ในสายตาของผู้คนทั้งหลาย เห็นฉางซุนซิ่วจู่ๆก็พูดออกมาเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าเขาคงจะสติฟั่นเฟือนไปแล้ว นั่นก็คือฮ่องเต้หญิงอยู่ชัดๆมิใช่หรือ?
ตัวปลอม ผีสางอันใดกัน?
บัดนี้ดินแดนโบราณแห่งนี้มิใช่เป็นเช่นกาลก่อนแล้ว ทุกคนต่างก็รู้จักและเข้าใจแล้วว่ามีเทพมารภูตผีอยู่ แต่อยู่ๆมาบอกว่าฮ่องเต้หญิงทรงเป็นตัวปลอม มันช่างเหลวไหลไปแล้ว
“ในบรรดาพวกเจ้าก็มีผู้ที่ฝึกฝนบำเพ็ญตนอยู่ ย่อมจะต้องรู้ว่าในใต้หล้านี้มีวิชาอาคมชนิดหนึ่งที่เรียกว่า การสิงสู่ ใช่หรือไม่?”
ฉางซุนซิ่วมิได้รีบร้อน สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ปลายนิ้วยังคงชี้ไปที่ตู๋กูซิงหลันดังเดิม “สตรีผู้นี้ใช้อาคมนั่น แย่งชิงพระวรกายของฮ่องเต้หญิงไป”
“เจ้าผายลมอันใดออกมากัน!” ตู๋กูเจวี๋ยอยากจะด่าบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของมันเป็นอันดับแรก
ไอ้ไม้กวนปุ๋ยผู้นี้ช่างปรากฏตัวออกมาได้ถูกเวลาเสียจริงๆ งานอภิเษกที่กำลังดำเนินไปดีๆ กลับถูกเขาขวางเอาไว้ ตนเองเห็นแล้วหงุดหงิดจริงๆ
“น้องเล็กของพวกเราเป็นเช่นไร มีหรือพวกเราจะไม่รู้ เรื่องอะไรจะต้องให้คนที่ทรยศชาติบ้านเมืองอย่างเจ้ามาสาดน้ำครำด้วย?”
ตู๋กูเจวี๋ยกำหมัดเอาไว้แน่น แทบจะอยากเอาน้ำเสียสาดใส่หน้ามันอยู่แล้ว
“อ้อ? เช่นนั้นก็คงต้องบอกว่าเจ้ามันตาบอดไปแล้ว น้องสาวของตนเองเป็นคนเช่นไรก็ยังไม่รู้จัก” ฉางซุนซิ่วหัวเราะเสียงเย็นชาต่อไป
ขณะที่หัวเราะเสียงเย็นออกมา เขาก็หันไปมองดูตู๋กูจุนและตู๋กูถิง
“ท่านผู้เฒ่า หลานสาวของบ้านท่านเดิมทีเป็นสตรีอ่อนแอไร้กำลัง แค่ลมพัมาวูบหนึ่งก็ล้มลงไปแล้ว ท่านเชื่อจริงๆหรือว่าหลานสาวที่เดิมทีอ่อนแออย่างยิ่งผู้นั้น จะเป็นคนตรงหน้าในตอนนี้?”
ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันเป็นคนเช่นไร ทุกคนต่างก็ทราบกันเป็นอย่างดี
เพียงแต่ก็เข้าใจว่านางได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยครั้งใหญ่เท่านั้น
คำพูดของฉางซุนซิ่ว ต้องนับว่ามีเหตุผลและที่มาที่ไปอยู่บ้าง
สีหน้าของตู๋กูถิงไม่สู้ดี ที่จริงเรื่องความเปลี่ยนแปลงของหลานสาวสุดที่รัก เขารู้สึกได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้ว
เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาเขามิได้คิดอะไรให้มากนัก
ตู๋กูจุนกุมดาบยักษ์ในมือเอาไว้อย่างแนบแน่นจดมันส่งเสียงบาดหูออกมา ตอนนี้เขากำลังกลัวว่าตนเองจะควบคุมตนเองไม่ไหว เผลอพุ่งออกไปสับเจ้าสุนัขตัวนี้ออกเป็นแปดท่อนเสียก่อน
หยวนเมิ่งยืนอยู่ที่ข้างเกี้ยวทรง ยามนี้นางเองก็จ้องมองไปที่ฉางซุนซิ่วเช่นกัน
พริบตาที่มองออกไป ก็สังเกตเห็นไอสีดำที่อยู่บนร่างของเขาได้แล้ว
นั่นเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่อาจมองเห็น
ส่วนนางเองเดิมทีก็เป็นคนของเผ่ามาร ย่อมต้องสัมผัสได้ถึงไอสีดำที่แฝงอยู่ในนั้น
ฉางซุนซิ่วกลายเป็นมารไปแล้ว วันนี้เขาจงใจมาหาเรื่องอย่างแน่นอน
“เจ้ามาที่นี่ คิดจะเล่นละครอันใด?” หยวนเมิ่งยืนตัวตรงดุจกระบี่ นางสัมผัสได้ว่าเรื่องราวชักจะทำท่ามิสู้ดีแล้ว
“ใต้เท้าเจวี๋ยกล่าวไว้ไม่ผิด เจ้ามันเป็นคนทรยศชาติบ้านเมือง เห็นได้ชัดว่ามีใจคิดแค้น จ้องจะหาโอกาสสร้างเรื่องอยู่ตลอด”
หยวนเมิ่งตัดสินใจยืนเคียงข้างตู๋กูซิงหลันโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
ส่วนจีเฉวียนก็กุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ดวงตาหงส์คู่นั้นเอาแต่มองดูฉางซุนซิ่วด้วยสายตาเย็นชาอย่างที่สุด โดยที่มิได้พูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว
“ข้าย่อมไม่มีทางมาเพื่อถกเถียงอยู่กับพวกเจ้าเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ฉางซุนซิ่วเองก็ไม่ยอมเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกต่อไป
“ต้องขอบคุณที่ฟ้าดินมีตา ตู๋กูซิงหลันคนเดิมยังมิได้ตาย เพียงแต่จิตวิญญาณถูกสตรีผู้นี้ขับไล่ออกไปจากร่าง เพื่อยึดครองร่างกายของนาง ยังโชคดี ที่นางกับอี้อ๋องมีใจผูกพันกันอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีเสื่อมคลาย จิตวิญญาณดวงนั้นจึงถูกอี้อ๋องหล่อเลี้ยงเอาไว้ตลอดเวลา และวันนี้นางก็จะมาทวงคืนร่างกายของตน”
ฉางซุนซิ่วว่าแล้ว ก็ปรบมือขึ้นมา ไม่รู้ว่าจีเย่ว์มาจากที่ใด อยู่ๆเขาก็ปรากฏกายขึ้นมาตรงหน้าของฝูงชนทั้งหลาย
เขาเดินออกไปอย่างนุ่มนวล ก้าวออกไปยืนเคียงข้างฉางซุนซิ่วอย่างช้าๆ
เขาเองก็สวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง ใบหน้าซีดขาว รอบกายกำจายบรรยากาศที่หนาวเย็นจนผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ออกมา
พอได้เห็นเขา ผู้คนก็ต้องพากันสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
เป็นอี้อ๋องจริงๆ
ราชครูสามารถแม้กระทั่งหาตัวอี้อ๋องออกมา แสดงว่าเรื่องราวในวันนี้ เขาจะต้องเตรียมการมาอย่างดีแล้ว
เหล่าราษฎรทั้งหลายต่างก็พากันตกตะลึงไป พวกเขายืนอยู่ข้างเดียวกับตู๋กูซิงหลัน ให้ความเคารพนาง ทั้งยังยินดีจะปกป้องนาง
แต่ถ้าหากว่าร่างกายของฮ่องเต้หญิงถูกวิญญาณเร่รอนช่วงชิงไปจริงๆ พวกเขาก็ย่อมไม่ยืนดูอยู่เพียงเฉยๆอย่างแน่นนอน
นี่ไม่อาจโทษว่าพวกเขาได้ พวกเขาไม่รู้จริงๆว่า ฮ่องเต้หญิงที่ทุกคนพากันให้ความเคารพอยู่ในตอนนี้ ก็คือ ตู๋กูซิงหลัน ‘ที่ข้ามมิติ’ มา
หัวใจที่ร้อนระอุไปด้วยความต้องการที่จะปกป้องนี้ เกิดจากความปรารถนาดีจากใจจริงล้วนๆ
แต่พวกเขาก็มิได้เคลื่อนไหววู่วาม ขณะที่ยังมิได้ทำความเข้าใจกับความเป็นจริง ก็ไม่มีใครกล้ากระทำเรื่องไร้สมองออกไป มิฉะนั้นหากถูกคนหลอกใช้ก็คงไม่ได้การเสียแล้ว
ดังนั้นสายตาของผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันไปหยุดอยู่ที่บนร่างของจีเย่ว์
อี้อ๋องทรงหายสาปสูญไป เกือบจะสองปีได้แล้วกระมั้ง?
เขาในตอนนี้ ถอยห่างออกจากความหรูหรา คนกลายเป็นสงบนิ่งกว่าเก่ามากนัก
ในมือของจีเย่ว์ถือขลุ่ยยาวเลาหนึ่งเอาไว้ บนเส้นผมยาวสลวยมีปิ่นไม้ไห่ถางปักอยู่เพียงชิ้นเดียว ยามที่สายลมพัดมา เส้นผมก็พลิ้วออกไป
สีหน้าของเขามีแต่ความสงบนิ่ง เพียงเงยหน้าขึ้น มองออกไปที่บนกำแพงสูง ดูตู๋กูซิงหลันที่ก้าวเท้าออกมาข้างหนึ่งอย่างเงียบๆ
และในขณะเดียวกับ ซือหลินก็แฝงตัวอยู่ในท่ามกลางฝูงชนเช่นกัน
สถานการณ์มาถึงตอนนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่นางวางแผนเอาไว้ทั้งหมดแล้ว
บนบ่าของนางมีสัตว์ที่คล้ายจะเป็นค้างคาวปีกยาวสีน้ำตาลอยู่ตัวหนึ่ง
นี่เป็นอสูรชนิดหนึ่งในเผ่ามาร มันสามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายของเผ่ามารได้ดีที่สุด
“ค้นหาดูให้ละเอียด ว่าองค์หญิงเผ่ามารอยู่ในที่นี้หรือไม่” นางสั่งเสียงเย็นชาออกไป สายตาก็กวาดมองไปในฝูงชนอย่างทั่วๆเช่นกัน
ขณะที่มองไปบนกำแพงสูง สายตาของนางก็อดไม่ได้ที่จะถูกจีเฉวียนดึงดูดไปอยู่หลายส่วน
ถึงแม้ว่าบุรุษผู้นั้นจะซุกงำพลังวิญญาณในร่างเอาไว้จนหมดสิ้น แต่ก็ยังไม่อาจปิดบังความแข็งแกร่งที่ดูก็รู้ว่าล้ำลึกจนพิสดารของเขาเอาไว้ได้
มิน่าเล่าแม้แต่ตี้เสียแห่งสรวงสวรรค์ก็ยังโดนดาบของเขาเข้าไป จนสลบไสลถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจฟื้นขึ้นมา
ซือหลินขอบคุณตนเองที่มิได้ใช้วิธีแข็งกระทบแข็ง นางเป็นคนที่นิยมใช้สมองจัดการเรื่องราว หากว่าต้องเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นี้อย่างตรงไปตรงมา เกรงว่าจุดจบของนางก็คงจะเหลือไม่เท่าไหร่แล้ว
อสูรของเผ่ามารขยับปีก ใช้ดวงตากลมดำคู่นั้นกวาดมองออกไปรอบด้าน
…….
อีกด้านหนึ่ง
ความมั่นใจบนใบหน้าของฉางซุนซิ่วยิ่งทีก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมา
จีเย่ว์ผู้นี้สมกับเป็นเทพสนับสนุนของเขาจริงๆ ดูสิ ในเมื่อยังรักษาส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณเจ้าของร่างเดิมเอาไว้ได้ นี่ต้องนับว่าฟ้าดินเข้าข้างเขาแล้ว นี่มิเท่ากับว่าเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้เสียหายกับฆาตกรหรอกหรือ?
เรื่องนี้เท่ากับว่าถูกตอกตะปูลงไปแล้ว ต่อให้นังแพศยาตู๋กูซิงหลันนั่นมีอีกร้อยปาก ก็ไม่อาจแก้ต่างให้ตนเองหลุดพ้นได้
ต่อให้เป็นจีเฉวียน วันนี้ก็ได้แต่เบิกตาโตมองดูสตรีที่ตนเองรัก ตกที่นั่งกลายเป็นตัวหลอกลวง!
เขาทนรอดูก้าวต่อไปที่จะได้เห็นสีหน้าที่ทั้งตกตะลึงและเสียใจของจีเฉวียนไม่ไหวแล้ว
นี่คือผลลัพธ์ที่จีเฉวียนไม่ยอมเชื่อฟังเขา!
“อี้อ๋องพะยะค่ะ ยังทรงรออะไรอยู่ อีกเดี๋ยวทุกคนก็จะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของตัวปลอมผู้นี้แล้ว!”
ฉางซุนซิ่วเร่งเร้าจีเย่ว์
เขาทนรอไม่ไหวแม้แต่อีกชั่วครู่เดียว
ยามที่จีเย่ว์ปรากฏตัวออกมา หัวใจของคนตระกูลตู๋กูก็ต้องกระตุก
ในใต้หล้านี้ นอกจากพวกเขาแล้ว ก็มีแต่จีเย่ว์ที่รู้จักและเข้าใจหลันหลันที่สุดแล้ว
หากว่าแม้แต่เขายังร่วมด้วย……
มิว่าจะอย่างไร พวกเขาก็ยังเชื่อในตัวของน้องสาวตนเอง เพียงแต่ว่าตอนนี้ พวกเขากำลังกังวลว่า จีเย่ว์จะใช้ลูกเล่นอะไร
วันนี้เป็นวันมงคลของหลันหลัน พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวมันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปจนถึงขนาดนี้
พวกเขาทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันมีสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา นางเพียงแต่จ้องมองไปที่จีเฉวียนที่อยู่นอกเกี้ยว โดยมิได้เข้าใจเลยว่ากำลังเกิดเรื่องใด
จีเฉวียนกุมมือของนางเอาไว้โดยไม่ยอมปล่อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนว่า “อีกเดี๋ยว เจ้าก็จะหายดีดังเดิมแล้ว”
ว่าแล้ว ดวงตาหงส์ของเขาก็กวาดมองออกไป และหยุดอยู่ที่ร่างของจีเย่ว์
……………………