สีหน้าของเซียวหมิงดูมืดครึ้มอย่างมาก หลังจากที่เขากระแอมไอเบาๆ เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่ในตอนนั้นเอง อักขระสีเงินที่อยู่ด้านหน้าก็เสียงดังขึ้น หลังจากนั้นไม่นานมันก็รวมตัวกันอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าอักษรสีเงินจางๆ จะกลายเป็นเขตอาคม

หลังจากที่เขตอาคมตัวอักษรเหล่านั้นส่องแสงสว่างทั้งหมด ใจกลางของมันก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น พร้อมมีถ้ำขนาดใหญ่ปรากฏออกมา

ด้านในนั้นมีเงาของชายหนึ่งหญิงหนึ่งบินออกมา

“หือ ที่แท้ก็เป็นสหายทั้งสามนี่เอง บังเอิญจริงๆ เลยนะ” หลังจากชายหนุ่มคนนั้นกวาดตามองคนทั้งสามคน เขาก็ชะงักไป จากนั้นมีเผยรอยยิ้มกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มขึ้นมาทันที

ผู้หญิงที่อยู่ด้านข้าง มองเซียวหมิงและสหายทั้งสามคนด้วยความประหลาดใจ แต่ก็แสดงสีหน้าที่ระมัดระวังยิ่งขึ้น

แน่นอนว่าคนทั้งสองคนที่เพิ่งออกมาคือหานลี่และแม่นางปิงพั่ว

เมื่อเซียวหมิงและสหายเห็นดังนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที พร้อมหันมามองหน้ากัน

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เป็นการคาดการณ์ที่แย่ที่สุดที่พวกเขาเคยคาดการณ์เอาไว้

“พี่หาน พี่ได้เสื้อคลุมของอรหันต์เทียนติ่งมาแล้วหรือ?” เซียวหมิงถามขึ้นด้วยสีหน้าดำมืด

“เปล่า แต่อยู่ที่เพื่อร่วมทางของข้าเอง ทำไมหรือ? สหายทั้งสามมีอะไรหรือไม่?” หานลี่ส่งยิ้มน้อยๆ พร้อมอธิบายให้อีกหนึ่งประโยค

แม้ว่าเขาจะปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน เช่นนั้นก็ยอมรับไปตามตรงเลยดีกว่า

“อะไรนะ? แม่นางท่านนี้หรือ? เฮ้อ น่าแปลกจริงๆ…”

เมื่อทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่ปิงพั่วทันที

เซียวหมิงขมวดคิ้วทันที ใบหน้าแสดงออกถึงความประหลาดใจอย่างที่สุด

เห็นได้ชัดว่าจิตวิญญาณของนางกับเซวี่ยพั่วคือคนเดียวกัน แต่ระดับของทั้งคู่กลับต่างกันอย่างชัดเจน

นักพรตชิงผิงและฮูหยินวั่นฮวาเองก็ค้นพบถึงเรื่องนี้ แววตาจึงเต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับเรื่องที่นางได้เสื้อคลุมของอรหันต์เทียนติ่งไป เห็นได้ชัดว่าความสงสัยนี้ไม่มีค่าอะไรเลย

เซียวหมิงถอนหายใจมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างจนใจว่า

“เช่นนั้นก็ลำบากแล้ว ข้ากับสหายทั้งสองมาที่อันตรายแห่งนี้ก็เพื่อมรดกสืบทอดของเทียนติ่ง แต่ว่าของชิ้นนั้นแม่นางผู้นี้กลับได้ไปแล้ว และเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่หาน พวกเราทั้งสามก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปแย่งชิง เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเราทั้งสามขอทำข้อตกลงกับแม่นางท่านนี้ได้หรือไม่? ผู้น้อยแซ่เซียวจะไม่นึกถึงมรดกของอรหันต์เทียนติ่งอีกต่อไป แต่ข้าขอให้คัดลอกวิชาลึกลับและวิธีผ่านเคราะห์สวรรค์ได้หรือไม่? แน่นอนว่าข้าไม่ขอคัดลอกโดยเปล่าประโยชน์ ข้าจะต้องจ่ายให้แม่นางอย่างงามแน่นอน”

“ไม่เลวเลยทีเดียว แม่นางปิงพั่ว เจ้าคิดว่าอย่างไร?” หานลี่ไม่ออกความเห็น แต่กลับหันไปถามผู้หญิงที่อยู่ด้านข้าง

“ข้าได้รับวิชาหลายวิชาจากท่านอาวุโสเทียนติ่งมาจริงๆ แต่วิชาลึกลับบางชนิดได้ฝังอยู่ในจิตวิญญาณในช่วงก่อนที่ข้าจะมาอยู่ระดับมหาเมธีแล้ว อีกทั้งยังรวมถึงคำสาบานเลือด ข้าจึงไม่สามารถถ่ายทอดให้พวกท่านทั้งสามได้ ไม่เช่นนั้นจิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดของข้าจะสลายไป ส่วนวิธีป้องกันเคราะห์สวรรค์ ยิ่งไม่มี แต่เดิมทีท่านอาวุโสเทียนติ่งได้บันทึกไว้ว่าก่อนที่เขาจะสามารถผ่านด่านเคราะห์จากทัณฑ์สวรรค์ได้นั้น เพราะเขาได้กินผลต้านอัสนีจากแดนเซียนที่สามารถทำให้ต้านทานทัณฑ์สวรรค์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านั้น” ปิงพั่วหัวเราะอย่างขื่นขม เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วหานลี่และคนอื่นๆ ก็รู้สึกตกใจอย่างมาก

“ผลต้านอัสนี! นั่นมันผลไม้ในตำนานของแดนเซียนไม่ใช่หรือ หากเขาได้กินผลไม้นี้จริงๆ ก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงสามารถต้านทานทัณฑ์อัสนีได้อย่างง่ายดาย แต่ผู้น้อยแซ่เซียวจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่สหายพูดเป็นความจริงหรือไม่?”

“ท่านอยากจะให้ข้าพิสูจน์อย่างไร?” แม่นางฟิงพั่วถามนักพรตพวกนั้นกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ข้าน้อยมีวิชาลึกลับอยู่หนึ่งวิชา สามารถตรวจสอบจิตวิญญาณของผู้อื่นได้โดยไม่สร้างความเสียหายให้ ตราบใดที่สหายเปิดจิตใต้สำนึกให้ข้า…”

“ฝันไปเถอะ ใครเขาจะให้ผู้อื่นเข้ามาในทะเลแห่งจิตของตนเอง ทำเช่นนั้นมันต่างอะไรกับมอบชีวิตของข้าให้เจ้า” สีหน้าของปิงพั่วเปลี่ยนไป และปฏิเสธอีกฝ่ายทันที

นางไม่มีมอบชีวิตให้คนอื่นด้วยวิธีนี้แน่นอน นางย่อมปฏิเสธอยู่แล้ว

“สหายหาน ท่านมีความคิดเห็นว่าอย่างไร แม้ว่าสหายจะมีวิชาที่น่าทึ่ง แต่พวกเราก็ไม่สามารถกลับไปมือเปล่า” เมื่อนักพรตชิงผิงได้ยินเช่นนั้น เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมหันไปถามหานลี่ด้วยน้ำเสียงมืดครึ้ม

“ในเมื่อเพื่อนร่วมทางของข้าไม่ยินยอมที่จะทำเช่นนั้น เรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ หากสหายชิงผิงรู้สึกว่าตนเองยังไม่ได้รับสมบัติอะไร ก็ลองเข้าไปสำรวจด้านในด้วยตนเองเถอะ ไม่แน่ว่าท่านอาจจะได้สมบัติชิ้นอื่น พวกเราทั้งสองขอตัวก่อนล่ะ” แววตาของหานลี่สว่างวาบ เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“อะไรนะ นี่เจ้าไม่ยอมทำข้อตกลงกับเรา แล้วยังจะ…”

“สหายจะทำข้อตกลงอะไร”

ฮูหยินวั่นฮวาพูดขึ้นด้วยความโมโห ใบหน้าของหานลี่ดำมืดทันที เขาเดินจากมา

วินาทีนั้นเอง ปราณที่ทำให้มหาเมธีระดับทั่วไปสั่นกลัวก็พวยพุ่งออกมา พร้อมใช้พลังกดอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ

“ตึกๆ” นักพรตชิงผิงและฮูหยินวั่นฮวาถูกพลังเหล่านั้นกดเอาไว้ทันที เขาไม่มีทางป้องกันตนเองได้ จึงเดินถอยหลังไปสองสามก้าว

มีเพียงแค่เซียวหมิงที่อยู่ตรงกลาง ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่…หน้ากากของเขามีแสงสีเลือดปรากฏออกมา

เมื่อหานลี่เห็นดังนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อย เขาไม่พูดออกอะไร แล้วเดินออกไปอีกก้าว ในขณะเดียวกันปราณของเขาก็พวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง

ตอนนั้นเอง เซียวรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายในบรรพกาล หลังจากร้องเหอะขึ้นมาหนึ่งคำ เขาก็ก้าวถอยหลังลงมาหนึ่งก้าวอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ยอดฝีมือ ก่อนหน้านี้ที่พี่หานสู้กับฮูหยินวั่นฮวา เจ้ายังไม่ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาเลยจริงๆ ด้วย แต่ด้วยปราณที่ลึกล้ำเช่นนี้ เกรงว่าระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะอยู่ระดับบรรพกาลสินะ” ด้วยนิสัยของเซียวหมิง แววตาของเขายังมีความหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หานลี่หัวเราะหึๆ เขาเก็บปราณที่น่าสะพรึงกลัวให้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว และหันกลับไปมองคนทั้งสามโดยไม่พูดอะไร

ทางด้านฮูหยินวั่นฮวาและนักพรตชิงผิงใบหน้าของเขามีทั้งตกใจและโกรธ สีหน้ามีทั้งขาวและเขียวสลับกัน เห็นได้ชัดว่าเขาพวกเขาตัดใจจากเสื้อคลุมของอรหันต์เทียนติ่งไม่ได้ แต่หากจะต้องสู้กับคนที่แข็งแกร่งอย่างหานลี่ พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก

“ไปกันเถอะ”

เซียวหมิงมองหานลี่ด้วยแววตาล้ำลึก

“อะไรนะ พี่หาน นี่พวกเราจะไม่ได้เคล็ดวิชาของอรหันต์เทียนติ่งจริงๆ หรือ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนักพรตชิงผิงก็เปลี่ยนไปทันที

“พวกเราสามคนร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสหายหาน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำให้ตนเองอับอายขายสีหน้าทำไม นอกเสียจากสหายชิงผิงจะมีวิธีการอื่นที่สามารถต้านทานพลังความโกรธของพี่หานได้ด้วยตนเอง” เซียวหมิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“คือว่า…แน่นอนว่าไม่มี” นักพรตชิงผิงหัวเราะอย่างขมขื่น พร้อมส่ายหน้ารัวๆ

“หึๆ หากนับพวกเราสองสามีภรรยาเข้าไปด้วยล่ะเป็นอย่างไร?” ในตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ

จากนั้นก็เห็นสายรุ้งสองสายพุ่งตรงมาทางนี้ ความเร็วสูงมาก หลังจากส่องแสงไม่กี่ครั้ง พวกเขาก็มาหยุดที่ความว่างเปล่าด้านหน้าแล้ว

ทันทีที่แสงหายไป กลางอากาศก็มีชายหญิงคู่หนึ่งปรากฏขึ้น

ผู้ชายท่าทางแข็งทื่อเหมือนต้นไม้ ผู้หญิงดูยั่วยวนเหมือนดอกไม้ พวกเขาคือบรรพชนอู๋โก้วและหวาซีเซียนจื่อ

มหาเมธีทั้งสองท่านนี้ปรากฏตรงอยู่ตรงหน้าของปิงพั่ว ในใจแอบร่ำร้องทุกข์มิรู้วาย

หานลี่กวาดตามองบรรพชนอู๋โก้วและหวาซีเซียนจื่อ แต่สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด

“พวกท่านทั้งสองทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” นักพรตชิงผิงตกใจอย่างมาก

“เรื่องนี้มันค่อนข้างพูดยาก” จู่ๆ หวาซีเซียนจื่อก็หัวเราะออกมา แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้น

ม่านตาดำของเซียวหมิงก็หดตัวลงกะทันหัน พร้อมพูดออกมายิ่งทำให้เพื่อนร่วมทางทั้งสองชะงักไป

“วั่นฮวา สหายชิงผิง ลองคิดดูดีๆ เราโดนคนอื่นใช้เราเป็นหมากหรือไม่”

“ใช้เป็นหมาก ไม่น่าเป็นไปได้ล่ะมั้ง เรื่องแบบนี้ ทำไมถึงหลบพ้นจากหูตาของพวกเราได้ล่ะ?”

ฮูหยินวั่นฮวาพูดไม่ออกทันที แต่นางก็รู้ว่าสิ่งที่เซียวหมิงพูดนั้นไม่ใช่เรื่องไร้สาระ นางใช้จิตสัมผัสอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มสำรวจภายในสู่ภายนอก

สีหน้าของนักพรตชิงผิงที่อยู่ด้านข้างก็มืดดำขึ้นทันที เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาร่ายคาถา พร้อมตรวจสอบเสื้อคลุมและเครื่องประดับ

หลังจากนั้นไม่นาน ฮูหยินวั่นฮวาก็กรีดร้องขึ้นเสียงดัง จู่ๆ ก็มีแมลงสีใสๆ ตัวบางๆ ไต่ออกมาจากผมของนาง ตัวสั้นแค่ครึ่งชุน เรียวบางเหมือนเส้นผม

“กู่ไร้เงา มิน่าล่ะข้าจึงจับอะไรไม่ได้เลย พวกเจ้าสองสามีภรรยามาวางกู่ใส่ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” หญิงชราทุบหนอนเป็นชิ้นๆ ด้วยความโมโห ความโกรธพวยพุ่งขึ้นอย่างมาก

“แน่นอนว่าต้องก่อนที่จะเข้ามาในพระราชวังเทียนติ่งอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะสะกดรอยมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ถ้าจะโทษก็โทษพวกเจ้านั่นแหละที่ทำความลับรั่วไหลออกมา” หวาซีเซียนจื่อยิ้มตาหยี ราวกับนางไม่ได้สนใจความโกรธแค้นของฮูหยินวั่นฮวาเลย

“ดูเหมือนว่ากลับไปครานี้ ข้าจะต้องทำความสะอาดสำนักเสียหน่อย แต่ว่าพวกท่านสะกดรอยมาถึงขนาดนี้แล้ว สำหรับข้าแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายทีเดียว พี่หาน ตอนนี้พวกเรามีตัวช่วยที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นสองคนแล้ว พวกท่านเปลี่ยนใจแล้วหรือยัง” นักพรตชิงผิงสงบสติได้อย่างรวดเร็ว และหันไปถามหานลี่โดยตรง

“ข้าไม่พูดคำเดิมสองรอบหรอกนะ พวกท่านจะจากไปตอนนี้ หรือว่าจะสู้กับข้า” หานลี่ตอบเสียงเรียบ ราวกับว่าไม่ได้เห็นมหาเมธีทั้งห้าอยู่ในสายตาเลย

ในเมื่อเขาตอบเช่นนั้น ไม่เพียงแต่นักพรตชิงผิง ฮูหยินวั่นฮวาเท่านั้นที่โมโห จู่ๆ สีหน้าของหวาซีเซียนจื่อก็มือครึ้มลงทันที

“พี่เซียว ตอนนี้พี่จะเอาอย่างไร?” นักพรตชิงผิงกดความคุกรุ่นในใจลง แล้วหันไปหาเซียวหมิง

แววตาของเซียวหมิงยังคงนิ่งสงบ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังครุ่นคิดอยู่ หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็พูดหานลี่อย่างช้าๆ ว่า

“หากพี่หานยืนกรานจะทำเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้น้อยแซ่เซียวลำบากใจอย่างมาก แม้ว่าข้าจะเชื่อว่าสหายมีฝีมือเหนือจินตนาการ แต่ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่สามารถปล่อยแม่นางผู้นี้ออกไปได้ ข้าขอถามพี่หานอีกสักรอบ ท่านสามารถพิจารณาเรื่องนี้อีกรอบได้หรือไม่?”

“หึๆ หากสหายปิงพั่วสามารถคัดลอกเคล็ดวิชาพวกนั้นได้ ข้าเองก็ขี้เกียจต่อสู้ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยแซ่หานต้องขอแสดงพลังของตนเองก่อนค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน” หลังจากหานลี่หัวเราะหึๆ เขาก็พูดขึ้น