ตอนที่ 814 ดีและร้าย

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หลังจากวางสายหวาจินแล้ว เยี่ยเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงโทรศัพท์ออกไปอีกหนึ่งสาย

“เยี่ยเทียน ไอ้ตัวแสบ เป็นแกได้ไงเนี่ย? ? ”

เสียงสั่นเครือของซ่งเฮ่าเทียนดังขึ้นในสาย

“ท่านผู้เฒ่า เป็นผมเอง ยังไม่นอนอีกเหรอ? ”

เยี่ยเทียนหัวเราะไปพูดไป

“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ที่แอฟริกาใต้ แกคิดว่าฉันจะนอนหลับลงเหรอ? ”

ซ่งเฮ่าเทียนปวดหัวกับหลานชายคนนี้ที่สุดแล้ว เขาลุกขึ้นนั่งและส่งสัญญานให้หมอออกไปก่อนแล้วจึงพูดสายต่อว่า

“ทำไมแกไปถึงทีไหน ที่นั่นก็จะมีแต่เรื่อง? ฉันว่าแกหยุดสักวันสองวันแล้วกลับมาจีนเถอะ? ”

              ถึงแม้ว่าข่าวยังไม่ถูกประกาศออกไป แต่เหตุการณ์ที่แอฟริกาใต้ หน่วยข่าวกรองของแต่ละประเทศก็รับทราบแล้วตั้งแต่ที่รัฐบาลทำการส่งกำลังทหารออกไป ด้วยสิทธิพิเศษของซ่งเฮ่าเทียน เขาจึงรู้ทุกอย่างและแทบจะไม่ต้องยืนยันเลยว่าหลานชายสุดที่รักของตนมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อย่างแน่นอน

              “ท่านผู้เฒ่า อย่าใส่ร้ายผมสิครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคนของตระกูลซ่งนะ”

              เยี่ยเทียนรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีที่ได้ยินซ่งเฮ่าเทียนพูดแบบนี้ หลายครั้งที่ซ่งเสี่ยวหลงทำตนเกือบตาย แต่ก็ไม่เห็นว่าทางตระกูลซ่งจะลงโทษเขาเลย เขาคงไม่ปล่อยให้คอของตัวเองต้องถูกจี้ทุกครั้ง?

              “คนของตระกูลซ่ง?”

ซ่งเฮ่าเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง และตอบกลับทันทีว่า

“แกหมายถึงซ่งเสี่ยวหลงหรือ? เหตุการณ์ฆาตรกรรมหมู่ที่แอฟริกาใต้ เป็นฝีมือมันเหรอ? ”

              อ้างอิงจากรายงานที่ซ่งเฮ่าเทียนได้รับ เหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นที่โจฮันเนสเบิร์ก มีผู้เสียชีวิตสูงถึงสองร้อยกว่าคน และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ทหารที่ต่อต้านรัฐบาลของคองโกถูกตัดสินอย่างไม่เป็นทางการว่าเป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้

              แต่สิ่งที่ทำให้หน่วยข่าวกรองของแต่ละประเทศไม่เข้าใจคือทหารต่อต้านรัฐบาลคองโกไม่มีเหตุจูงใจต่อการก่อเหตุในสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ แต่ละหน่วยจึงทำการส่งคนไปสืบหาสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ต่อ

              หลังจากซ่งเฮ่าเทียนทราบเรื่อง เขาเคยคิดและคาดเดาไปต่าง ๆ นานา แต่คิดยังไงก็คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ครั้งนี้ ซ่งเสี่ยวหลงที่เป็นลูกหลานของตระกูลซ่งที่เก่งที่สุดในต่างประเทศจะเป็นคนก่อเหตุ ถึงแม้ซ่งเฮ่าเทียนจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แต่เขาก็ตกใจกับคำพูดของเยี่ยเทียนจนแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเอง

              เยี่ยเทียนไม่สนใจว่าซ่งเฮ่าเทียนกำลังคิดอะไรอยู่ พูดว่า

“ใช่ ท่านผู้เฒ่า เขาเชิญกองทหารมาทั้งหมดหกกลุ่มกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลคองโกอีก เพื่อที่จะมาฆ่าผม ถ้าไม่ใช่เพราะผมเป็นคนที่ยังโชคดี ผมคงตายอยู่ที่นี่แล้ว ! ”

              “เป็นคนที่โชคดีหรือ? ”

พอซ่งเฮ่าเทียนได้สติ เขาส่ายหน้าพูดว่า

“น่าจะเป็นเพราะแกฝีมือดีหรือเปล่า? พวกทหารต่อต้านรัฐบาลน่าจะถูกแกฆ่านะ ตาแก่อย่างฉันพูดไม่ผิดหรอกใช่มั้ย? เอาเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปจัดการซ่งเสี่ยวหลงเอง! ”

              “เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะ ซ่งเสี่ยวหลงวิ่งเร็วกว่ากระต่ายอีก ตอนนี้คงไม่อยู่ที่แอฟริกาใต้แล้ว…”

              ซ่งเฮ่าเทียนยังพูดไม่จบ เยี่ยเทียนก็พูดแทรกขึ้นมา และพูดอีกว่า

“ท่านผู้เฒ่า พาสปอร์ตของผมมาถึงหรือยัง ถ้ามาถึงแล้ว ผมจะขับรถไปเคปทาวน์และบินกลับฮ่องกงทันที”

ตอนนี้แอฟริกาใต้กลายเป็นจุดสนใจของทั่วโลก เยี่ยเทียนไม่ต้องการอยู่อีกต่อไป แล้วอีกอย่าง ครั้งนี้เขาออกมาข้างนอกนานพอสมควรแล้ว ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะแก้ตัวกับแม่และภรรยายังไง

ซ่งเฮ่าเทียนยิ้มอย่างขมขื่นพูดว่า

“พาสปอร์ตส่งไปถึงตั้งนานแล้ว เดี๋ยวฉันจะสั่งคนจองตั๋วเครื่องบินให้ แกก็รีบกลับมา”

เดิมทีซ่งเฮ่าเทียนอยากให้เยี่ยเทียนอยู่ต่ออีกช่วงหนึ่ง รอให้เรื่องที่รัสเซียเงียบก่อนค่อยกลับประเทศจีน แต่ดูจากเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นทุกวันโดยฝีมือของเยี่ยเทียน ซ่งเฮ่าเทียนก็เริ่มจะรับไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

“เรื่องตั๋วเครื่องบินไม่เป็นไร ผมจองเครื่องบินส่วนตัวไว้แล้ว ตามนี้ไปก่อนนะครับ ! ”

เยี่ยเทียนได้ยินเสียงของเครื่องยนต์ดังขึ้นในระยะไม่ไกลมากนัก เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงได้วางสาย เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นรถสปอร์ตเปิดประทุนสี่ประตูสีแดงขับมาจอดที่หน้าล็อบบี้ของโรงแรม

“ขับรถคันนี้กลับเคปทาวน์เหรอ? ”

เยี่ยเทียนมองรถเปิดประทุนด้วยความลังเล รถดีอยู่แล้ว แต่ระยะทางถึงเคปทาวน์ห่างจากโจฮันเนสเบิร์กหนึ่งพันกิโลเมตรเต็มๆ ถ้าขับไปแบบนี้ หน้าคงโดนลมเป่าจนแห้งหมด

เหลยหู่ที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับเห็นความกังวลของเยี่ยเทียน จึงพูดไปว่า

“ท่านเยี่ย ประทุนมันปิดได้ครับ ท่านสบายใจได้ ขับไปเคปทาวน์ประมาณหกเจ็ดชั่วโมงก็ถึงแล้ว ! ”

เหลยหู่เห็นแล้วว่าเยี่ยเทียนไม่ได้อยากฆ่าเขาแล้ว หลังจากผ่านพ้นเรื่องครั้งนี้ไป ตัวเหลยหู่เองก็รู้แล้วว่าตนนั้นแตกต่างจากเยี่ยเทียนแค่ไหน ถ้าจะแก้แค้นก็คงต้องตายก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ

เมื่อเห็นฝาประทุนเริ่มชูขึ้น เยี่ยเทียนหันไปพูดกับหญิงสาวที่กำลังเปิดหนังสือคำอธิบายหกสิบสี่กว้าว่า “เจียงซาน ขึ้นรถ ! ”

ด้วยความสามารถในวิชาของเยี่ยเทียน ถึงแม้เหลยหู่ไม่อยากมีชีวิตต่อ แล้วขับรถคันนี้พุ่งลงหุบเหวลึกเพื่อฆ่าตัวตาย เยี่ยเทียนก็มั่นใจว่าจะไม่เป็นอะไร ฉะนั้นเขาจึงนั่งตำแหน่งข้างคนขับอย่างมั่นใจ และไม่กลัวว่าเหลยหู่จะทำอะไร

ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะมั่นใจในความสามารถของตนมาก แต่ก็เหมือนจะประเมินการขับรถด้วยความเร็วสูงของเหลยหูต่ำเกินไป

ระยะทางหนึ่งพันกิโลเมตร เหลยหู่ใช้เวลาเดินทางเพียงหกชั่วโมงกว่า ขับด้วยความเร็ว 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอนลงจากรถ แม้แต่เยี่ยเทียนเองยังเดินเซ เหมือนพื้นดินกำลังสั่น

ไม่ต้องพูดถึงเจียงซานเลย ตลอดทางมานี้เธออาเจียรไปแล้วสามรอบ ตอนนี้หน้าซีดขาวไปทั้งหน้า พอเห็นหน้าเหลยหู่เธอรู้สึกเหมือนเห็นผี ทันทีที่ลงจากรถเธอจึงรีบวิ่งออกไป เพราะกลัวว่าจะได้กลับไปนั่งรถอีก

เหลยหู่อดขำไม่ได้เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยเทียนและเจียงซาน พูดด้วยความเกรงใจว่า

“ตอนผมเป็นหนุ่มผมเคยเข้าร่วมการแข่งขันกับทีมซีน่ามาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะต้องไปดูแลสมาคมหงเหมิน ผมอาจจะไปเป็นนักแข่งรถแล้วก็ได้ ! ”

“อืม อาชีพนั้นน่าจะดีกว่าอยู่สมาคมหงเหมินนะ”

เยี่ยเทียนส่ายหัวและไม่ได้พูดต่อ เดินเข้าไปในโรงแรมก่อนใคร เขาหันไปที่โซนล็อบบี้ด้านขวา

“คุณจ้าว ในที่สุดคุณก็กลับมา ผมแซ่เฉียวไง ! ” มีคนๆหนึ่งยืนขึ้นและเดินเข้ามาหาเยี่ยเทียน เขาคนนั้นก็คือเฉียวเฟิงหลิน คนที่ไปรับเยี่ยเทียนที่สนามบินตอนมาถึงแอฟริกาใต้ แต่การต้อนรับในครั้งนี้อบอุ่นกว่าครั้งก่อนมาก

ก็ไม่แปลก เพราะว่าแปดชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาได้รับคำสั่งทางโทรศัพท์จากผู้นำคนสำคัญท่านหนึ่งของประเทศว่าเยี่ยเทียนจะต้องออกจากแอฟริกาใต้ไปอย่างปลอดภัย ถ้าคุ้มกันไม่ไหว สามารถขอความช่วยเหลือจากสถานทูตได้

การได้ทำงานรวบรวมข้อมูลและบริการต้อนรับในต่างถิ่น เฉียวเฟิงหลินจะต้องลื่นไหลไปตามเนื้อผ้าอยู่แล้ว เขาเข้าใจคำสั่งของเจ้านายโดยไม่จำเป็นต้องชี้นำเพิ่มเติม หลังจากรับคำสั่งเสร็จเขาก็หยิบเอกสารที่เกี่ยวข้องและมารอเยี่ยเทียนที่โรงแรมทันที เขารอเยี่ยเทียนแปดชั่วโมงเต็มกับกาแฟที่ดื่มไปเกือบสามกา

              “ท่านประธานเฉียว นี่คุณ? ” เยี่ยเทียนจับมือทักทายเฉียวเฟิงหลิน ความอบอุ่นของเขาทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่ เขาไม่ใช่คนหลายบุคลิก จึงไม่เข้าใจความชำนาญการเปลี่ยนหน้าของคนประเภทนี้

              “คุณจ้าว นี่เป็นของที่คุณลืมไว้กับผมครับ…”

              เฉียวเฟิงหลินวางมือลง ยื่นกระเป๋าเอกสารในมือให้กับเยี่ยเทียน และพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “คุณจ้าวต้องการให้ผมทำอะไรก็บอกได้เลยนะครับ ครึ่งหนึ่งของแอฟริกาใต้ก็เป็นถิ่นของผมเหมือนกันครับ”

              การที่เฉียวเฟิงหลินทำแบบนี้ ก็เพื่อสานสัมพันธ์อันดีงามกับเยี่ยเทียน ถ้าเป็นไปตามกำหนดการท่องเที่ยวของเยี่ยเทียน เขาต้องคอยติดตามไปด้วย แต่ถ้าพูดในอีกแง่หนึ่ง มันเป็นความบกพร่องในหน้าที่ เท่ากับว่าไม่ให้เกียรติเยี่ยเทียน

              “ครับ เกรงใจจังเลยครับท่านประธานเฉียว”

              เยี่ยเทียนยื่นมือรับกระเป๋าและหยิบพาสปอร์ตที่ใส่ไว้ในซองเอกสารลับออกมา หลังจากตรวจเช็คหนังสือเดินทางที่มีตราประทับขาเข้าด้วย เยี่ยเทียนหันไปหาเหลยหู่กับเจียงซานและพูดกับสองคนนั้นว่า “คุณสองคนมีพาสปอร์ตติดตัวไว้หรือเปล่า? ”

“มี! ” เจียงซานกับเหลยหู่ตอบพร้อมกัน

“ขอบคุณมากครับท่านประธานเฉียว”

เยี่ยเทียนแสดงความขอบคุณกับเฉียวเฟิงหลินพูดต่อว่า

“เอาล่ะ เหลยหู่ เจียงซาน พวกเราไปขึ้นเครื่องกัน”

ระหว่างทาง เยี่ยเทียนได้โทรหาถังเหวินหย่วนเรียบร้อยแล้ว และรู้ว่าเครื่องบินได้จอดรออยู่ที่สนามบินเคปทาวน์ตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว แค่เยี่ยเทียนไปถึงที่นั่น เครื่องบินก็พร้อมให้บริการทุกเมื่อ

ทั้งเหลยหู่และเจียงซานไม่กล้าขัดคำสั่งของเยี่ยเทียนอยู่แล้ว ทั้งสองคนจึงพากันออกจากโรงแรมอย่างเชื่อฟัง คนที่จะขับรถไปสนามบินเคปทาวน์ก็ยังคงเป็นเหลยหู่เหมือนเดิม ส่วนเฉียวเฟิงหลินทำได้เพียงยืนมองรถแล่นผ่านตัวเองไป

โดยปกติการบินขึ้นและลงจอดของเครื่องบินส่วนตัว จะมีกระบวนการทำงานที่ครบขั้นตอนในตัวอยู่แล้ว หลังจากที่รถแล่นมาถึงสนามบิน เยี่ยเทียนทำการติดต่อพนักงานของเครื่องบินส่วนตัวลำที่ถังเหวินหย่วนยืมมา

เวลาผ่านไปสิบกว่านาที กัปตันที่พูดภาษาจีนฮ่องกงคนหนึ่งก็นำทางเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ เข้าไปในสนามบินผ่านประตูอีกฝั่งหนึ่ง

เครื่องบินส่วนตัวที่ถังเหวินหย่วนยืมมาให้ มีขนาดใหญ่กว่าของเขาเองหลายเท่า สามารถบรรจุคนได้ถึง 18 ที่นั่ง เก้าอี้ทุกตัวเป็นเบาะแบบแคปซูลอวกาศที่ผลิตจากหนังแท้ เบาะนั่งแบบนี้เป็นเบาะที่มีการพัฒนาใหม่ล่าสุด เมื่อนั่งลงไป และใส่หูฟัง ระบบการนวดแผ่นหลังจะเริ่มทำงาน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายทันที

“หืม? แล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ”

เยี่ยเทียนมองของตกแต่งในเครื่องบินลำนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกใจสั่น ราวกับจะมีอันตรายเกิดขึ้น

“แปลก? ช่างเถอะ เป็นความโชคดีไม่ใช่ความโชคร้าย ถ้าเป็นความโชคร้ายก็หนีไม่พ้น ตัวอยู่บนฟ้าแบบนี้ เวลาเจอเรื่องร้ายก็ใช่ว่าจะหนีออกไปได้ ! ”

สิ่งที่เยี่ยเทียนสัมผัสได้ในครั้งนี้มีทั้งดีและไม่ดี แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ด้วยเหตุผลนี้เยี่ยเทียนจึงกล้าขึ้นไปบนเครื่องบิน ความสามารถในการลอยตัวกลางอากาศของเยี่ยเทียน อย่างมากก็สูงกว่าพื้นดินสี่ห้าร้อยเมตร แต่ความสูงที่เครื่องบินบินขึ้นไปนั้นสูงมาก เยี่ยเทียนคิดว่าเมื่อมีอันตรายเกิดขึ้น เขาน่าจะลดความเสี่ยงตรงนั้นลงได้

………………………