บทที่ 1351 ประมุขตำหนักมู่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

เหตุการณ์พลิกผันไปมาทำให้ทุกคนตะลึงงัน

เมื่อเสียงมั่นถัวหลัว หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปล่งตามออกมา ทุกคนก็หลุดจากอาการตกใจ จากนั้นก็มุ่งความสนใจไปที่หนังสือหยกที่มู่เฉินบดขยี้จนไม่เหลือซาก

หนังสือหยกเล่มนั้นเป็นตัวแทนของสำนักเมฆาม่วง ไม่มีใครกล้าปฏิเสธคำเชิญนี้มาก่อน ไม่ต้องพูดถึงการบดขยี้ต่อหน้าสาธารณชน… การบดขยี้ตีความหมายถึงการดูหมิ่นก่อให้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวง

“เขา…คือประมุขตำหนักมู่งั้นเหรอ?”

“เฮ้อ คนหนุ่มใจร้อน ระงับอารมณ์ไม่อยู่เลย ตอนนี้เขาทำลายหนังสือหยกไปแล้ว เกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่!” จอมยุทธ์ตำหนักมู่คนอื่นๆ กล่าวด้วยสีหน้าปวดใจ

“เขาห้าวเกินไป!” หลายคนมีใบหน้ามืดครึ้ม แม้ว่าการทำเช่นนี้จะช่วยระบายความโกรธในใจของพวกเขาออกไป แต่ความโกรธของสำนักเมฆาม่วงไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักมู่จะสามารถทนได้

“ดูเหมือนหายนะกำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้ คงต้องหาทางถอยออกก่อน”

ทั้งโถงเกิดความโกลาหล จอมยุทธ์ตำหนักมู่หลายคนมีความกลัวเขียนอยู่บนใบหน้า พวกเขาตกใจกับการกระทำของมู่เฉิน ไม่ต้องพูดถึงสำนักเมฆาม่วง เอาแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนนี่ก็สามารถดีดพวกเขาเป็นปุ๋ยได้

หลิ่วเทียนเต้า โยวมิ่งและผู้อาวุโสคนอื่นๆ คอตกก่อนจะถอนหายใจพลางส่ายหัว สถานการณ์วันนี้อิรุงตุงนังจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

เมื่อห้องโถงเข้าสู่จลาจล จอมยุทธ์ทั้งสามจากสำนักเมฆาม่วงก็ฟื้นสติ ขณะที่จื่อเทียนเปยเห็นหนังสือหยกถูกบดขยี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปแทนที่ด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่านในดวงตา

“ฮ่าๆ ดี! หลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนบ้าบิ่นกล้าบดขยี้หนังสือหยกของสำนักเมฆาม่วง!” น้ำเสียงน่าขนลุกขณะที่สายตาจ้องมองไปที่มู่เฉินราวกับใบมีดคม

“งั้นก็เริ่มมีตั้งแต่ตอนนี้เลย”

มู่เฉินพูดเบาๆ พลางปัดฝุ่นผงบนมือ “ข้าให้เวลาสิบอึดใจ ไสหัวออกไปจากตำหนักมู่ซะ”

ในขณะเดียวกันสายตาเขาก็กวาดไปทั่วกลุ่มคนที่ตื่นตระหนกในตำหนักมู่ เขาประทับใบหน้าคนเหล่านี้ที่เลือกที่จะปกป้องตัวเองในช่วงเวลาวิกฤต คนที่คิดแค่ตัวเองไม่เหมาะสมกับตำหนักมู่หรอก

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายชราทั้งสามก็อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะดังก้องสะท้อนทั้งโถง

พวกหลิ่วเทียนเต้าแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินไม่มองจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนนี้ในสายตาเลย

สายตาของพวกเขาอดไม่ได้ที่จะเบนไปทางมั่นถัวหลัว เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่านางไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็กลับมามองมู่เฉินพลางครุ่นคิด…

“ไม่คิดมาก่อนว่าประมุขตำหนักมู่จะเป็นเด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำขนาดนี้” จื่อเทียนเปยส่ายหัวด้วยความสงสารก่อนจะพูดต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ตำหนักมู่คงอยู่ต่อไป”

ตู้ม!

เมื่อคำสุดท้ายจบลง แขนเสื้อเขาก็สะบัดคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่างกายโดยไม่มีการยับยั้ง ทำให้โถงสั่นสะเทือนส่งสัญญาณใกล้จะพังทลาย

“ลงมือจากเจ้าก่อนเลย!”

จื่อเทียนเปยยิ้มน่าขนลุกขณะที่ก้าวออกไป ภาพเงาปรากฏขึ้นอย่างลึกลับเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับฝ่ามือกระแทกลง ฝ่ามือนั่นทิ้งรอยแตกในมิติแสดงให้เห็นว่าการโจมตีกระบวนท่านี้น่ากลัวเพียงใด

เมื่อทุกคนในตำหนักมู่เห็นจื่อเทียนเปยคิดจะฆ่ามู่เฉิน พวกเขาก็ร้องอุทาน ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นประมุข ถ้าเขาตาย ตำหนักมู่ล่มสลายแน่

ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปลี่ยนไปก่อนที่จะกัดฟันแน่น พวกเขาคิดจะช่วยมู่เฉิน แต่ถูกมั่นถัวหลัวกางแขนหยุดเอาไว้

“ท่านมั่นถัวหลัว!” ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะอุทานออกไป

ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉิน กระทั่งพวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับความตายหากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มซัดเต็มกำลัง

มั่นถัวหลัวจ้องมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน นางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันคลุมเครือที่มาจากเขา

แรงกดดันนั้นทำให้นางรับรู้ว่ามู่เฉินไม่เหมือนกับตอนที่เขาจากไปอีกแล้ว…

ตู้ม!

ฝ่ามือของจื่อเทียนเปยตกลงภายใต้การมองจากทุกคน แต่เมื่อกำลังจะสัมผัสกับหน้าอกของมู่เฉิน เขาก็ยกมือขึ้นตบมือเหี่ยวย่นเบาๆ ราวกับกำลังตีแมลงวัน

ตึง!

เสียงทุ้มต่ำดังจากการปะทะ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหลับตา เหมือนไม่ต้องการดูมู่เฉินตาย

แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะปิดตาลง จู่ๆ ก็เห็นร่างหนึ่งปลิวออกไปสร้างรอยยาวบนพื้น

ทันใดนั้นบรรยากาศในโถงก็เงียบสงัด

เนื่องจากพวกเขาเห็นชัดว่าคนที่ปลิวออกไปคือจื่อเทียนเปย!

วาบ!

สายตาไม่อยากจะเชื่อพุ่งตรงไปที่มู่เฉิน พวกเขาเห็นเขาคงท่าทางเอาไว้ขณะยืนอยู่บนพื้น ไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย

ฝ่ามืออันโหดร้ายของจื่อเทียนเปยไม่สามารถแม้แต่จะทำให้มู่เฉินขยับเขยื้อนร่างกาย ขณะที่การตบออกไปครั้งเดียวกลับเป่าชายชราซะหน้าหงายได้?

อ็อก

เมื่อจื่อเปยเทียนทรงตัวได้ก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยความหวาดผวา จากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่ เขารับรู้ได้ถึงพลังน่ากลัวจากมือของมู่เฉินที่ทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างเขายังรู้สึกตกใจ

มาถึงตอนนี้เขาบอกได้เลยว่ามู่เฉินแกล้งเป็นหมูเพื่อกินเสือ!

“เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!” จื่อเทียนเปยมองมู่เฉินพลางกัดฟันแน่น

ตอนที่พวกเขาต่อสู้กัน คลื่นหลิงที่ผันผวนจากร่างกายของมู่เฉินเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว แต่เขาไม่อยากเชื่อว่าด้วยขุมพลังนี้มู่เฉินสามารถปราบเขาได้อย่างไร?

โห!

เมื่อเขาพูดขึ้น ทุกคนในตำหนักมู่ก็ตกตะลึงไป โดยเฉพาะพวกหลิ่วเทียนเต้าที่ฉายไม่เชื่อบนใบหน้า ตอนที่มู่เฉินออกจากตำหนักมู่ พลังอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น เวลาผ่านไปเพียงประมาณหนึ่งปีตอนนี้เขาเสมือนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว?!

ยิ่งไปกว่านั้นที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามารถปราบปรามระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างจื่อเทียนเปยได้?

“ไอ้เด็กเวรนี่แปลกมาก ลงมือด้วยกัน!” จื่อเทียนเปยตะโกน ในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะโง่แค่ไหน ก็รู้แล้วว่ามู่เฉินไม่ใช่คนโค่นล้มลงง่ายๆ แค่เขาคนเดียวไม่สามารถต่อกรกับมู่เฉินได้

ชายชราอีกสองคนจากสำนักเมฆาสีม่วงก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนที่ไอสังหารจะควบแน่นในสายตาขณะมองไปที่มู่เฉิน

วาบ!

ทว่าก่อนที่พวกเขาจะรวมพลังเข้าด้วยกัน มู่เฉินก็ก้าวย่างออกไป มิติบิดเบี้ยวไปปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสามทันที

“เร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมา!”

ทั้งสามคนม่านตาหดเกร็งตะโกนออกมาโดยไม่ลังเล เบื้องหลังร่างเทห์สวรรค์เริ่มควบแน่น เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าถูกคุกคามหนักหน่วงโดยมู่เฉิน

แต่เมื่อร่างมหึมารวมตัวอยู่ด้านหลังพวกเขา ฝ่ามือผลึกใสก็พุ่งผ่านเจาะผ่านการป้องกันรอบตัวพวกเขาก่อนที่จะตบลงบนหน้าอกทั้งสามเบาๆ

ปัง!

เสียงอู้อี้ดังขึ้น เปลือกตาของทุกคนกระตุก ก่อนที่จะเห็นว่าชายชราทั้งสามถูกซัดไปกระแทกกับเสาหินในห้องโถง

อ็อก

ทั้งสามคนกระอักเลือดเต็มปาก ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายเริ่มหายไป พวกเขารีบก้มหน้ามองก็เห็นลายพิมพ์ฝ่ามือตกผลึกบนหน้าอก ผลึกคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกายทำให้พลังงานของพวกเขาหลุดออกจากการควบคุม

ราวกับว่าคลื่นหลิงถูกปิดผนึกไว้

เพียงไม่กี่อึดใจคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็อันตรธานหายไป

ความกลัวปรากฏบนใบหน้า คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาถูกปิดผนึก วิธีของมู่เฉินน่าสะพรึงเกินไป พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะไม่มีแม้แต่โอกาสนำร่างเทห์สวรรค์ออกมา!

นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จได้โดยระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว มีเพียงจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้

เหมือนกับประมุขสำนักเมฆาม่วง!

หรือว่าประมุขตำหนักมู่ก็มาถึงขั้นนั้นแล้ว?!

“หนี!”

ใบหน้าแต่ละคนซีดเผือด พวกเขาควบคุมคลื่นหลิงเฮือกสุดท้ายในร่างกายทะยานออกจากห้องโถง เวลานี้พวกเขากลัวพลังที่มู่เฉินแสดงออกมายิ่งนัก

เมื่อมองสามคนที่เปิดตูดหนี สีหน้ามู่เฉินเรียบเฉย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดพวกเขา

ปัง!

แต่เมื่อทั้งสามพุ่งออกจากโถง คลื่นหลิงรุนแรงก็ส่งเสียงหวีดหวิว ก่อนที่ทุกคนจะเห็นเงาทั้งสามถูกพัดกลับเข้ามาตกลงในห้องโถง

“นายน้อยยังไม่ได้บอกให้พวกแกไป ไอ้หมาแก่สามตัวกล้าหยามขนาดนี้เชียวเหรอ?” เสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านนอกโถง ทุกคนเห็นร่างจอมยุทธ์สองคนเดินเข้ามา

คนที่เดินนำหน้าเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์สวมชุดขาว ที่เยื้องไปเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างแข็งแรงยืนอยู่ เขากระแทกหมัดเข้าด้วยกันปรายตามองไปที่ผู้อาวุโสสามคนจากสำนักเมฆาม่วงด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเกิดขึ้นรอบตัวเขา บ่งบอกว่าเป็นจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มตัวจริงอีกคน

ชัดว่าชายคนนี้เป็นคนที่เป่าตาเฒ่าทั้งสามกลับเข้ามาในโถง

มู่เฉินค่อยๆ ลดศีรษะลงมองความหวาดกลัวบนใบหน้าของทั้งสามคนด้วยสีหน้าสงบ “พวกแกคิดว่าตำหนักของข้าเป็นอะไร คิดจะไปคิดจะมาตามที่ต้องการได้เหรอ?”

โถงเงียบกริบ ทุกคนมองไปที่ชายชราสามคนที่ตัวสั่นงันงกด้วยความอึ้งทึ่ง จากนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจในหัวใจ

สายตาของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยความเคารพเมื่อมองไปที่มู่เฉินอีกครั้ง…

ความห้าวหาญและวิธีการเช่นนี้…

นี่หรือประมุขตำหนักมู่ตัวจริงของพวกเขา?