ตอนที่ 2,235 : วังวิญญาณอสุรา! ตำหนักขจีจรัส!
สิบย่างก้าวคร่าชีวัน พันลี้ไร้ต้านทาน
สรรพสิ่งผันผ่าน คงเหลือไว้ไร้ยศนาม…
นี่เป็นหนึ่งในบทกลอนของกวีชื่อดัง ‘หลี่ไป๋’ ในบ้านเกิดที่โลกเดิมของต้วนหลิงเทียน
หลี่ไป๋ผู้นี้ไม่เพียงได้ชื่อว่าเทพกวี ยังเป็นมือกระบี่อันร้ายกาจผู้หนึ่ง หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ท่องเที่ยวเพนจรทั่วใต้หล้า ร่ำสุราเมามายใต้แสงจันทร์ ทิ้งบทกวีลือลั่นไว้ทั่วแดนดิน…
เรียกว่าหากมาปรับใช้ก็เข้ากับสถานการณ์ที่ต้วนหลิงเทียนช่วยหวงฉี่หลิงไม่น้อย
ตอนนี้เพียงหนึ่งห้วงคิดต้วนหลิงเทียนก็สามารถเข่นฆ่าสังหารผู้คนได้ง่ายดาย
สรรพสิ่งผันผ่าน คงเหลือไว้ไร้ยศนาม ไม่เผยตัวไม่อวดอ้างเพียงจากไปอย่างเงียนงัน
หลังออกจากช่องทางที่มีหวงฉี่หลิงอยู่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างเข้าไปยังอุโมงค์ช่องทางอื่นๆที่ยังไม่ได้เข้าไป
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เริ่มมีเผ่าปีศาจมนุษย์รวมถึงปีศาจเผ่าอื่นๆในละแวกใกล้เคียงเข้ามาชุดใหม่
ทำให้หลังต้วนหลิงเทียนกวาดล้างปีศาจครบทุกช่องทางแล้ว ก็เริ่มเข้าช่องทางอื่นๆซ้ำ
แน่นอนว่าการกวาดล้างรอบที่สอง ก็ไม่ได้นานอะไรมากมาย
‘พอเท่านี้ก่อนแล้วกัน’
หลังจากที่พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนจากสีม่วงอ่อน กลายเป็นสีม่วงปกติเขาก็เลือกที่จะจากไป
เพราะเขาเองก็รู้ดีถึงเรื่องหนึ่ง
เหล่าปีศาจเผ่าปีศาจมนุษย์ที่เขาพึ่งกวาดล้างไปมากมาย สมควรเป็นอัจฉริยะจากขุมกำลังใหญ่โตของเผ่าปีศาจมนุษย์ที่มาผจญภัยแสวงโชค!
เพราะเขาได้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินไปไม่น้อย กระทั่งบางคนยังเป็นสีคราม และเหล่าผู้ที่ครอบครองรากวิญญาณสีน้ำเงินถึงสีครามได้ สมควรเป็นชนชั้นอัจฉริยะของเผ่าปีศาจมนุษย์!
หากเขายังรั้งอยู่ที่นี่นานเข้า เกรงว่าคิดจากไปก็คงไม่ได้ไป!
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมั่นใจว่าพลังฝีมือสมควรมีพอตัว แต่ก็ไม่ได้มั่นใจว่ามากพอจะรับมือการกลุ้มรุมของยอดฝีมือเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งหมดได้
ถึงตอนนี้เรื่องราวจะยังสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ต้วนหลิงเทียนรู้ดี…
ว่านี่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้า!
อีกไม่นานเหล่าต้นสังกัดทั้งขุมพลังทั้งหลายของเผ่าปีศาจคงรับทราบการตายของพวกมัน!
‘หืม? ไม่มีใครงั้นเหรอ?’
เมื่อมาปรากฏตัวที่ป่าศิลาอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนที่หันรีหันขวางไปรอบๆก็ไม่พบว่าจะมีใครเพ่งเล็งมาที่เขาเลย
ตอนแรกเขาคิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนายน้อยสวะทั้ง 3 ที่เขาฆ่าไป สมควรได้รับทราบข่าวและเร่งรุดมาดักรอเขาที่นี่แล้วเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าพอออกมาจะไม่พบใครที่ดักรอเขาอยู่เลย
เรื่องนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะโค้งคิ้วขึ้นด้วยสงสัย
เขาลองคิดในมุมมองของพวกมันดู ถ้าเขาเป็นผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจร เขาต้องเร่งรุดมาที่นี่แน่นอน
‘คงไม่ใช่ว่า…หวงเหวินจิ้งสอดมือเข้ามาหรอกนะ?’
ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนโง่งม เรื่องนี้เขาย่อมเดาออกได้ง่ายดาย และยิ่งเดาเท่าไหร่ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวพลางฉีกยิ้มเจื่อนๆ
เขายังคิดไปอยู่เลยว่าถ้าหากอาวุโสอะไรนั่นมาดักรอเขาอยู่ที่นี่จริง เขาจะได้ลองของเสียหน่อย! ด้วยตอนนี้เขาอยากรู้นักว่าพลังอำนาจของปฐมเวทย์กลืนกินเมื่อใช้ออกจนเต็มอานุภาพมันจะให้ผลลัพธ์เลิศล้ำเพียงใด!!
อนิจจาไม่คิดเลยว่าจะถูกหวงเหวินจิ้งขัดคอไปเสียก่อน
“ช่างเถอะ ถึงตอนนี้ด้วยพลังที่ข้ามีจะไมได้กลัวอะไรพวกมัน…แต่ความหวังดีนี้ของเจ้าข้ารับไว้ด้วยใจ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเบาๆ
สิ่งที่เขาพูดนั้น แน่นอนว่าสำหรับหวงเหวินจิ้ง
“หืม?”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนคล้ายสังเกตเห็นบางสิ่ง จึงหันหน้าไปมองสุดขอบฟ้าทางทิศเหนือทันที
ยังเป็นที่ตั้งของเมืองโม่เหรินเชิ่ง!
“ในที่สุดก็มีคนมา…”
ขณะกล่าวพึมพำเบาๆอีกครั้ง ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบหายไปในอากาศ
หลังจากที่ร่างต้วนหลิงเทียนวูบหายไปไม่นาน
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
……
เสียงอากาศแตกระเบิดดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ปรากฏร่างกลุ่มคนมากมายพากันเหินมาจากทิศทางที่ตั้งเมืองเหรินโม่เชิ่ง และเพียงพริบตาร่างทั้งหลายก็มาหยุดลงเหนือน่านฟ้าป่าศิลา
คนเหล่านี้ที่ทยอยกันมาถึงแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกนั้นนำมาโดยชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ด้านหลังมีไม่กี่คนที่ติดตามมา ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายตัวใหญ่หนาบึกทั้งสิ้น แต่ละคนเรียกว่าแลดูเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันเข้มแข็งเหี้ยมหาญ เพียงมองก็ให้ความรู้สึกกดดันขู่ขวัญประการหนึ่ง!
ชายหนุ่มที่นำมานั้นสวมใส่ด้วยชุดสีน้ำเงิน แม้ชุดคลุมตัวนี้ปกติแล้วจะถือว่ามีขนาดใหญ่โต ทว่าพอมาอยู่บนร่างชายหนุ่มผู้นำกลับแลดูคับติ้วพิกล เผยให้เห็นรอยมัดกล้ามเด่นชัด
ตอนนี้ใบหน้าที่ดุดันให้ความแข็งแกร่งดั่งเหล็ก ช่างมืดมนปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึกนัก!
ส่วนอีกกลุ่มนั้น นำมาโดยชายชราที่มีรูปร่างผ่ายผอมหนังติดกระดูก
ด้านหลังมันมีชายวัยกลางคน 3 คน ชายหนุ่ม และหญิงสาวอีกคน ที่ประกบติดอยู่ด้านหลังชายชราร่างผอม
ตอนนี้สีหน้าแต่ละคนกก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์เหลือจะกล่าว
หากมองให้ดีจะพบว่า…
ลูกตาของชายชราร่างผอมที่ลอยนำหน้านั้น แทบจะพ่นไฟออกมาได้อยู่รอมร่อ!
คน 2 กลุ่มลอยร่างเหนือป่าศิลาอย่างเงียบงัน ไม่มีใครพูดจาออกมาสักคำ พาลให้บรรยากาศตึงเครียดนัก
หลังจากนิ่งเงียบอึมครึมอยู่ราวๆ 10 ลมหายใจ สตรีงามที่ลอยอยู่ด้านหลังชายชราร่างผอม พลันมองไปยังกลุ่มชายร่างหนาสูงใหญ่ไม่นาน ก็สบตากับหนึ่งในนั้น
ชายคนนี้นางรู้จักอีกฝ่ายดี
“เจียงเจิ้น…เจ้ามาด้วยหรือ…”
ด้วยเพราะบรรยากาศเหนือฟ้าช่างอึมครึมทั้งตึงเครียด สตรีงามจึงไม่กล้ากล่าวออกมาตรงๆ เพียงอาศัยการส่งเสียงผ่านพลังไปทักชายร่างสูงใหญ่บึกบึนที่นางรู้จัก
และชายร่างใหญ่บึกที่นางรู้จักอันเป็นหนึ่งในผู้ติดตามชายในชุดน้ำเงินผู้นำนี้ ก็มีชื่อว่า เจียงเจิ้น
“วังวิญญาณอสุราของเจ้า…ใช่มาเพราะมีใครตายหรือไม่?”
และไม่รอคำทักกลับของชายร่างใหญ่ สตรีงามก็กล่าวถามออกมาต่อทันที
เพราะนางย่อมจดจำชายในชุดน้ำเงินร่างสูงใหญ่แลดูร้ายกาจที่คล้ายหอคอยเหล็กได้ดี ว่าอีกฝ่ายก็คือเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนชนชั้นสุดยอดฝีมือ! ผู้เป็นรองก็แค่จ้าววัง วิญญาณอสุรา 1 ใน 3 วังของเผ่าปีศาจมนุษย์!!
ชิงหยวนป้า!
อีกทั้งมันยังได้รับการยอมรับว่าเป็น ยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ของเผ่าปีศาจมนุษย์อีกด้วย!
“อืม มิผิด”
เจียงเจิ้นเองก็สนิทสนมกับสตรีงามที่ส่งเสียงกล่าวถามนางนี้ดี มันจึงเร่งส่งเสียงตอบคำกลับอย่างที่ไม่ต้องให้นางรอนาน
“ใต้เท้าชิงหยวนป้าถึงกับมาด้วยตัวเองเช่นนี้…ที่แท้เป็นผู้ใดตกตายกันแน่?”
หลังได้รับคำยืนยันแล้วสตรีงามก็อดไม่ได้ที่จะลอบสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ใจนางเต็มไปด้วยความอยากรู้ไม่น้อยอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้
“เป็นลูกชายคนเดียวของใต้เท้าหยวนป้า…”
เจียงเจิ้นกล่าวตอบด้วยรอยฝิ้มเฝื่อนๆ
ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ลูกตาของสตรีงามถึงกับหดเล็กลง
ลูกชายคนเดียวของชิงหยวนป้าตกตาย?
นางย่อมรู้จักลูกชายของ ชิงหยวนป้าผู้ที่มีพลังฝีมือเป็นดันดับ 2 ของวังวิญญาณอสุราดี!
ถึงแม้มันจะไม่ได้มีพลังฝึกปรือร้ายกาจที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของวังวิญญาณอสุรา หากแต่ศักยภาพพรสวรรค์ก็ไม่เลว ยังได้รับการยอมรับจากจ้าววังวิญญาณอสุราให้เป็นศิษย์ส่วนตัว!
แน่นอนว่าไฉนลูกชายคนเดียวของชิงหยวนป้าถึงถูกจ้าววังรับเป็นศิษย์ส่วนตัวนั้น ทั้งหมดก็เพราะจ้าววังเห็นแก่หน้าชิงหยวนป้าทั้งสิ้น!
หากไม่ใช่มันมีบิดาอย่างชิงหยวนป้าแล้ว จ้าววังย่อมไม่คิดรับลูกชายคนเดียวของชิงหยวนป้าเป็นศิษย์
เรื่องราวนี้ไม่ใช่ความลับอะไรในเผ่าปีศาจมนุษย์!
“มิน่าแปลกใจเลยที่ไฉนใต้เท้าชิงหยวนป้าถึงขั้นละเลยไม่ทักรองจ้าวตำหนักกงซุนจนถึงตอนนี้…ที่แท้เป็นลูกชายคนเดียวของใต้เท้าตกตาย…”
สตรีงามลอบกล่าวในใจ
“เหลยลั่ว…”
เจียงเจิ้นเหลือบมองไปยังร่างที่ลอยอยู่ด้านหน้าสตรีงามปราดหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงกล่าวถามนางว่า “ตำหนักขจีจรัสของเจ้า…คงไม่ใช่เกิดเรื่องขึ้นเหมือนกันหรอกนะ?”
ฟังจากคำถามของเจียนเจิ้นที่มีต่อสตรีงามแล้ว ก็เผยให้รู้ว่าที่แท้นางเรียกว่าเหลยลั่ว
นอกจากนั้นจากคำถามของเจียงเจิ้นก็ยังบอกได้อีกว่า…ต้นสังกัดของนางก็คือตำหนักขจีจรัส
ตำหนักขจีจรัสนั้นเป็น 1 ใน 6 ตำหนัก อันเป็นขุมพลังชั้นสูงของเผ่าปีศาจมนุษย์เช่นกัน
ขุมพลังระดับสูงของเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้ง 9 ขุมที่แบ่งออกเป็น 3 วัง 6 ตำหนักนั้น…ได้แก่ วังเซียนสัญจร วังวิญญาณอสุรา วังอีคคีสีชาด ส่วน 6 ตำหนักนั้นก็คือขุมพลังอีก 6 ขุมของเผ่าปีศาจมนุษย์ ซึ่งตำหนักขจีจรัสก็เป็นหนึ่งในนั้น
“อื้อ”
ได้ยินคำถามของเจียงเจิ้น เหลยลั่วก็พยักหน้ารับคำ
“เป็นผู้ใดถูกฆ่าตายหรือ?”
สีหน้าของเจียนเจิ้นเปลี่ยนเป็นขรึมเคร่งทันทีที่เห็นเหลยลั่วพยักหน้า
“เป็นศิษย์ส่วนตัวของรองจ้าวตำหนักกงซุน รวมถึงศิษย์ส่วนตัวของอาวุโสอีกหลายท่านของตำหนักขจีจรัสที่มาด้วยนี่ล่ะ…พวกที่ตกตายล้วนมายังมรดกสถานที่คาดว่าน่าจะเป็นของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ทั้งสิ้น”
เหลยลั่วกล่าวต่อเสียงเครียด “พวกเราเร่งรุดมาที่นี่ทันทีเมื่อพบว่าไข่มุกวิญญาณของพวกมันแตกลงในเวลาไล่เลี่ยกัน…”
รองจ้าวตำหนักกงซุนที่เหลยลั่วกล่าวถึง ก็คือชายชราร่างผอมที่นำหน้ากลุ่มของเหลยลั่ว
ชายชราผู้นี้มีนามว่า กงซุนจิน มันเป็น 1 ใน 3 รองจ้าวตำหนักขจีขจรัส ด้วยความที่พลังฝีมือของมันกล้าแข็งที่สุด จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นรองจ้าวตำหนักอันดับ 1 ของตำหนักขจีจรัส
เรียกว่าในตำหนักขจีจรัส นอกจากตัวจ้าวตำหนักแล้ว มันคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!
อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่นำคนของตำหนักขจีจรัสมาวันนี้ และผู้ที่นำวังวิญญาณอสุรา ล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับ 2 ของแต่ละขุมพลังก็ว่าได้!
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
……
ไม่นานนัก สุดขอบฟ้าก็ปรากฏเสียงแหวกสายลมรุนแรงดังขึ้น ดึงความสนใจของคนวังวิญญาณอสุราและตำหนักขจีจรัสไปทันที
พร้อมๆกันกับที่เสียงระเบิดของอากาศดังขึ้นแต่ไกล ก็ปรากฏร่างกลุ่มคนเหินมาจากทิศทางที่ตั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งเช่นกัน
คนกลุ่มนี้มาในชุดสีแดงเพลิงทั้งหมด ทำให้ยามชุดเสื้อผ้าของพวกมันสะบัดโบกตามแรงลม มองไกลๆช่างละม้ายคล้ายเปลวเพลิงกำลังลุกโหมกระพือไม่น้อย…
“พวกนี้น่าจะมาจากวังอัคคีสีชาด”
ไม่นานเสียงสนทนาที่ส่งไปให้เจียงเจิ้นจากเหลยลั่ว ก็เฉลยความเป็นมาของพวกมัน
วังอัคคีสีชาด ก็เป็น 1 ใน ขุมพลัง 3 วัง 6 ตำหนักของเผ่าปีศาจมนุษย์
วังอัคคีสีชาดนำมาโดยชายวัยกลางคนในชุดแดงเพลิง
ชายวัยกลางคนในชุดแดงเพลิงคนนี้ก็มีรูปร่างสูงใหญ่เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตบึกบึนเท่าคนของวังวิญญาณอสุรา แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่น้อย
และตอนนี้สีหน้าท่าทีของชายวัยกลางคนที่นำมาก็ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม พอมันได้เห็นว่ามีคนของวังวิญญาณอสุราและตำหนักขจีจรัสลอยร่างรออยู่ก่อน สีหน้ามันก็ผ่อนลงเล็กน้อย เป็นฝ่ายริเริ่มกล่าวคำทักผู้นำของทั้ง 2 กลุ่มออกมา “รองจ้าววังชิง รองจ้าวตำหนักกงซุน”
“รองจ้าววังหวู่”
เมื่อชายวัยกลางคนเป็นฝ่ายเอ่ยทักออกมาก่อนแบบนี้ รองจ้าววังวิญญาณอสุรา ชิงหยวนป้า กับรองจ้าวตำหนักขจีจรัส กงซุนจิน ก็ผ่อนสีหน้าตึงเครียดลง และหันไปทักทายอีกฝ่ายกลับทันที
ชายวัยกลางคนที่นำกลุ่มคนวังอัคคีสีชาดมาคนนี้ ก็คือ 1 ใน 4 รองจ้าววังอัคคีสีชาด หวู่เทียนจิน
“พวกท่านทั้ง 2 สีหน้ามิค่อยสู้ดีเช่นนี้…หรือมีคนใกล้ชิดตกตายที่นี่เช่นกัน?”
หลังได้เห็นใบหน้าอัปลักษณ์ปั้นยากของชิงหยวนป้ากับกงซุนจิน หวู่เทียนจินอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว