บทที่ 528.2 จิตไร้นิวรณ์ความเยือกเย็นย่อมบังเกิด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ฮว่อหลงเจินเหรินพาจางซานเฟิงเดินเท้าท่องเที่ยวต่ออีกครั้ง

มีคำพูดสำคัญบางอย่างที่ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ได้พูดให้ลูกศิษย์อย่างจางซานเฟิงฟัง

ผลกรรมของเฉินผิงอันผู้นั้นเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับอุตรกุรุทวีปอย่างลึกซึ้ง ง่ายที่จะกระชากลูกศิษย์ผู้นี้ของเขาให้เข้าไปในวังวน

เขาเชื่อว่าด้วยนิสัยของคนหนุ่มผู้นั้น ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์อับจน ก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายลากจางซานเฟิงเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยแน่ ทว่าเรื่องราวทางโลกก็เหมือนเชือกก้อนหนึ่ง เขาเฉินผิงอันทำอย่างนี้ ทว่าลูกศิษย์ของตนก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งเขาก็คงจะต้องพาตัวเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างไม่สนใจสิ่งใดอย่างแน่นอน

ถึงเวลานั้นตนที่เป็นอาจารย์ควรจะทำเหมือนปีนั้นที่ปล่อยให้เหล่าเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปจับมือกันออกนอกมหาสมุทร ไปสกัดกั้นนักพรตจากจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์? หรือควรจะทำลายกฎเกณฑ์ ลงจากภูเขามาดึงรั้งลูกศิษย์และคนหนุ่มผู้นั้นเอาไว้?

จำต้องยอมรับว่า รากฐานมรรคกถามากมายที่ลู่เฉินเชิดชู แท้จริงแล้วมองปราดๆ คล้ายจะเลวระยำ ฟังปราดๆ คล้ายจะบาดหู แต่พออนุมานไปร้อยรอบยาวนานพันปี กลับกลายเป็นสัจธรรมที่แท้จริง

ฝึกตนอยู่บนภูเขา ทุกคนต่างก็ฝึกบำเพ็ญตัวเอง ดั่งเรือว่างเปล่าไร้ผู้โดยสารที่ล่องอยู่กลางอากาศ บ้างก็บินทะยาน บ้างก็กลับคืนสู่วัฎสังสาร แน่นอนว่าเมื่อการฝึกตนบนภูเขาสงบเงียบ ใต้หล้าก็ย่อมสงบสุข

หากผู้ฝึกตนบนภูเขาใช้ความชื่นชอบของตัวเองมาตัดสินชะตาของด้านล่างภูเขา อีกทั้งยังมีความรู้ของเมธีร้อยสำนัก ดึงไปซ้ายทีไปขวาที เชือกก้อนหนึ่งจะยิ่งยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม

ทุกคนใช้เหตุผล ทุกคนไม่ใช้เหตุผล

เพราะวาสนานำพา ในอดีตฮว่อหลงเจินเหรินจึงเคยไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวมาก่อน

ทั้งได้เห็นถึงความดีและความไม่ดีของการอืดอาดชักช้าของลัทธิเต๋าในใต้หล้าแห่งนั้น แล้วก็ได้เห็นถึงความดีความไม่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่ถักทอเป็นตาข่ายของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าแห่งนี้

และการที่ลัทธิเต๋าของใต้หล้ามืดสลัวใช้นครป๋ายอวี้จิงต้านทานเทวบุตรมารนอกโลกที่เป็นดั่งภาพมายาล่องลอย ส่วนใต้หล้าไพศาลก็ใช้กำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวสกัดขวางใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้น ก็ล้วนมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

นักพรตหนุ่มพลันยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ ตอนนี้ข้าได้เดินทางมาเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ก็เป็นคนที่เดินทางผ่านสามทวีปเหมือนเฉินผิงอันแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าต่างก็ร้ายกาจกันทั้งคู่”

จางซานเฟิงถาม “ผู้ฝึกลมปราณรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ด้อยกว่าคนของทวีปพวกเราระดับหนึ่งใช่หรือไม่?”

ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ย “ช่วงเวลาที่ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ของสองทวีปต่างกันแค่หกสิบปีเท่านั้น เป็นไปได้ว่าหลังจากนี้หากลองหันไปมองดูอีกครั้ง ทุกคนก็จะค้นพบว่าคนหนุ่มสาวของแจกันสมบัติทวีปยิ่งโดดเด่นสะดุดตามากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะว่าไปแล้ว โชคชะตาของหนึ่งแคว้นมีจำนวนที่แน่นอน แต่ปราณวิญญาณหนึ่งแคว้นจะต้องมีมากหรือน้อยกลับไม่มีคำบอกไว้ ทวีปแห่งใดใหญ่ ที่นั่นก็จะมีปีแห่งผลผลิตดีที่เหล่าผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์พากันผุดขึ้นดั่งหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตก จำนวนก็มีแต่จะยิ่งเกินจริงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหากแจกันสมบัติทวีปอยากจะให้อีกแปดทวีปที่เหลือหันมามองพวกเขาเสียใหม่ ก็ยังต้องอาศัยโชคอีกเล็กน้อย หากดูจากตอนนี้ สหายเก่าของอาจารย์ในอดีต ซึ่งตอนนี้นางใช้ชื่อว่าหลี่หลิ่ว นางจะต้องเป็นคนที่ลุกผงาดขึ้นมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครก็ขวางไว้ไม่อยู่ หม่าขู่เสวียนก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับพรวิเศษจากสวรรค์ซึ่งอายุห่างไปเล็กน้อย รวมไปถึงสตรีที่เขาให้การสนับสนุนคนนั้น แน่นอนว่าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น สามคนนี้เมื่อเอามาเปรียบเทียบกันแล้ว โอกาสที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันนั้นมีน้อยที่สุด ดังนั้นอาจารย์จึงยกพวกเขาขึ้นมาพูด เพียงแต่ว่าเรื่องไม่คาดฝันมีน้อยก็ไม่ได้เท่ากับว่าไม่มีเรื่องไม่คาดฝันก็เท่านั้น”

จางซานเฟิงยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันเองก็จะต้องโดดเด่นเหนือกลุ่มคนด้วย ใช่ไหม?”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ “เขาก็น่าจะถือเป็นคนหนึ่งในนั้น ทว่าระดับความสูงในท้ายที่สุดจะเท่าไร ตอนนี้ยังบอกได้ยาก เพราะว่ามีตัวแปรมากเกินไป”

จางซานเฟิงเอ่ย “อาจารย์ ข้าสายตาไม่เลวใช่ไหม สหายคนแรกที่รู้จักในแจกันสมบัติทวีปก็คือเฉินผิงอัน”

ฮว่อหลงเจินเหรินตอบ “ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันเองก็สายตาไม่เลวเหมือนกัน”

จางซานเฟิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “สายตาในการคบหาเพื่อนของเฉินผิงอันไม่เลว แต่สายตาในการรับลูกศิษย์ของอาจารย์น่าจะถือว่าไม่ดีแล้วก็ไม่เลวกระมัง เพราะถึงอย่างไรศิษย์พี่ชายหญิงที่เดินออกไปจากภูเขาพาตี้บางส่วนก็ถือว่าร้ายกาจอย่างมาก”

ฮว่อหลงเจินเหรินเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ซานเฟิง จงจำเรื่องหนึ่งเอาไว้”

จางซานเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ “อาจารย์ ท่านเชิญพูดได้เลย”

เจินเหรินผู้เฒ่ากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “วันหน้าเจ้าเองก็ต้องรับลูกศิษย์ ต้องถ่ายทอดมรรถกถาให้แก่พวกเขา จงจำไว้ว่า อย่าได้ชอบลูกศิษย์คนไหนเป็นพิเศษเพียงเพราะรู้สึกว่าเขาจะต้องสามารถกลายเป็นคนบนยอดเขาได้ แต่ให้มองที่…ความดีมากมายบนร่างของลูกศิษย์เหล่านั้น บางทีแม้แต่คนที่เป็นอาจารย์เองก็อาจจะยังดีไม่ได้เท่าพวกเขา ดังนั้นถึงได้กำหนดมาแล้วว่าจะทำให้พวกเขาได้มีโอกาสเดินขึ้นเขา เดินขึ้นไปบนยอดเขามากขึ้น แล้วเจ้าก็จะสามารถชอบพวกเขาได้มากขึ้นอีกหน่อย ลำดับขั้นตอนก่อนหลังของเรื่องนี้ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป เรื่องของพรสวรรค์นั้น ไม่เคยเป็นเรื่องที่ตายตัว หมื่นสรรพสิ่งถือกำเนิด เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ทัศนียภาพไม่เคยมีอะไรที่เป็นหนึ่งเดียว บรรพจารย์หลายคนของตระกูลเซียนตัวอักษรจงที่ฝึกตนไปฝึกตนมากลายเป็นว่าสนิมขึ้นสมอง แม้แต่เรื่องเล็กๆ นี้ก็ยังไม่เข้าใจ ถึงได้ทำให้บนภูเขาไม่มีกลิ่นอายของมนุษย์อยู่แม้แต่น้อย”

เจินเหรินผู้เฒ่าหันหน้ามามอง เห็นว่าลูกศิษย์ของตนกำลังกลั้นยิ้มก็ถามว่า “ทำไมหรือ?”

จางซานเฟิงยิ้มกล่าว “อาจารย์ ตอนนี้ตบะของข้ามีน้อยนิดแค่นี้ จะกล้ารับลูกศิษย์ได้อย่างไร นั่นจะไม่เป็นการถ่วงเวลาผู้อื่นหรอกหรือ”

เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มตาม “ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ต้องรีบร้อน”

คำว่าถ่ายทอดมรรคกถา สืบทอดวิชาจากรุ่นสู่รุ่น

บางทีอาจไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร ก็หนีไม่พ้นการที่มีคนที่เป็นผู้นำจุดไฟดวงเล็กๆ ขึ้นมาก่อน แม้ว่าแสงนั้นจะเบาบาง แต่กลับสามารถส่องแสงสว่างให้แก่คนด้านหลังบนเส้นทางของม่านราตรีที่มืดมิดได้

ไม่อย่างนั้นวิถีทางโลกย่อมมืดมนไปตลอดกาล

เต๋ากำเนิดหนึ่ง

หนึ่งกำเนิดสอง สองกำเนิดสาม สามกำเนิดหมื่นสรรพสิ่ง

“ซานเฟิง อยากนั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนของสำนักฉงเหยาหรือไม่? ข้ามทวีปลงใต้ เดินทางไกลไปเยือนทักษิณาตยทวีป ทัศนียภาพข้างทางนั้นไม่เลวเลยจริงๆ”

“อาจารย์ เรื่องที่ตบหน้าตัวเองเพื่อให้ดูเป็นคนอ้วนเช่นนี้ พวกเราอย่าทำเลยดีกว่าไหม?”

“แต่ที่นั่นมีสหายสนิทเชิญให้อาจารย์ไปเป็นแขกนะ ยากจะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้จริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็รู้สึกว่าสหายคนนี้ของอาจารย์ต้องมีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับท่านแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอาจารย์ค่อนข้างจะขัดสน”

“ซานเฟิงเอ๋ย หากไม่ได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องขอให้เจ้าลำบากสักหน่อยแล้ว ความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารของอาจารย์ยังขาดกำลังไฟอยู่บ้างจริงๆ แต่วิชาย่อพื้นที่วิชานั้นของอาจารย์กลับนับว่าพอใช้ได้ เจ้าเองก็เคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเรานั่งเรือข้ามทวีปกันดีกว่า เงินทองเป็นของนอกกาย ก่อนขึ้นเรือศิษย์จะเตรียมพวกอาหารแห้งผักดองไว้ให้มากหน่อยก็แล้วกัน”

“เหตุใดอาจารย์ถึงได้มีลูกศิษย์ที่ฉลาดเฉลียวอย่างเจ้าได้นะ?”

“อาจารย์สายตาดี?”

“มีเหตุผล”

“อาจารย์ ครั้งนี้ไปเป็นแขกบ้านคนอื่นคงต้องเตรียมของขวัญไปด้วยกระมัง? ออกมาอยู่ข้างนอก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ฝึกตนอยู่บนภูเขาบ้านตัวเอง ก็คงต้องควรมีมารยาทบ้าง”

“เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง พวกเราหาซื้อหนังสือข้างทางติดมือไปสักเล่มสองเล่มก็พอ เขาค่อนข้างจะรับมือได้ง่าย”

“เป็นบัณฑิตอีกแล้วหรือ? อย่าให้ต้องกินน้ำแกงประตูปิดอีกล่ะ”

“ซานเฟิง อาจารย์จำต้องบอกความจริงบางอย่างให้เจ้ารู้แล้ว อันที่จริงมรรกถาและฉายาของอาจารย์ ยามที่อยู่นอกภูเขาของบ้านตัวเองก็ยังพอจะมีหน้าตาอยู่บ้าง”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมผู้อาวุโสคนเมื่อครู่ถึงไม่ยินดีเชิญพวกเราไปเป็นแขกที่จวนของเขาล่ะ? เชิญพวกเราดื่มชาก็ยังดีนี่นา ข้ารู้สึกว่าอันที่จริงผู้อาวุโสท่านนั้นมีมารยาทมากแล้ว ต่อให้จะเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยยินดีมาพบหน้าพวกเรา แต่ก็ยังมีมารยาทตามที่สมควร ภาพเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับข้าหรอกนะ ปีนั้นข้าออกจากยอดเขาพาตี้ไปฝึกประสบการณ์ด้านล่างภูเขา เห็นตระกูลคนรวยหลายแห่งที่มีปราณดุร้ายล้อมเวียนวน ข้าเลยอยากจะเข้าไปช่วย พอเคาะประตูแล้วบอกจุดประสงค์อย่างชัดเจน อีกฝ่ายก็ไม่ไล่ข้า เพียงแค่โยนเหรียญทองแดงหนึ่งกำมือหรือไม่ก็เศษเงินก้อนสองสามก้อนมาให้ ความหมายของอีกฝ่าย ข้าเองก็เข้าใจดี”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

“อาจารย์ วันหน้าท่านอย่าเอาแต่หลับอยู่บนภูเขาสิ ต้องลงจากภูเขามาบ่อยๆ เรื่องราวและความสัมพันธ์ของผู้คนที่ผิวเผินเหล่านี้ ศิษย์เองก็ได้มาจากการฝึกประสบการณ์ล่างภูเขาเหมือนกัน”

“ซานเฟิงเอ๋ย คราวก่อนระหว่างทางที่เจ้าลงจากภูเขามา ได้เจอกับผู้เฒ่าคนหนึ่งกลางทางใช่ไหม? ได้ยินว่ายังพูดคุยกันถูกคอมากด้วย?”

“อืม ผู้อาวุโสท่านนั้นบอกว่าเป็นคนรู้จักของอาจารย์ ขึ้นเขามาถามทาง ข้าก็เลยบอกทางให้เขา แล้วคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่ง พอคุยจบ ก็ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าคนนั้นจะอารมณ์ดีอย่างมาก”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรมาก

เซียนกระบี่ขอบเขตสิบสองคนหนึ่ง พอออกมาจากยอดเขาพาตี้แล้วกลับกระจายข่าวเหมือนสตรีปากยื่นปากยาวในหมู่ชาวบ้าน จะไม่อารมณ์ดีได้หรือ?

รอให้กลับไปถึงอุตรกุรุทวีปเมื่อไหร่ ตนจะต้องไปเยือนสำนักเจ้าหมอนั่น แล้วทำให้เขาอารมณ์ดีอีกสักครั้ง อารมณ์ดีให้อิ่มไปเลย

แต่ฮว่อหลงเจินเหรินก็รู้สึกหม่นหมองเล็กน้อย ต่อให้ตบะจะสูงแค่ไหนก็ยังคงมีความเสียใจสำหรับการจากลาบนโลกมนุษย์อยู่ดี

อาจจะไม่ได้กลับไปแล้ว

กระบี่หักสามารถซ่อมแซมกลับคืน แต่คนกลับไม่แน่เสมอไป

นอกภูเขาห้อยหัว มีกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่ตรงนั้น

ปราณกระบี่พุ่งทะยานสู่ชั้นเมฆ

ในใต้หล้าไพศาล ไก่ขันหมาเห่า กลิ่นควันจากการทำอาหารลอยฟุ้ง หมื่นครัวเรือนจุดตะเกียงส่องแสงสว่าง

มีสามทวีปที่อาจจะสูญเสียทุกอย่างนี้ไปในชั่วพริบตา

สุดท้ายอยู่ดีๆ จางซานเฟิงก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุว่า “อาจารย์ แม้ว่ามรรถกถาของท่านจะไม่สูง แต่ข้ารู้สึกว่าท่านคืออาจารย์ที่ดีที่สุดในใต้หล้าแล้ว”

เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “แบบนี้แหละถูกแล้ว สายตาที่อาจารย์ใช้เลือกลูกศิษย์ กับสายตาที่ลูกศิษย์มองอาจารย์ ต่างก็ไม่เลว”

จางซานเฟิงถามชวนคุยว่า “อาจารย์ รอให้วันใดที่ข้ามีมรรคกถาได้อย่างท่านผู้อาวุโสแล้ว ก็ถือว่าข้าฝึกตนประสบผลสำเร็จนิดๆ แล้วใช่ไหม?”

เจินเหรินผู้เฒ่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “นับว่าใช่”

มรรคกถาของใต้หล้ามาจากคนคนเดียวงั้นหรือ?

เงียบงันไปครู่หนึ่ง เจินเหรินผู้เฒ่าก็หัวเราะแล้วพูดเบาๆ ว่า “ขอเทียนจุนทั้งหลายโปรดอำนวยพร”

……

ช่วงเข้าสู่ฤดูร้อนก่อนหน้านี้

ทางฝั่งของตรอกฉีหลง เหลือเพียงสือโหรวคนเดียวที่คอยดูแลกิจการของร้าน

เผยเฉียนลาออกจากโรงเรียนแล้ว เพราะผ่านการพยักหน้าเห็นชอบจากจูเหลี่ยน สือโหรวจึงไม่ได้เอ่ยอะไร

พอเผยเฉียนจากไป โจวหมี่ลี่ก็ตามไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วด้วย

จากความครึกครื้นสนุกสนานกลายมาเป็นความเงียบสงัด สือโหรวจึงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไร

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เว่ยป้อมักจะแวะเวียนมาที่ภูเขาลั่วพั่วเป็นประจำ เจิ้งต้าเฟิงเองก็มักจะออกจากเรือนหรูที่สร้างขึ้นด้วยมือของตัวเองตรงตีนเขามาหาจูเหลี่ยนบ่อยๆ เช่นกัน

พื้นที่มงคลดอกบัวถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ภูเขาลั่วพั่วได้ครอบครองหนึ่งส่วนในนั้น

แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดี แต่ก็มีปัญหาอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือไม่ว่าพื้นที่มงคลแห่งใดที่คิดจะรักษาความมั่นคงของฟ้าดินเอาไว้ให้ได้ ก็ล้วนจำเป็นต้อง ‘กิน’ เงินเทพเซียนก้อนใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคิดจะเปลี่ยนจากพื้นที่มงคลระดับล่างที่ปราณวิญญาณแร้นแค้น เลื่อนขั้นกลายมาเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางที่สามารถทำให้คนในพื้นที่ฝึกตนได้ ก็ยิ่งจำเป็นต้องให้คนที่ดูแลพื้นที่มงคลคอยคงสภาพการเผาผลาญเงินเทพเซียนเอาไว้ พูดง่ายๆ ก็คือ นี่ก็คือหลุมที่ไร้ก้นแห่งหนึ่ง แต่หากสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสมก็จะเป็นเหมือนกับพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่สกุลเจียงสำนักกุยหยกของใบถงทวีปเป็นผู้ครอบครอง แรกเริ่มคือปล่อยให้พื้นที่มงคลเขมือบกลืนเงินเทพเซียนเหมือนปลาวาฬสูบน้ำ สุดท้ายพอเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง อยู่ในสภาพการณ์ที่ค่อนข้างมั่นคงแล้ว ก็เริ่มมีองค์เทพของสถานที่ต่างๆ ที่สามารถช่วยทำให้ปราณวิญญาณและรากฐานภูเขาแม่น้ำมั่นคงปรากฏตัว รวมไปถึงเริ่มรวบรวมปราณวิญญาณไว้ในพรรคใหญ่ๆ ของผู้ฝึกตน ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ทรัพย์สมบัติของตระกูลเจียงหดหาย กลับกันยังมีเงินทองไหลมาเทมา สุดท้ายก็ย้อนกลับมาเลี้ยงสกุลเจียงได้

ผู้ฝึกตนในพื้นที่ของพื้นที่มงคล รวมไปถึงสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินประเภทต่างๆ ที่ถูกอาบย้อมอยู่ภายใต้ปราณวิญญาณจนค่อยๆ ฟูมฟักถือกำเนิดขึ้นมา ล้วนเป็นแหล่งที่มาของเงินทองทั้งสิ้น

ช่วงนี้เว่ยป้อ จูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงกำลังปรึกษากันเรื่องที่ว่าควรจะจัดการกับเขตอิทธิพลขนาดเล็กของพวกเขาที่ตอนนี้ตั้งชื่อให้ชั่วคราวว่า ‘พื้นที่มงคลรากบัว’ แห่งนี้อย่างไรดี และแน่นอนว่าชื่อที่แท้จริงของมันคงต้องรอให้เฉินผิงอันกลับมาก่อนค่อยว่ากัน

ตอนนี้อาณาเขตของพื้นที่มงคลเล็กแห่งนี้ก็คืออาณาเขตของแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต

ประชากรโดยรวมมีทั้งหมดยี่สิบล้านคน

ตอนที่ภูเขาลั่วพั่วได้พื้นที่มงคลรากบัวมาครอง ปราณวิญญาณก็อุดมสมบูรณ์ขึ้นมากแล้ว จึงคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างพื้นที่มงคลระดับล่างกับระดับกลาง นี่จึงหมายความว่าทุกชีวิตของแคว้นหนันเยวี่ยน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือภูตพืชหญ้าทั้งหลาย ก็ล้วนมีความหวังในการฝึกตน

แต่ปมของปัญหานั้นอยู่ที่ว่าขอแค่ยังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนและทางราชสำนักจะแต่งตั้งองค์เทพภูเขาแม่น้ำ ก็ยังไม่สามารถรั้งปราณวิญญาณไว้ได้อยู่ดี ปราณวิญญาณของพื้นที่มงคลแห่งนี้จะต้องสลายหายไป อีกทั้งยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อให้เป็นองค์เทพของขุนเขาใหญ่อย่างเว่ยป้อก็ยังไม่อาจตามหาเบาะแสของปราณวิญญาณที่ไหลหายไปได้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่จะรั้งปราณวิญญาณให้ไหลหายได้ช้าลงเลย ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนของตอนนี้ก็คือจะทุ่มเงินอย่างไรถึงจะสามารถเลื่อนขั้นพื้นที่มงคลรากบัวให้กลายเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางได้ สามารถทุ่มเงิน แต่จะทุ่มอย่างไร ทุ่มลงไปที่ไหน นี่ถือเป็นความรู้ใหญ่อีกข้อหนึ่ง ไม่ใช่ว่าโยนเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ไปส่งเดชก็ได้แล้ว หากทำได้ดี เงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญก็ไม่แน่ว่าอาจจะรั้งปราณวิญญาณของเงินร้อนน้อยไว้ได้เก้าเหรียญ แต่หากทำได้ไม่ดี รั้งปราณวิญญาณของเงินร้อนน้อยไว้ได้สี่ห้าเหรียญก็ถือว่าโชคดีแล้ว

——