หลินตงนั้นตั้งใจฟังอย่างมากและไม่ได้สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านหลัง
พอได้ลองหันหน้ากลับไปมองด้านหลังเขาก็ได้แต่ต้องตกตะลึง
เพราะที่ด้านหลังของเขานั้นผู้คนมากมายในตอนแรกได้จางหายไปจนสิ้นไม่เหลือแม้แต่เงา
“ปรมาจารย์เย่สุดยอดจริงๆ! ข้าได้ยินว่าระหว่างที่ท่านบรรยายไปมีคนถึงขั้นบรรลุลงตรงนั้นเลย”
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าที่การบรรยายของปรมาจารย์เย่นั้นเรื่องราวใดๆ ที่ดูยุ่งยากลึกลับมันกลับถูกบรรยายให้ฟังง่ายจับต้องได้”
“เฮ้อ! ข้านี้มันตาถั่วเสียจริงๆ ทำไมถึงไม่คิดไปฟังการบรรยายของปรมาจารย์เย่ตั้งแต่แรกกัน!”
“ตอนนี้คนมากมายกำลังมุ่งหน้าไปทางนั้นกันแล้ว! เราเองก็รีบไปกันเถอะ”
“เช่นนั้นจะรออะไรอยู่อีกเล่า? ไปกันเลย!”
คนทั้งหลายนั้นกำลังพูดคุยและเตรียมตัวมุ่งหน้าออกเดินทาง
เมื่อหลินตงได้ยินคำพูดของคนทั้งหลายนั้นเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งใจสงสัยว่าปรมาจารย์เย่ที่ว่านี้จะเป็นคนเดียวกับปรมาจารย์เย่ที่ซ่งซือชุนเอามาโม้ให้เขาฟังหรือไม่
เมื่อได้เห็นคนทั้งหลายมุ่งหน้าจากไปหลินตงจึงได้ยกมือขึ้นมาจับคนผู้หนึ่งพร้อมถามเขาขึ้น “สหาย ใครกันคือปรมาจารย์เย่ที่เจ้าพูดถึงนี้?”
คนทั้งหลายที่ได้ยินจึงหันหน้ากลับมามองหลินตงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “เจ้าไม่รู้จักชื่อของปรมาจารย์เย่หรือ?”
หลินตงนั้นได้แต่ยิ้มแห้งๆ ออกมา “สหาย ช่วยบอกด้วย”
คนผู้หนึ่งในกลุ่มนั้นจึงได้ตอบอออกมา “ปรมาจารย์เย่นั้นคือปรมาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแดนใต้ เป็นอาณาจักรบรรพกาลครึ่งก้าวที่เยาว์วัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ในงานชุมนุมโอสถนี้เขาได้แสดงความเก่งกาจเหนือล้ำกว่าเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายเกือบทุกผู้คนจนพวกเขาไม่อาจขัดขืนใดๆ ได้! เจ้ากลับไม่เคยจะได้ยินนามนี้มาก่อนเลยหรือ? ไม่คุยกับเจ้าแล้ว เสียเวลา ข้าติดอยู่ที่อาณาจักรต้นขั้นต้นมานานหลายปี บางทีการไปฟังท่านปรมาจารย์เย่สอนบรรยายนี้มันจะทำให้ข้าได้บรรลุกับเขาบ้าง”
พูดจบชายผู้นั้นก็หันหน้ากลับพุ่งตัวจากไปทิ้งหลินตงให้นั่งมึนงงอยู่คนเดียว
ซ่งซือชุนกลับไม่ได้โม้!
แต่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ซ่งซือชุนนั้นบอกว่าปรมาจารย์เย่ผู้นี้มีอายุราวพันห้าร้อยปี แต่เขากลับก้าวขึ้นไปอาณาจักรบรรพกาลครึ่งก้าวและเหนือล้ำกดหัวเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายลงได้?
นี่มัน… นี่มันไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็เป็นเรื่องราวที่เรียกได้ว่าเป็นตำนาน!
หากมันเป็นเพียงเท่านั้นเขาก็คงยังไม่คิดจะไปใส่ใจเย่หยวนผู้นี้ใดๆ ไม่ว่าเย่หยวนจะเก่งกาจสามารถปานใดก็ตาม
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าการบรรยายของเย่หยวนนั้นช่วยสั่งสอนผู้คนมากมายให้บรรลุกันได้ง่ายๆ เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อจนเกินบรรยาย!
หลินตงนั้นย่อมรู้สึกหวั่นๆ อยู่ในใจก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังทางที่เย่หยวนกำลังทำการบรรยายอยู่ทันที
ระหว่างทางหลินตงก็ได้พบว่ามีคนมากมายกำลังค่อยๆ หลั่งไหลเดินทางไปในทิศเดียวกันกับเขา
“นี่มัน… จะบ้าบอเกินไปแล้ว! ชายหนุ่มอายุแค่พันกว่าปีก็สามารถมีความรู้ความสามารถปานนั้นได้หรือ?” หลินตงนั้นยังได้แต่สงสัยอยู่ในใจ
…
จัตุรัสพึงสวรรค์นั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา
ตัวจัตุรัสนั้นเป็นสถานที่คับแคบรองรับคนได้แค่ไม่กี่หมื่นเท่านั้น
หลินตงนั้นไม่อาจจะก้าวขึ้นไปด้านหน้าได้อีกเมื่อเดินมาถึงที่ เพราะตอนนี้เบื้องหน้าของเขามันอัดแน่นไปด้วยผู้คนจนล้นเปี่ยม
ทั้งบนหลังคา บนศาลาที่นั่งมันมีผู้คนอัดแน่นอยู่เต็มหมด
แม้ว่าจำนวนคนมันจากมีมากราวรังมด แต่เสียงภายในจัตุรัสนี้มันกลับเงียบงันจนหากใครทำเหรียญตกก็คงพอได้ยินได้
ตอนนี้เสียงเดียวที่ยังคงดังมาอยู่อย่างต่อเนื่องนั้นมันคือเสียงของชายหนุ่มที่ดังก้องไปทั่วทั้งจัตุรัส
แค่ได้ยินเขาผู้นี้พูดไม่กี่ประโยค หลินตงก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งกายราวกับได้เกิดใหม่ ทุกรูขุมขนบนร่างตั้งชัน
“นี่มัน… นี่มัน… ไม่มีทางน่า! ข้าต้องรีบไปหาที่แล้ว!”
หลินตงนั้นหันมองไปรอบกายพยายามจะหาที่อยู่แต่ก็พบว่ารอบตัวเขามันมีแต่ผู้คนเบียดเสียด
เมื่อไม่เห็นที่ว่างบนพื้นเขาก็ได้ลอยตัวขึ้นไปดูบนหลังคาที่ห่างออกไป
“อ่าว หลินตง?” จู่ๆ ก็มีเสียงกระซิบลอยเข้าหูของเขามา
หลินตงจึงหันหน้ากลับไปมองและต้องร้องขึ้นเบาๆ “ซ่งซือชุน? เจ้า… เหตุใดเจ้าถึงได้มาอยู่ด้านนอกเช่นนี้เล่า?”
คนผู้นี้จะเป็นใครไปได้นอกจากซ่งซือชุน?
เพียงแค่ว่าซ่งซือชุนนั้นมาตั้งแต่วันแรกเลยมิใช่หรือ? เหตุใดถึงได้ออกมานั่งอยู่ในที่ห่างไกลเช่นนี้ได้?
ซ่งซือชุนได้แต่ยิ้มแห้งๆ ออกมา “ที่ด้านหน้าในส่วนจัตุรัสนั้นถูกคนจากค่ายสำนักใหญ่แย่งชิงไปหมดสิ้นแล้ว ข้านั้นเดิมทีอยู่ใกล้ปรมาจารย์เย่หยวนมาก แต่วันนี้กลับถูกขับไล่ออกมาด้านหลังไกลลิบเช่นนี้”
พูดจบซ่งซือชุนก็เปลี่ยนไปยิ้มขึ้นมาแทน “แล้วเจ้าเองเถอะ ไหนว่าไม่เชื่อข้า บอกว่าข้าโม้มิใช่หรือ? ในเมื่อไม่คิดสนใจปรมาจารย์เย่แล้วจะมาทำไมอีกเล่า?”
หลินตงจึงได้แต่ยืนนิ่งแต่ไม่นานก็สามารถจะตั้งสติกลับมาสลัดความคิดอับอายใดๆ ทิ้งไปได้ ตอนนี้มันมิใช่เวลามาเถียงกับซ่งซือชุน
เขานั้นอยากจะฟังการสอนบรรยายของเย่หยวน!
แม้ว่าเขานั้นจะเพิ่งได้ยินคำสอนของเย่หยวนแค่ไม่กี่คำ หลินตงก็เข้าใจได้ทันทีว่าการบรรยายของปรมาจารย์เย่นี้มันแตกต่างจากของเทพสวรรค์ดันหยู่อย่างสิ้นเชิง
เทพสวรรค์ดันอยู่นั้นสั่งสอนออกมาอย่างลึกล้ำล่องลอย บางทีดูเหมือนจะเข้าใจได้ แต่แท้จริงยังอยู่ห่างไกลความจริงนัก
แต่ปรมาจารย์เย่นี้บรรยายออกมาราวกับว่าตัวพวกเขานั้นเป็นศูนย์กลาง ทำให้ทุกสิ่งอย่างอยู่ในระยะแค่เอื้อมถึง!
นี่มันเป็นความรู้สึกราวกับว่ามีมือยักษ์ใหญ่ได้มานำพาพวกเขาเข้าไปท่องในเต๋าโอสถ
“หึ ดูท่าเจ้าแล้วคงเริ่มรู้สึกถึงความแตกต่างในการบรรยายของปรมาจารย์เย่แล้วใช่หรือไม่? ข้านั้นฟังไปแค่วันเดียวก็สามารถบรรลุขึ้นมาได้แล้วในเวลานี้!” ซ่งซือชุนยิ้มอวด
เมื่อได้เห็นสีหน้าของหลินตงมีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจว่าหัวของหลินตงตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กัน?
เพราะในนาทีแรกที่เขาได้ฟังการบรรยาย เขาก็มีสีหน้าแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน
แต่เมื่อได้ยินดังนั้นหลินตงก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
“หะ? เจ้า… เจ้าบรรลุไปแล้ว?” หลินตงถามขึ้นอย่างตื่นตะลึง
ซ่งซือชุนนั้นมีฝีมือไม่แตกต่างจากเขามากายนัก เพราะเขาเองก็เป็นแค่อาณาจักรต้นขั้นต้นเช่นกัน ห่างจากอาณาจักรต้นขั้นกลางเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
แต่ว่าก้าวเดียวที่ว่านี้มันกลับเป็นก้าวที่แสนยากเย็นแก่พวกเขา
แต่วันนี้ซ่งซือชุนกลับบอกว่าได้ฟังบรรยายไปวันเดียวก็บรรลุได้ เรื่องเช่นนี้มีหรือที่หลินตงจะไม่ตื่นตะลึง?
ซ่งซือชุนหัวเราะขึ้นพร้อมกระซิบบอก “ใช่แล้ว! ในหมู่คนทั้งห้าพันที่มาในวันแรกนั้นมีถึงสามร้อยคนที่บรรลุในระหว่างที่ฟังการบรรยายไปเลย”
หลินตงนั้นไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดมาพรรณนาความตกตะลึงในใจได้ ปรมาจารย์เย่ผู้นี้จะเก่งกาจจนเกินไปแล้ว!
เขาสูดหายใจเข้าลึกพยายามกดข่มความตกตะลึงใดๆ ไว้และเริ่มหันไปตั้งใจฟังคำสอนบรรยายของเย่หยวนแทนจนไม่นานก็เริ่มเข้าสู่สภาวะสมาธิมั่นใจที่สุด
…
เทพสวรรค์ดันหยู่นั้นได้เห็นถึงเหล่าผู้คนที่หายไปอย่างชัดแจ้งแก่ใจจนต้องขมวดคิ้วแน่น
การบรรยายนี้มันย่อมจะไม่มีข้อกำหนดใดๆ คนทั้งหลายมีมากมายที่คิดจะไปฟังคนนั้นคนนี้สับเปลี่ยนไปตลอดเวลาครึ่งเดือน
แต่ในอดีตมาการบรรยายของเขานั้นย่อมจะมีคนฟังมากกว่าแสนคนอยู่เสมอ แต่ตอนนี้มันกลับเหลือไม่ถึงสามหมื่น
และมันยังคงลดต่ำลงเรื่อยๆ
แล้วถามว่าเทพสวรรค์ทั้งหลายนั้นสัมผัสปราณได้กว้างไกลแค่ไหน?
แน่นอนว่าเขาย่อมจะสัมผัสได้ว่าคนทั้งหลายกำลังมุ่งหน้าลงไปรวมตัวกันอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
และที่แห่งนั้นมันคือสถานที่ที่เย่หยวนกำลังทำการบรรยายอยู่เช่นกัน
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเทพสวรรค์ดันหยู่นั้นยังรู้สึกได้ว่ามิใช่แค่คนจากการบรรยายของเขาเท่านั้นที่ลดลง แต่เหล่าผู้เข้าฟังการบรรยายของปรมาจารย์คนอื่นๆ เองก็กำลังลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ตอนนี้เหล่านักหลอมโอสถในเมืองต่างมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้กันแทบสิ้น
“เจ้าเด็กคนนี้มันจะน่ากลัวไปถึงไหนกันเนี่ย?”
คำเดียวที่เทพสวรรค์ดันหยู่จะมีต่อเย่หยวนในเวลานี้ได้มันก็คือคำว่า ยอมรับ!
ตั้งแต่ที่งานชุมนุมโอสถเมฆานี้เริ่มขึ้นเย่หยวนก็ได้กดดันเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายจนอยู่หมัด แย่งชิงที่ทำมาหากิน แย่งชิงเหล่าอัจฉริยะ ตอนนี้ยังทำการบรรยายที่คนนิยมฟังมากที่สุดในเมืองอีกด้วย
เขานั้นรู้สึกราวกับว่างานชุมนุมโอสถเมฆาครั้งนี้มันถูกจัดขึ้นมาเพื่อเย่หยวนโดยเฉพาะ
แม้ว่าเทพสวรรค์ดันหยู่จะดูถูกดูแคลนเหล่านักหลอมโอสถพื้นๆ ทั้งหลายนี้มากแต่เขาก็เข้าใจว่าคนทั้งหลายนี้ไม่ได้โง่เง่า คงไม่มีทางที่พวกเขาจะไปฟังเย่หยวนบรรยายอย่างไร้เหตุผลแน่
เย่หยวนนั้นทำการบรรยายที่แตกต่างจากผู้คนทั้งหลาย
มิใช่สิ มิใช่แค่แตกต่าง แต่มันราวกับว่าการบรรยายของเขามันมีพลังมนตราดึงดูดผู้คน
ตอนนี้เหล่าปรมาจารย์อีกสิบสองคนเองก็ย่อมจะมีความคิดไม่แตกต่างจากเทพสวรรค์ดันหยู่ รวมไปถึงตัวของเทพสวรรค์เปียวหยูด้วยเช่นกัน
เทพสวรรค์เปียวหยูนั้นได้แต่หันหน้าไปมองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าเคยคิดว่าตนนั้นประเมินเขาสูงเกินไปแล้วแท้ๆ ไม่นึกว่า… แท้จริงข้ายังไม่เข้าใจถึงความเก่งกาจที่แท้จริงของเขาด้วยซ้ำ!”
ในวันที่สามของการบรรยายทั้งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆานั้นมันว่างเปล่า ทุกตรอก ซอกซอยใดๆ ไร้นักหลอมโอสถ เพราะพวกเขาทั้งหลายได้มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองจนสิ้น
ตอนนี้ผู้คนในจัตุรัสพึงสวรรค์นั้นมันอัดแน่นจนแทบจะเหยียบกันตาย
…………………………