

ร่างที่ถูกเหล่าวิญญาณนับไม่ถ้วนจ้องมองอยู่บนท้องฟ้าก็เช่นกัน มีชุดคลุม เรือและไม้พาย จากเดิมที่เคยเลือนรางก็ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย

ดวงไฟวิญญาณเข้มข้นขึ้น ร่างนี้ราวกับกำลังจะกลายเป็นกระแสน้ำวนทำให้โลกทั้งใบแกว่งไปมาไม่หยุด และทำให้ดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนเผยแสงแห่งความปรารถนาในดวงตา

โดยเฉพาะจักรพรรดิวิญญาณทั้งเจ็ดที่ได้คุกเข่าสวดอ้อนวอนไปแล้วในตอนนี้ นำพาให้ดวงวิญญาณทั้งหมดทำตาม

โลกสั่นสะเทือน ดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนคุกเข่าบูชา ประโยคที่สามของหวังเป่าเล่อเปล่งออกมาดังก้องอยู่ในหัวใจของดวงวิญญาณทั้งหมดที่นี่!

“ครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”

“หัตถ์สื่อวิญญาณ!”

ฟ้าดินสั่นสะเทือน เสียงคำรามดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ เงาร่างหวังเป่าเล่อบนท้องฟ้าชัดเจนขึ้นราวกับกลายเป็นวัตถุจริงกำลังนั่งอยู่บนเรือสำปั้นแห่งความมืดขนาดมหึมา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกไปทางอาณาจักรวิญญาณบนพื้น ทันใดนั้นเปลวไฟสีดำที่แผ่ออกก็พลิกตลบกลายเป็นแม่น้ำแห่งความมืด!

แม้เทียบกับแม่น้ำแห่งความมืดด้านนอกแล้ว แม่น้ำแห่งความมืดของหวังเป่าเล่อจะเล็กกว่า แต่พลังปราณที่แผ่ออกมาจากแม่น้ำมีต้นกำเนิดเดียวกัน พริบตาที่มันปรากฏขึ้นก็แผ่พลังดูดจนกลายเป็นแรงฉุดดึงทำให้เหล่าภูตผีวิญญาณในอาณาจักรวิญญาณที่กำลังคุกเข่าราวกับถูกปลดปล่อย ลอยขึ้นไปผสานกับแม่น้ำแห่งความมืดทีละดวง

ขณะที่ลอยขึ้นไปและผสานกับแม่น้ำ ใบหน้าของพวกมันเลือนรางและค่อยๆ หายไป ร่างของพวกมันค่อยๆ กลายเป็นแสงวิญญาณ หลังจากผนึกเข้ากับแม่น้ำแห่งความมืดแล้วก็กลายเป็นดวงดาว ทำให้แม่น้ำแห่งความมืดสายนี้ดูคล้ายทางช้างเผือก

ในไม่ช้าดวงวิญญาณทั้งหมดของอาณาจักรแรกก็ถูกดึงออกจากโลกวิญญาณไป ตามด้วยอาณาจักรที่สอง สาม สี่ ห้า…

ถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อตัวสั่นเล็กน้อย เปลวไฟสีดำของเขาเริ่มไม่มั่นราวกับจะไม่สามารถยืนหยัดไปจนถึงอาณาจักรที่เจ็ด แต่เขารู้สึกว่าการใช้วิธีนี้จะมีผลในภายหลังว่าเขาจะสามารถรับซากจักรพรรดิแห่งความมืดได้หรือไม่

ดังนั้นหลังจากเงียบไป หวังเป่าไม่ได้ลืมตาขึ้นมา แต่ชุดคลุมสีดำบนร่างพลันส่องแสง ก่อนที่พลังปราณเรือสำปั้นแห่งความมืดจะระเบิดออก ไม้พายประทีปในมือก็เช่นกัน ในที่สุดพลังปราณทั้งหมดก็ผสานเข้ากับ…ตะเกียงที่ผูกไว้กับไม้พายประทีป

ไส้ตะเกียงมืดสลัวพลันเกิดประกายไฟ พริบตานั้น…มันลุกโชน แสงสว่างแผ่ไปทั่วทั้งอาณาจักรที่หกและเจ็ด กระทั่งดวงวิญญาณทั้งหมดในอาณาจักรวิญญาณแห่งนี้ถูกฉุดดึงเข้าไปในแม่น้ำแห่งความมืด

โลกว่างเปล่า!

ประตูแสงพลันปรากฏ!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อค่อยๆ ลืมขึ้น รับรู้ได้เองในใจ เขาลุกขึ้นและก้าวเข้าสู่ประตูแสงไปพร้อมกับวิญญาณทุกดวง

………………………………